เผยอะกีดะห์ของกลุ่มดะอ์วะห์
วัน อังคาร 02 ส.ค. 05 @ 03:40
หัวข้อ: บทความทั่วไป


เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2548 แกนนำของกลุ่มญะมาอะห์ตับลีค จากมัซกัร มินบุรี จำนวน 4 คน ได้มาร่วมละหมาดมัฆริบที่มูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลาม ในวันนั้นมี อ.อับดุลกอเด็ร หนูมา ทำหน้าที่เป็นอิหม่ามนำละหมาด มี อ.ฟารีด เฟ็นดี้ พร้อมด้วยทีมงานสื่ออนุรักษ์ และผู้ร่วมละหมาดอีกประมาณ 10 คน
หลังจากละหมาดมัฆริบและละหมาดซุนนะห์เรียบร้อยแล้ว อ.ฟารีดได้เข้ามาทักทายแขกผู้มาเยือน และทราบว่า มาจากโรงงานพลอย บางคนมาจากมัซกัร มินบุรี ทราบว่ามาค้าขายและแวะมาละหมาด อ.ฟารีดจึงได้เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน คงเหลือกลุ่มญะมาอะห์ตับลีคกับผู้ร่วมละหมาดอีก 10 กว่าคน ซึ่งได้ร่วมวงสนทนากัน หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง ฮัจญีสมาน งามขำ ได้แจ้งกับ อ.ฟารีดว่า กลุ่มญะมาอะห์ตับลีค มีเรื่องขอปรึกษาด้วย อ.ฟารีด จึงได้ออกไปในอาคาร และสอบถามถึงธุระที่ต้องการปรึกษา



ต่อไปนี้เป็นบทสนทนา และข้อชี้แจงเรื่องอะกีดะห์ (บางส่วน) ในหนังสือเล่มเขียว (คุณค่าอาม้าล)

อ.ฟารีด มีเรื่องอะไรหรือครับ
ตับลีค ขอปรึกษา... จะขออนุญาตใช้สถานที่ 3 วัน
อ.ฟารีด ทำอะไรหรือครับ
ตับลีค .........
อ.ฟารีด จะมาเรียนหรือจะมาสอนครับ ถ้าจะมาเรียน ที่นี่มีการอบรมทุกวันเสาร์ ถ้าจะสอนก็ต้องสอนตามกิตาบุ้ลลอฮ์และซุนนะห์เท่านั้นครับ
ตับลีค ก็จะมีการบะยานหลังละหมาด
อ.ฟารีด ที่นี่เป็นมูลนิธิครับ มีหลายคนมาใช้สถานที่ ผมก็ยินดีให้ใช้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของกิตาบุ้ลลอฮ์และซุนนะห์ ถ้าจะใช้เพื่อเผยแพร่ในแนวทางของญะมาอะห์ตับลีค ผมไม่อนุญาตครับ เพราะไม่ใช่แนวทางของซุนนะห์ ขออนุญาตพูดตามตรงนะครับ แนวทางของญะมาอะห์ตับลีคเป็นแนวทางของกลุ่มซูฟีที่ห่างไกลอิสลาม ต้องการคำอธิบายไหมครับ ถ้ามีเวลาสักชั่วครู่ ผมจะอธิบายให้ฟัง
ตับลีค ครับ..(บางคนหัวเราะแต่บางคนยังคงนั่งสงบ)
อ.ฟารีด คืองี้..ที่ผมบอกว่า แนวทางของญะมาอะห์ตับลีค ไม่ใช่แนวทางของซุนนะห์ แต่เป็นแนวทางของซูฟี..พวกนักพรตเนี่ย ถ้าพูดต้องมีหลักฐาน ในหนังสือเล่มเขียว..คุณค่าอาม้าลนะ.. ใช้กันอยู่ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะชี้ให้ดูสักเรื่อง..สองเรื่อง ในหนังสือเล่มเขียวหน้าที่ 495 เอางี้....รอซีดีน (หันไปเรียกรอซีดีน หมัดละ นักศึกษาจากโรงเรียนศาสนวิทยาที่แวะมาละหมาดเป็นประจำ) ขอแรงเข้าไปในห้องวิทยุ..หยิบหนังสือเล่มเขียว อยู่บนหลังตู้ หนังสือคุณค่าอาม้าลนะ
ตับลีค พวกผมจะมาพักที่ฝั่งโน้น (มีคนแทรกขึ้นว่า..จะมาบะยานที่นี่หลังละหมาด) ที่โน่นไม่มีคน ที่นี่ดีนะยังมีคนละหมาดเยอะ
อ.อับดุลกอเด็ร ก็เป็นบางเวลา บางทีมีบรรยาย มีงานก็ต่างคนต่างไป
อ.ฟารีด คือผมเข้าใจนะว่า กลุ่มตับลีคตั้งใจดี เจตนาดี แต่วิธีที่ทำเนี่ยมันไกลอิสลาม คือถ้าเอาอย่างอิสลามเนี่ย ยิ่งเรียนยิ่งใกล้ แต่ถ้าเอาอย่างอื่นมา..ยิ่งเรียนยิ่งไกล (รอซีดีนนำหนังสือเล่มเขียวมาส่งให้)
ในเล่มนี้..กลุ่มตับลีครู้จักดี เพราะใช้เรียนใช้สอนกันประจำ ผมจะชี้ให้ดู ที่ว่ามันไกลอิสลามเนี่ยไกลอย่างไร ในเล่มนี้..หน้าที่ 495 นี่เจอละ...ผมจะอ่านให้ฟัง

.................................................................................................................

ข้อความต่อไปนี้ที่เป็นตัวหนา คือข้อความจากหนังสือเล่มเขียว ส่วนตัวธรรมดาเป็นข้อชี้แจงและอธิบายของ อ.ฟารีด

อ.ฟารีด ในเล่มเนี่ยะเต็มไปด้วยแนวคิด และนิยายปรัมปราของพวกนกพรต พวกซูฟีตะรีกัต ในหน้า 495 ย่อหน้าสุดท้าย..ช่วยดูด้วยนะ (หันไปบอกกับทุกคน) ผมจะอ่านให้ฟัง
ท่านแชค อบู ยะซีล กุรตุบี ( รอฮมาตุ้ลลอฮ อลัยฮิ ) ได้ยินมาจกบุคคลบางคนว่า นี่ถ้าเป็นรายงานฮะดีษเขาไม่รับหรอก ได้ยินมาจากใครละ บุคคลบางคนนะเป็นใคร ผู้ที่อ้างถึงหาตัวตนไม่พบ อย่างนี้เป็นนิยาย เหมือนกับคำว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วนะแหละ แล้วคนบางคนนี่อ้างว่ายังงี้ บุคคลใดก็ตามที่อ่าน “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ” จำนวนเจ็ดหมื่นครั้งเขาทั้งหญิงและชายจะปลอดพ้นจากไฟนรก ตรงนี้อันตรายนะ คนบางคนที่ว่า มาอ้างเรื่องนรกสวรรค์ ตรงนี้อะกีดะห์จะพัง เพราะเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดถึกทักกันเอาเองไม่ได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของนรก เจ้าของสวรรค์ นี่ถ้าอัลลอฮ์ไม่บอก-รอซูลไม่บอก แล้วมาแอบอ้างกันอย่างนี้นรกสถานเดียวเลย อ้างอัลลอฮ์อ้างรอซูลเนี่ย ทำไมละ..ท่านนบีบอกว่า من تقول على ما لم أقل فليتبوأ مقعده من النار ผู้ใดอ้างว่าฉันพูดโดยที่ฉันไม่ได้พูด ก็จงให้เขาเตรียมที่นั่งของเขาได้เลย ที่ไหนละ..ในนรก แต่ข้อความที่อ้างมาเนี่ย บุคคลใดก็ตามที่อ่าน “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ” จำนวนเจ็ดหมื่นครั้งเขาทั้งหญิงและชายจะปลอดพ้นจากไฟนรก นี่มันเป็นฮะดีษเก้ ประเภทหาต้นหารากไม่ได้ ลองอ่านต่อ ท่านได้จัดทำบทฝึกให้กับภรรยาของท่านหนึ่งครั้ง และบทฝึกให้กับตนเองอีกหลายครั้ง เพื่อเป็นความปลอดภัยแก่ชีวิตในโลกหน้า มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้มี “คัชฟ์” ไอ้คำว่า “คัชฟ์หรือกัชฟ์ เนี่ยมาจากคำว่า ก่าช่าฟ่า แปลว่าเผยหรือแจ้ง ในกลุ่มของพวกซูฟีนั้นหมายถึงบุคคลที่บำเพ็ญภวนาถึงระดับสูง จะได้มีหูทิพย์ตาทิพย์ มองทะลุโลก ทะลุแผ่นดิน หลับตามองเห็นในกุโบร์ มองเห็นนรกสวรรค์ พวกตะรีกัตเรียกว่า อะห์ลุ้ลกัชฟ์ นี่ลองดูคำอธิบายในเล่มเขียว (คือผู้ที่มีความประแจ้งทางวิญญาณ) มีไหมที่นบีสอนว่า ถ้าบำเพ็ญภาวนาถึงขั้นสูงแล้วจะได้มีหูทิพย์ตาทิพย์ จะมีก็ซีกโน้น บรรลุโสดาบันเป็นอรหันต์ นี่ไม่ได้ใกล้อิสลามนะ แต่มันใกล้พุทธ ลองดูต่อ... ได้มีการบอกเล่ากันอีกว่าเขาเป็นผู้มีความรู้ล่วงหน้าในเหตุการณ์ของสวรรค์และนรก ตรงนี้พังเลย..ขนาดนบีเองเป็นผู้ใกล้ชิดอัลลอฮ์ ท่านยังไม่มีหูทิพย์,ตาทิพย์ ที่จะมองเห็นลว่งหน้าหรือมองเห็นเหตุการณ์ในนรกสวรรค์อย่างที่ต้องการด้วยตัวเอง แต่ที่ท่านนบีเอาเรื่องนรกสวรรค์มาพูดให้เราฟังนั้น เพราะอัลลอฮ์วะฮีย์ให้นบีทราบ และนบีกับรอซูลของอัลลอฮ์นั้นไม่ใช่จะรู้เหมือนกันทั้งหมด มีบางคนรู้เรื่องนี้...ไม่รู้เรื่องนั้น อัลลอฮ์วะฮีย์ให้ต่างกัน เหมือนกับที่อัลลอฮ์บอกยังงี้ عالم الغيت فلا يظهر على غيبه أحدا الا من ارتضى من رسول พระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ในเรื่องฆอยบ์ คือเรื่องที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆว่า ความรู้เรื่องฆอยบ์เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ โดยพระองค์จะไม่เผยแจ้งฆอยบ์ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด นอกจากรอซูลบางคนที่พระองค์พอพระทัย...ฟังอัลลอฮ์ว่าแล้วเป็นไง..พังไหม..ขนาดรอซูลยังได้รับเป็นบางเรื่อง และแตกต่างกัน นี่อะไรที่จะมาบอกว่า เขาเป็นผู้มีความรู้ล่วงหน้าในเหตุการณ์ของสวรรค์และนรก อะกีดะห์อย่างนี้เหรอคนที่ทำงานศาสนานะ เนี่ยอะกีดะห์ของคนจะไปสวรรค์หรือไง สวนทางกับคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูลตลอด อ่านต่อไปอีกหน่อยซิ. .เชคกุรตุบีย์ กล่าวว่า ท่านมีความสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับการมี “คัชฟ์” ของเขา วันหนึ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่ท่านกำลังรับประทานอาหารอยู่กับเขา ชายหนุ่มคนนี้ได้ส่งเสียงร้องอันดังขึ้นมาในทันทีทันใด และเริ่มมีอาการหอบ และอุทานขึ้นว่า “มารดาของเขากำลังถูกเผาอยู่ในไฟนรก” นี่ไอ้เด็กหนุ่มคนที่ว่าเนียมีหูทิพย์ตาทิพย์ เป็นอะห์ลุ้ลกัชฟ์ เลอะเทอะไหม ทำลายอะกีดะห์อย่างแรง ทำไมจะให้คนอื่นทำดีต้องโกหกด้วย หรือว่าโกหกให้คนอื่นไปสวรรค์ แต่ตัวเองไปนรก จะเอายังงั้นเหรอ
ตับลีค ผมไม่ได้ใช้ต้นนี้..ที่ถูกก็มีนะอาจารย์ กุรอาน ฮะดีษก็มี
อ.ฟารีด ผมก็ยังไม่ได้ว่าผิดทั้งหมดทุกตัวอักษร แต่ที่อ่านให้ฟังนี่มันผิด ทำลายอะกีดะห์ สมมติว่า...มีน้ำหวานขวดหนึ่ง ฮาล้าลกินได้นะ แต่ดันเอาเหล้าหรือบรั่นดีเยาะลงไปหยดหนึ่ง แค่หยดเดียวเนี่ย กินได้ไหม น้ำหวานผสมเหล้านะยังฮะล้าลกินอีกหรือ แต่กินเหล้าผสมน้ำหวานหรือกินเหล้าเพียวๆ นะมันบาปแต่ไม่ถึงกับตกมุรตัด แต่อะกีดะห์เพี้ยนๆอย่างนี้มันร้ายกว่าเหล้าผสมน้ำหวานอีกนะ.........(ยังมีต่อ)

รายงานโดย.. ทีมงานสื่ออนุรักษ์








บทความนี้มาจาก Moradokislam.org
http://www.moradokislam.org

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&file=article&sid=224