พลิกฟื้นคืนแผ่นดิน
วัน พุธ 11 ก.พ. 04 @ 02:59
หัวข้อ: ศูนย์หนังสือนัฟฟาซี่



โดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้

จักรวาล


“โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นดาวดวงหนึ่งในห้วงเวหา ที่มีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นคล้ายผลส้ม และเป็นบริวารของดวงอาทิตย์โดยหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ การที่โลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน และโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ”




ทฤษฎีข้างต้นนี้เป็นที่กล่าวขาน และเรียนรู้สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่มุสลิมได้เรียนรู้เรื่องราวของโลกและจักรวาลมาก่อนหน้านี้เนิ่นนาน
เป็นระยะเวลา 1400 กว่าปี ที่มุสลิมได้ศึกษาเรื่องราวของโลกและจักรวาลจากคัมภีร์อัลกุรอาน แม้ว่ามุสลิมในยุคต้นจะยังไม่สามารถสืบพบและประจักษ์ได้ด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็มีความมั่นใจ โดยเชื่อและศรัทธาไปตามนั้น เพราะสิ่งที่บอกเรื่องราวที่ไกลตัวแก่พวกเขานี้คือ “อัลกุรอาน” คัมภีร์ของพระเจ้า

ฟ้าดุนยา

เมื่อเราแหงนหน้ามองฟ้า เราจะได้เห็นความกว้างใหญ่ไพศาล ที่เราไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้น หรือจะสิ้นสุดที่ตรงไหน เพราะกว้างใหญ่เกินกว่าสายตาและสติปัญญาของมนุษย์จะไปถึง เราไม่เคยเห็นแม้แต่เสาสักต้นหนึ่งที่จะค้ำฟ้าไว้ เพื่อมิให้มันพังทลายลงมา แล้วมันล่องลอยอยู่เหนือเราได้อย่างไร
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“พระองค์ได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายโดยไม่มีเสาที่พวกเจ้าจะมองเห็น” ซูเราะห์ลุกมานอายะห์ที่ 10

แม้พระองค์อัลลอฮ์จะทรงบอกว่าได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายโดยไม่มีเสา แต่ฟ้าที่เราเห็นนี้ก็เป็นเพียงฟ้าชั้นแรกเท่านั้น ซึ่งถูกเรียกว่า “ฟ้าดุนยา” และยังมีฟากฟ้าอีก 6 ชั้น ที่สายตาของเรามองไม่เห็นเช่นเดียวกัน แต่เรารู้ได้จาก อัลกุรอาน คัมภีร์ของพระเจ้าที่บอกแก่เราไว้
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“พระองค์ผู้สร้างเจ็ดชั้นฟ้า เจ้าจะไม่เห็นความบกพร่องในการสร้างของพระเจ้าผู้ทรงเมตตา” ซูเราะห์อัลมุลก์ อายะห์ที่ 3

“ดังนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างมันเสร็จสมบูรณ์เป็นฟ้าทั้งเจ็ดภายในสองวัน และได้ทรงบัญชาให้แก่ทุกชั้นฟ้าซึ่งหน้าที่ของมัน” ซูเราะห์ฟุศิลัต อายะห์ที่ 12

“หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าโดยทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นเป็นเจ็ดชั้นฟ้า” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 29

มีหลายคนที่พยายามจะบิดเบือนเจตนารมณ์แห่งคัมภีร์อัลกุรอาน โดยตีความไปว่า เจ็ดชั้นฟ้าในที่นี้หมายถึงเจ็ดชั้นบรรยากาศ ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังมีมนุษย์บางกลุ่มที่ปฏิเสธสิ่งที่สายตาของตัวเองมองไม่เห็น,สมองปัญญาของเขาไม่สามารถสัมผัสได้

ความจริงแล้ว..อย่าว่าแต่ฟ้าอีก 6 ชั้นที่มนุษย์มองไม่เห็นเลย แม้ว่าฟ้าดุนยาที่มนุษย์ได้มองเห็นอยู่นี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะสัมผัสและรับรู้ได้ทั้งหมด แล้วเราจะเอาปัญญาอันน้อยนิดของเราไปตีความสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร

ฉะนั้นเราจึงเชื่อว่า คือเจ็ดชั้นฟ้าจริงๆ ตามที่อัลกุรอานได้บอก ไม่ใช่เจ็ดชั้นบรรยากาศตามที่ปัญญาของมนุษย์คิด ระหว่างคัมภีร์ของพระเจ้ากับปัญญาของมนุษย์ เราเลือกที่จะยึดถือคัมภีร์ของพระเจ้า
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“และแน่นอนเราได้ประดับฟากฟ้าดุนยานี้ด้วยกับดาวมีแสงทั้งหลาย” ซูเราะห์ อัลมุลก์ อายะห์ที่ 5

“แท้จริงเราได้ประดับฟากฟ้าดุนยาให้สวยงามด้วยดวงดาวทั้งหลาย” ซูเราะห์อัศศอ็ฟฟาต อายะห์ที่ 6

ดาวเคราะห์และดาวนพเคราะห์

ดวงดาวในท้องฟ้ามีจำนวนมหาศาลเกินกว่าที่จะนับ มนุษย์รู้จักแต่พียงผิวเผินเท่าที่สำรวจได้เท่านั้น แต่มนุษย์ก็รู้ว่าในบรรดาดวงดาวเหล่านั้นมีทั้งดาวที่มีแสงในตัวเอง,ดาวที่มีแสงสะท้อน และดาวที่ทึบแสง
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“และเรา (อัลลอฮ์) ได้ทำให้ดวงอาทิตย์นั้นลุกโชนอยู่ตลอดเวลา” ซูเราะห์อัลนะบะ อายะห์ที่ 13

“ความจำเริญยิ่งแด่ผู้ซึ่งได้ทำให้ฟากฟ้านั้นมีหมู่ดาวน้อยใหญ่ และทรงทำให้ฟากฟ้ามีดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน และดวงจันทร์ที่เรืองแสง” ซูเราะห์อัลฟุรกอน อายะห์ที่ 61

“พระองค์ผู้ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงในตัวเอง และทำให้ดวงจันทร์มีแสงสะท้อน” ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 5

เราได้รับทราบจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า ดวงอาทิตย์นั้นมีแสงสว่างในตัวเองด้วยเปลวไฟที่ถูกจุดให้ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ส่วนดวงจันทร์นั้นก็มีแสง ซึ่งไม่ใช่แสงจากตัวเอง แต่เป็นแสงสะท้อนที่เป็นดังรัศมี และโลกของเราก็จัดอยู่ในกลุ่มดาวที่เรืองแสงเช่นเดียวกัน

การที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีแสงนั้น นับเป็นคุณประโยชน์แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอย่างใหญ่หลวง เพราะนอกจากจะให้ความอบอุ่นในการดำรงชีวิตแล้ว ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่ให้แก่จักรวาลอีกด้วย

ปัจจุบันได้มีการสำรวจพบว่า แสงและพลังความร้อนของดวงอาทิตย์เกิดจากการระเบิดบนพื้นผิวทุกๆวินาที จึงทำให้เกิดประกายเพลิงและความร้อนอยู่ไม่ขาดระยะ และส่งความร้อนกับแสงสว่างนี้ไปยังดาวบริวารดวงอื่นๆ รวมถึงโลกของเราด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ได้สำรวจพบว่า บนพื้นผิวบางส่วนของดวงอาทิตย์นั้นมีจุดบอดที่ไม่เกิดการระเบิด หรือที่เรียกว่าจุดดำ และยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมนุษย์หวั่นวิตกว่า ดวงอาทิตย์จะต้องอยู่ในสภาพที่อับแสงสักวันหนึ่ง และขุมพลังที่มนุษย์เคยได้รับจากดวงอาทิตย์ก็กำลังจะหมดไป

ปัจจุบันสภาพความแปรปรวนของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้บรรยากาศในโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วย และมีผลกระทบต่อระบบอิเลคโทรนิค ทำให้เครื่องมือสื่อสารหรืออุปกรณ์โทรคมนาคมอื่นๆ ผิดเพี้ยนหรือส่งข้อความผิดพลาดบ่อยครั้ง

ส่วนดวงจันทร์นั้น แม้ว่าจะไม่มีแสงสว่างด้วยตัวเอง เป็นเพียงรัศมีหรือแสงสะท้อนก็ตาม ก็ยังมีอิทธิพลกับโลกของเรา ซึ่งแรงดึงดูดทำให้เกิดน้ำขึ้น,น้ำลง
นอกเหนือจากนั้นมนุษย์ยังได้อาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์,ดวงจันทร์ และดาวเรืองแสงทั้งหลาย ในการนำทาง
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“และพระองค์ผู้ทรงทำดวงดาวทั้งหลายแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้อาศัยมันนำทางท่ามกลางความมืดทั้งบนบกและท้องทะเล” ซูเราะห์อัลอันอาม อายะห์ที่ 97

แสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ได้ส่องสว่างอยู่บนโลกนี้ทำให้มนุษย์และสัตว์สามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ หากปราศจากแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แล้ว โลกของเราคงจะมืดสนิท นอกจากนั้นบรรดาดาวเรืองแสงทั้งหลายบนท้องฟ้ายังเป็นแผนที่นำทางท่ามกลางความมืด โดยมนุษย์ได้อาศัยสังเกตดวงดาวเหล่านี้ในการเดินทาง

ท่องเวหา

ในสุริยจักรวาลแห่งฟ้าดุนยา หรือในห้วงเวหานี้ โลกที่เราได้อาศัยอยู่ก็เป็นดาวดวงหนึ่งที่โคจรไปพร้อมกับดาวดวงอื่นๆ
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“ ทุกสิ่งในห้วงเวหาต่างก็โคจร” ซูเราะห์ อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 33

ไม่ใช่เฉพาะโลกของเราเท่านั้น ที่ล่องลอยและโคจรอยู่ในห้วงเวหา หากแต่ดาวน้อยใหญ่อื่นๆต่างก็โคจรเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ดวงอาทิตย์,ดวงจันทร์, ดวงดาวอื่นๆ ทั้งที่เป็นดาวเคราะห์ และดาวนพเคราะห์ ทั้งที่มนุษย์รู้จักและไม่รู้จัก ต่างก็ท่องไปในจักรวาล

น่าแปลก.....
ทั้งที่โลกและดาวดวงอื่นๆ ต่างก็โคจร แต่ก็ไม่เคยจะหมุนมาชนกัน หากแต่ยังคงโคจรอย่างสม่ำเสมอและเป็นระเบียบ ในวิถีของใครของมัน หากมีดาวดวงใดดวงหนึ่งหลุดวงโคจรหมุนเข้าสู่วิถีของดาวดวงอื่นก็คงจะชนกันจนพินาศย่อยยับไปนานแล้ว
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“ดังนั้นพระองค์จึงได้กำหนดวิถีโคจรให้แก่มัน” ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 5

หากจะถามว่าในห้วงเวหานี้มีดวงดาวจำนวนเท่าไหร่ คงไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ เพราะมากมายเกินกว่าที่จะนับ

กำเนิดโลก

ในอดีตที่ผ่านมา......
ชาวโลกได้รับทราบทฤษฎีที่ว่า “โลกของเราคือสะเก็ดดาวที่แตกตัวมาจากดาวดวงอื่น” ความเชื่อเช่นนี้ฝังรากลึกในความรู้สึกของมนุษย์หลายชั่วอายุคน แต่ในที่สุดทฤษฎีดังกล่าวนี้ต้องถูกลบออกไป เพราะสมมติฐานที่กล่าวมาเป็นไปไม่ได้ อันเนื่องมาจาก

หากโลกของเราเป็นสะเก็ดดาวที่แตกออกมาจากดาวดวงอื่นจริงตามข้ออ้าง ก็จะถูกเสียดสีในชั้นบรรยากาศจนกระทั่งเป็นผุยผง และจะไม่คงสภาพเป็นโลก อย่างที่เราอาศัยอยู่ ดังในกรณี “ดาวตก” หรือ“ผีพุ่งใต้” ที่เรารู้จักกัน ซึ่งก็เป็นสะเก็ดดาวที่ถูกเสียดสีในชั้นบรรยากาศ แล้วก็สลายไปในห้วงเวหา

มนุษย์พยายามที่จะคิดค้นความเป็นมาเป็นไปของโลกอยู่ตลอดระยะเวลา แต่ก็เป็นได้เพียงสมมติฐานที่ลอยลม เพราะอันเนื่องมาจากไม่มีหลักฐานใดๆที่แน่ชัด ที่บ่งชี้ว่า การคาดคะเนของมนุษย์นั้นถูกต้อง
อัลกุรอาน คัมภีร์ของพระเจ้าได้บอกแก่เราไว้ดังนี้

“หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าซึ่งมันยังอยู่ในสภาพเป็นหมอก โดยที่พระองค์ทรงกล่าวแก่ฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาอย่างเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม แล้วทั้งสองกล่าวว่า ข้ามาอย่างเต็มใจยิ่ง” ซูเราะห์ฟุศิลัต อายะห์ที่ 11

เราได้ทราบจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า โลกของเราถูกสร้างมาในระยะเริ่มแรกนั้นอยู่ในสภาพที่เป็นหมอก มิได้แตกตัวมาจากดาวดวงอื่นตามที่มีการตั้งสมมติฐานกัน

ถิ่นอาศัยของมนุษย์

แต่เดิม......
มนุษย์มิได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ หากแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ (อาดัมและฮาวา) ได้เคย อาศัยอยู่ในสวนสวรรค์ พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า

“และเราได้กล่าวว่า โอ้อาดัมเอย เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์” ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 35

น่าภูมิใจที่บรรพบุรุษของมนุษย์ชาติเป็นชาวสวรรค์ แต่เราก็มิอาจทราบได้ว่า สวรรค์ที่นบีอาดัมและท่านหญิงฮาวาได้อาศัยอยู่ในช่วงแรก ตามที่อัลกุรอานได้กล่าวถึงนี้ อยู่ ณ.ที่ใด
อาจจะมีคำถามตามมาว่า..แล้วเพราะเหตุใดนะบีอาดัมและคู่ครองจึงได้มาสืบเผ่าพันธ์มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ เรื่องนี้เราได้รับคำตอบจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า

“ซัยตอนได้ล่อลวงทั้งสองจนเป็นเหตุทำให้ทั้งสองออกจากถิ่นที่เคยพำนักอยู่ และเราได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงออกไปจากสวนสวรรค์ โดยที่บางส่วนของพวกเจ้าต่างเป็นศัตรูกัน และสำหรับพวกเจ้าในแผ่นดินนี้มีที่พำนักและสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 36

โลกและสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับมนุษย์

เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงให้มนุษย์มาพำนักอยู่บนโลกใบนี้เพื่อสืบเผ่าพันธ์มนุษยชาติ โดยที่พระองค์มิได้ทรงปล่อยให้มนุษย์อยู่กันอย่างเคว้งคว้าง แต่พระองค์ได้ทรงทำให้โลกใบนี้มีความสมดุล และมีสิ่งอำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์ในการดำรงชีพ
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“พระองค์คือผู้ทรงสร้างสิ่งที่มีในแผ่นดินทั้งหมดเพื่อพวกเจ้า” ซูเราะห์อัลบะกอเราะฮ์ อายะห์ที่ 29

“และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกและเราได้ทำให้ขุนเขาเป็นที่มั่นอย่างมั่นคง และเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยออกจากแผ่นดินอย่างสมดุล” ซูเราะห์อัลฮิจร์ อายะห์ที่ 19

นับเป็นความเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงสร้างอย่างใหญ่หลวงที่ให้มนุษย์ได้มีที่อาศัยและสิ่งอำนวยประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างครบครัน แม้ว่าสิ่งถูกสร้างบางชนิดมนุษย์อาจจะมองไม่เห็นถึงคุณประโยชน์ก็ตาม แต่หากพระองค์ได้ทรงยืนยันว่า ได้สร้างไว้เพื่อมนุษย์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

“พระองค์ผู้ทรงทำให้แผ่นดินราบเรียบและทรงทำให้ฟ้าเป็นดั่งโดมเพื่อพวกเจ้า และทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้า และทำให้พืชพันธ์งอกเงยด้วยกับน้ำฝนนั้นเพื่อเป็นปัจจัยชีพแก่พวกเจ้า” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 22

“แท้จริงในการสร้างฟ้าและแผ่นดิน และการหมุนเวียนของกลางคืนและกลางวัน และเรือที่แล่นอยู่ในท้องทะเล เป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ให้แก่มนุษย์ อีกทั้งการที่อัลลอฮ์ให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้านั้น มันทำให้แผ่นดินชุ่มชื้นหลังจากที่แห้งแล้ง และให้สัตว์สารพัดชนิดกระจายอยู่บนพื้นแผ่นดิน อีกทั้งให้ลมเปลี่ยนทิศ และเมฆที่ลอยล่องอยู่ระหว่างฟ้าและแผ่นดิน ทั้งหมดนั้นเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่ตรึกตรอง” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 164

สิ่งที่เราได้รับรู้จากคัมภีร์อัลกุรอาน ล้วนแต่เป็นการสร้างของพระเจ้าที่ให้ประโยชน์แก่มนุษย์ แต่จะมีสักกี่คนที่ใคร่ครวญและเกิดศรัทธาต่อผู้สร้างอย่างแท้จริง นอกจากมนุษย์จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเป็นการสร้างของธรรมชาติ

ความจริง ธรรมชาติ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสรรสร้างแต่อย่างใด เพราะธรรมชาติคือกฎเกณฑ์แห่งความสมดุลที่ถูกกำหนดไว้คู่กับสิ่งต่างๆ เช่นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อไม่กินก็หิว เมื่อกินก็อิ่ม และฯลฯ หรือธรรมชาติของไฟที่เรารู้ว่ามันมีความร้อนโดยที่ไม่ต้องรอพิสูจน์ หรือธรรมชาติของเกลือที่เรารู้ว่ามันอยู่คู่กับความเค็ม หรือธรรมชาติของดวงอาทิตย์ที่เรารู้ว่ามันมีแสงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราน่าจะคิดและทบทวนก็คือใครเป็นผู้ให้ความร้อนคู่กับไฟ ใครให้ความเค็มคู่กับเกลือ ใครเป็นผู้ให้ดวงอาทิตย์มีแสงโชนโดยไม่ดับ ใครเป็นผู้ให้โลกหมุนอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด ใครเป็นผู้กำหนดธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เหล่านี้

กลางวันและกลางคืน

โลกของเราเป็นหนึ่งในหมู่ดาวที่ล่องลอยอยู่ในห้วงเวหา และเป็นบริวาลของดวงอาทิตย์เหมือนกับดาวดวงอื่นๆ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะ 93 ล้านไมล์โดยประมาณ และหมุนรอบตัวเองโดยใช้ระยะเวลา 1 รอบเท่ากับ 1 วัน ขณะเดียวกันโลกของเราก็หมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วย
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“และพระองค์ผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน,ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทุกสิ่งในห้วงเวหาต่างก็โคจร”ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 33

การที่โลกหมุนรอบตัวเองนี้ทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน กล่าวคือ เมื่อพื้นผิวของโลกส่วนใดหมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ก็จะทำให้พื้นผิวนั้นได้รับความส่วาง เมื่อส่วนใดเริ่มหมุนเข้าหาก็จะเริ่มส่วางขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ความรู้สึกของเราจะบอกว่า ตะวันกำลังขึ้นหรือดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ซึ่งเป็นการอธิบายตามที่เห็นด้วยสายตา แต่ความจริงก็คือ โลกได้หมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ต่างหาก

และเมื่อพื้นผิวของโลกหมุนหนีออกจากดวงอาทิตย์ ทำให้พื้นผิวนั้นเริ่มอับแสง เริ่มเข้าสู่เวลาบ่าย,เวลาเย็นและมืดไปในที่สุด ภาษาชาวบ้านมักจะพูดว่า ตะวันตกหรือดวงอาทิตย์ตก
พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกล่าวว่า

“พระองค์ได้ทรงทำให้กลางคืนคืบคลานเข้าสู่กลางวันและทำให้กลางวันคืบคลานเข้าสู่กลางคืน” ซูเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 27

กลางวันและกลางคืนได้สืบทอดกันอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่เคยจะหยุดพักเลยแม้สักเสี้ยววินาที นั่นแสดงว่า โลกของเรายังคงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา และก็หมุนไปในทิศทางเดียวเสียด้วย คือหมุนรอบตัวเองในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา และหากโลกของเราขาดความสมดุลก็คงจะหมุนบ้าง หยุดบ้าง หรือหมุนกลับข้างกันเป็นแน่
ความสมดุลหรือแรงถ่วงของโลกนี้เราได้รับทราบจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า

“และเราให้ภูเขาเป็นหลักตรึงไว้” ซูเราะห์อัลนะบะ อายะห์ที่ 7

“และเราได้ทำให้ขุนเขามีความมั่นคงในแผ่นดินเพื่อมันจะได้ไม่เอนไปกับพวกเขา” ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 31

โลกของเรามีพื้นผิวที่เป็นท้องน้ำจำนวน 3 ใน 4 ส่วน ที่เหลือเป็นพื้นดินทีมีทั้งที่ลุ่ม,ที่ราบ,ที่ดอน พื้นที่บางส่วนเป็นอ่าว บางส่วนเป็นแหลม บางส่วนเป็นหุบเหว และบางส่วนก็สูงเสียดฟ้าเป็นภูเขา

พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้ภูเขาตรึงแผ่นดินไว้เพื่อให้เกิดความสมดุล มิเช่นนั้นแล้วโลกของเราคงจะหมุนในลักษณะแก่วงเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา แล้วก็หยุดลงในที่สุด และนี่คือกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงให้แก่โลกใบนี้

แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ....... ตรงกันข้าม มนุษย์กลับทำลายความสมดุลในการหมุนของโลกด้วยการระเบิดภูเขา ใกล้เวลาแล้วที่โลกของเราจะหยุดหมุนเป็นระยะๆ แล้วก็จะหมุนกลับข้าง ก่อนที่จะระเบิดแตกสลายไปในที่สุด
ท่านนะบีมูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

“สี่สิบวัน (ในช่วงที่ดัจญาลปรากฎ) หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี ต่อมาหนึ่งวันจะเท่ากับหนึ่งเดือน และหนึ่งวันจะเท่ากับหนึ่งสัปดาห์ ส่วนวันที่เหลือจะเท่ากับวันที่พวกเจ้าอยู่ในขณะนี้ พวกเรา (บรรดาศอฮาบะห์) ถามว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ในวันที่เท่ากับหนึ่งปีนั้น พวกเราจะยังคงละหมาดเหมือนกับในวันปกติหรือ ท่านตอบว่า ไม่หรอก พวกเจ้าต้องกะเกณฑ์เวลาละหมาดเอาเอง” รายงานโดย อัลเนาวาส บุตรของซัมอาน บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษที่ 5228

เมื่อเราได้ฟังคำของศาสนทูตแล้ว ทำให้เข้าใจได้ว่าในช่วงสุดท้ายที่เกิดความโกลาหลจากการปรากฏตัวของ อัลดัจญาล นั้น โลกของเราจะหยุดหมุนเป็นระยะทำให้กลางวันและกลางคืนยาวนานกว่าปกติ และจะค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกระยะหนึ่งก่อนที่โลกจะหมุนกลับทิศทาง
ท่านนะบีมูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

“กาลอวสานจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นจากทางทิศตะวันตก และเมื่อมันปรากฏขึ้นเมื่อใดแล้วผู้คนได้เห็นก็จะหันมาศรัทธากันทั้งหมด แต่ในขณะนั้นการหันมาศรัทธาของผู้ใดก็จะไม่เกิดประโยชน์แก่เขาแล้ว” รายงานโดยอะบีฮุรอยเราะห์ บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษที่ 4270

ท่านศาสนทูตได้บอกให้เรารู้ด้วยภาษาที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจว่า ดวงอาทิตย์จะขึ้นจากทางทิศตะวันตก นั่นหมายความว่า โลกของเราที่เคยหมุนทวนเข็มนาฬิกามาอย่างต่อเนื่องนั้น ได้หมุนกลับทิศทางจนกระทั่งทิศที่ตะวันขึ้นกลายเป็นทิศตะวันตก และทิศตะวันตกกลับกลายเป็นทิศตะวันออก

โลกของเราได้เสียความสมดุลแล้ว ณ.เวลานั้นจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่เราจะมานั่งทบทวนคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าและคำสอนจากศาสนทูตของพระองค์ และนั่นคือ สัญญาณแห่งโลกาวินาศ

น้ำกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต

พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตจากน้ำ” ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 30

“และอัลลอฮ์ได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมาจากน้ำ บางชนิดเดินด้วยท้อง,บางชนิดเดินด้วยสองขาและบางชนิดก็เดินด้วยสี่ขา” ซูเราะห์อัลนูร อายะห์ที่ 45

น้ำ นับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีพอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์,สัตว์ หรือพืชก็ตาม หรือแม้แต่สิ่งที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นบางอย่าง ยังต้องอาศัยความชุ่มชื้นในการดำรงอยู่ น้ำ จึงเป็นแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด นอกเหนือจากนั้น น้ำยังได้ให้ความสมดุลแก่โลกและสิ่งที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อีกด้วย
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“และพระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้า จึงทำให้แผ่นดินชุ่มชื้นหลังจากที่มันแห้งแล้ง” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 164

พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาเพื่อปรับความสมดุลแก่แผ่นดิน ทำให้แผ่นดินเกิดความชุ่มชื้น เพื่อให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีพอยู่ได้บนหน้าแผ่นดินต่อไป และให้แผ่นดินเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิต
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“และพระองค์ได้ทรงทำให้ฝนหลั่งลงมาจากฟ้า จึงทำให้พืชผลงอกเงยด้วยกับน้ำนั้นเพื่อเป็นปัจจัยชีพแก่พวกเจ้า” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 22

“พระองค์ผู้ทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าเพื่อพวกเจ้า ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องบริโภค อีกส่วนหนึ่งสำหรับพืช สำหรับปศุสัตว์ ด้วยกับน้ำนี่เองพืชผลต่างๆ และมะกอก,อินทผลัม,องุ่น และผลไม้นานาชนิดได้เจริญเติบโต” ซูเราะห์อัลนะฮ์ล อายะห์ที่ 10 – 11

นอกจากมนุษย์และสัตว์จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากน้ำในการใช้บริโภคแล้ว มนุษย์ยังได้ประโยชน์ในทางออ้ม เพราะน้ำได้ก่อให้เกิดแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอีกด้วย

น่าแปลก....ที่ดินเหมือนกัน,น้ำก็เหมือนกัน จากแหล่งเดียวกัน แต่พืชพันธ์ได้งอกเงยออกดอกออกผลต่างกัน สีสรรและรสชาติก็ต่างกันไปด้วย
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“เจ้ามิได้พิจารณาหรือว่า อัลลอฮ์นั้นได้ทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าจึงทำให้พืชผลงอกเงยด้วยกับน้ำนั้นโดยสีสรรของมันแตกต่างกันไป” ซูเราะห์ฟาฎิร อายะห์ที่ 27

แม้มนุษย์จะได้รับรู้ความสำคัญของน้ำก็จริงอยู่ แต่มนุษย์ก็ไม่ใส่ใจที่จะรักษาแหล่งน้ำ ตรงกันข้ามมนุษย์กลับทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ทำลายความสมดุล จนสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ในน้ำสลายพันธ์ไปหลายชนิด มนุษย์กำลังทุบหม้อข้าวหม้อแกงของตัวเอง กำลังทำลายแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“เพื่อให้เมล็ดพืชและผักงอกเงยด้วยกับน้ำ อีกทั้งป่าที่หนาทึบ” ซูเราะห์อัลนะบะอ์ อายะห์ที่ 15-16

น้ำทำให้เกิดป่า และป่าก็ทำให้เกิดฝน เป็นวัฎจักรที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันมาโดยตลอด และป่านี่เองที่เป็นแหล่งซึมซับน้ำเอาไว้ และเป็นที่มาของต้นน้ำลำธาร แต่วันนี้มนุษย์ทำลายป่า ซึ่งเท่ากับมนุษย์ทำลายแหล่งน้ำของตัวเองและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“เจ้ามิเห็นหรือว่า อัลลอฮ์นั้นได้ทรงทำให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้า แล้วทรงทำให้มันซึมลงไปในแผ่นดินแล้วให้มันออกมาเป็นตาน้ำ” ซูเราะห์อัซซุมัร อายะห์ที่ 21

แม้ว่าใต้ดินจะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำของมนุษย์อีกแห่งหนึ่งก็ตาม แต่ใต้แผ่นดินนั้นมิได้ผลิตน้ำได้ด้วยตัวเอง ยังต้องรับน้ำจากหน้าดินอีกทีหนึ่ง

ความหายนะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์

ในขณะที่อัลลอฮ์ได้ให้โลกใบนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยแก่มนุษย์ และให้ปัจจัยในการดำรงชีพมาอย่างครบครัน โดยทรงกำหนดกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติให้มีความสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา เพื่ออำนวยประโยชน์แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิต แต่มนุษย์ก็ทำลายกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ทำให้วัฎจักรแปรเปลี่ยนไป ทำให้โลกใบนี้พบกับความหายนะเร็วขึ้น

ขณะที่มนุษย์เป็นผู้ทำลายแต่กลับโยนความผิดไปให้สิ่งอื่น บางคนกล่าวว่า พระเจ้าแกล้งบ้าง หรือธรรมชาติกลั่นแกล้งบ้าง โดยมนุษย์ไม่ยอมคิดทบทวนผลงานของตัวเอง หากมนุษย์ได้ย้อนมองสักนิดก็คงจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แล้วกล่าวว่า นี่แหละคือผู้ทำลาย
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“ความหายนะที่เกิดขึ้นทั้งทางบกและท้องทะเลด้วยกับน้ำมือของมนุษย์ที่ขวนขวายไว้” ซูเราะห์อัรรูม อายะห์ที่ 41

วันนี้....หากมนุษย์ได้ศึกษาเรื่องราวของโลกและจักรวาลจากคัมภีร์ของพระเจ้าแล้ว ก็คงจะทำให้หลายคนได้มีสติ หันมาช่วยกันกอบกู้โลกของเราไม่ให้ทรุดโทรมไปมากกว่านี้

ช่วยกัน...พลิกฟื้นคืนแผ่นดิน ให้โลกของเราเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์สืบต่อไป


ขอบคุณศูนย์หนังสือ นัฟฟาซี่ หนังสือดี มีค่า น่าอ่าน



บทความนี้มาจาก Moradokislam.org
http://www.moradokislam.org

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&file=article&sid=35