ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - สีเหลือง
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
สีเหลือง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> เกี่ยวกับมุสลิมะห์
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Thu Jul 06, 2006 1:34 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทีนี้อยากฝากไว้เรื่องชีริก คุณ matt สับสนว่าการเชื่อฟังนบีเสมือนเชื่อฟังอัลลอฮฺนั้นเป็นชีริก!

ไม่ใช่ครับ เหตุที่เราเชื่อฟังนบี ก็เพราะ อัลลอฮฺสั่งให้เชื่อฟังนบี

เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺสั่งให้มลาอิกะฮฺและญินกราบอาดัม (หรือจะตีความว่าแค่โค้งคำนับ อะรก็ตามขอละไว้ประเด็นนี้) ถามว่า มลาอิกะฮฺทำชีริกใช่หรือไม่? ก็อัลลอฮฺสั่งจะเป็นไรไปใช่ไหมล่ะครับ? ถ้าสั่งแล้วไม่ทำสิ ตะกับโบรฺ อ่า..

แล้วทีนี้ เอ..จะรู้ได้ยังไงล่ะว่ากรอบขอบเขตเทาไหนถึงจะรู้ว่าชีริก จะไปกติกาจากไหนมาชี้ดี? ไอ้มัดคลอง 13 ? หรือไอ้ไอ้แมทท์อเมกา? หรือไอ้โซ๊ะเมืองนรา? แต่ให้แต่ละคนตีความกุรอานด้วยตัวเองน่ะนะ ล้านคนก็ล้านแบบครับ
ด้วยเหตุนี้ท่านนบีจึงบอกว่า "ใครที่ตีความกุรอานตามความคิดของเขาเอง จงไปเตรียมที่ในไฟนรก" (ตรงนี้ต้องถามตัวเองให้มีความชัดเจนว่า ท่านนบีพูดมั่วๆหรือนั่งเทียนสอนหรือไม่)

เพราะฉะนั้นคนที่มาสอนกุรอานก็คือท่านนบี และคนที่เรียนจากนบีก็คือซอฮาบะฮฺ แต่เนื่องจากไม่มีอินเตอร์เน็ต บางคนก็รู้เยอะรู้น้อยต่างกันไป และคนที่เรียนจากซอฮาบะฮฺก็คือตาบีอีน และต่อมาก็ตาบิอิตตาบีอีน ตามลำดับ บางคนก็รู้เยอะรู้น้อย รู้ผิดรู้ถูกต่างกันไป (เนื่องจากหะดีษไม่ได้ถูกรวบรวมไว้ในที่เดียว) เราก็ต้องมานั่งดูหะดีษทั้งหมดและวิเคราะห์เอาว่าตรงไหนใครผิดใครถูก ...อย่างนี้เรียกว่าตามอย่างฉลาดครับ ตามอย่างอะหฺลุซซุนนะฮฺ ไม่ได้เรียกว่าหลับหูหลับตาตามอย่างพวกอะหฺลุลบิดอะฮฺ

ดังนั้นโดยสรุป (เข้าเรื่อง) จะรู้ได้ว่าอันไหนชีริกไม่ชีริก เราก็ไปดูบรรทัดฐานของนบีและคนยุคแรก ไม่ใช่ไปเอาความรู้สึกตัวเอง หรือความรู้สึกไอ้มัดหรือไอ้โซ๊ะที่ไหน..

ชีริกใหญ่ ชีริกเล็ก.. (ไม่มีเวลาอธิบาย กรุณาศึกษาเอง หรือไม่ก็เปิดประเด็นใหม่ เพื่อแสวงหาคำตอบที่ถูกต้อง)
แต่จะฝากไว้เล็กๆน้อยๆว่า การให้เกียรติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นชีริกหรือไม่? การที่เชื่อว่าวัตถุบางวัตถุมีความสูงส่งกว่าวัตถุอื่นเป็นชีริกหรือไม่? เชื่อว่าบุคคลหนึ่งสูงส่งกว่าอีกบุคคลหนึ่งเป็นชีริกหรือไม่?
คำตอบของทั้งหมดคือ ..ไม่เป็นชีริกครับ

- มีวันบางวันที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีบุคคลบางบุคคลที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีวัตถุบางวัตถุที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?



กลับมาอีกนิด เรื่องหนังสือหรือเครื่องแต่งกาย หรือวัตถุที่เขียนเรื่องราวของศาสนา มีถ้อยคำของศาสนา หรือการรำลึกถึงอัลลอฮฺ แล้วคุณ matt บอกว่าถ้าไม่กล้าเหยียบถือเป็นชีริก?? -*- ใช่หรือ?
เอ้า ยกตัวอย่าง คุณ matt กล้าเอาเท้าวางบนเท้าพ่อแม่หรือไม่? ก็กล้า .. เอ..แล้วกล้าเอาเท้าวางบนใบหน้าพ่อแม่ กล้าหรือไม่? ..ไม่กล้า..
เอ้าตกลง ใบหน้าของพ่อแม่ สูงส่งกว่าเท้าของพ่อแม่ ... ตกลงใบหน้าของพ่อแม่คุณ matt กลายเป็นชีริกสำหรับคุณแล้วหรือ? ไม่ใช่..

นี่แหละครับ สิ่งใดสูงส่ง สิ่งใดประเสริฐ แล้วเราให้เกียรติ ไม่ถือว่าเป็นชีริกครับ
เพราะฉะนั้นอย่าตีความชีริกด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านท่านนบีครับ (เมื่อเราขัดกับนบี ถ้าเราเข้าใจแสดงว่านบีไม่เข้าใจ ถ้านบีเข้าใจแสดงว่าเราไม่เข้าใจ นี่ตรรกะง่ายๆ)

แต่ไอ้การที่ผู้คนเชื่อกันว่ามนุษย์คนใดหนึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้ให้ชีวิต ผู้เป็นเจ้าของอาหาร อากาศ อันนั้นสิครับ เป็นชีริกในทัศนะของอิสลาม ทัศนะของท่านนบี
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Thu Jul 06, 2006 1:59 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขออภัยนะครับที่รีบพิมพ์แล้วพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก มันไม่มีโปรแกรม edit แก้ไข ก็หวังว่าอ่านเข้าใจนะครับ

คงไม่โกรธผมนะถ้าจะบอกว่า อีกประเด็นเรื่องความเป็นมาของประเทศไทย ซึ่งคุณ matt คงศึกษาประวัติหรือไม่รอบครอบด้านการวิเคราะห์ กลับไปพูดแบบหลับหูหลับตาตามประโยคคำพูดของคนไทยเขาพูดกัน โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี

ถามว่าโชคดีหรือครับที่เราเกิดมาอยู่ในระบอบนี้? ผมว่าโชคร้ายนะ ผมเรียนกฎหมายมาบ้างก็รู้ว่ามีบางคำพูดที่พูดไม่ได้ และต้องรู้จักใช้คำพูดที่กฎหมายเอาผิดเราไม่ได้ เพราะถ้าพูดพลาดก็อาจโดนเหมือนตัวประกันที่อิรัคโดน

คุณ matt ต้องอ่านประวัติประเทศไทยให้ดี อ่านมาจากหลายๆแหล่งครับ อย่าอ่านเฉพาะตำราเรียนที่คนไทยเขียน นั่นเขาล้างสมองเด็กให้มีความอนุรักษ์นิยมและชาตินิยม คุณ matt อยู่ในอเมริกาก็คงจะรู้นะครับ ว่า conservative และ nationalist มันห่วยแตกและล้าหลังแค่ไหน

กรุงศรีอยุธยาแตกน่ะยุคนเรศวรมหาราชใช่ไหมครับ? คำถามคือ เมื่อกู้ชาติกลับมาจากพม่าแล้ว ลูกหลานนเรศวรหายไปไหน? ทำไมจึงไม่มีใครให้ลูกหลานของพระองค์ปกครองแผ่นดิน? และหลังจากยุคนั้นเป็นอย่างไร? ...คุณ matt ซึ่งรู้ประวัติมาบ้าง ต้องไตร่ตรองให้ดี

ประการต่อมา ไม่มีใครมีบุญคุณกับมุสลิม เพราะมีคำว่ามุสลิมปรากฏอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้มานานกว่า 500 ปีตามหลักฐานที่สืบได้ในเชิงประวติศาสตร์
ยิ่งแล้วหากพูดถึงชาวมลายูก็ยิ่งพูดได้ว่าไม่มีใครมีบุญคุณกับชาวมลายูซึ่งอยู่ในแหลมนี้มานับพันๆปี เดิมทีนับถือฮินดูและพุทธ ต่อมากษัตริย์ปัตตานีก็เข้ารับอิสลาม ชื่ออิสมาแอล ชาห์ ผู้คนจึงเข้ารับตาม เมื่อราว 500 ปีก่อน ดังนั้นชาวมลายูจึงเรียกได้ว่าตนเองเป็นเจ้าของแผ่นดินและไม่ได้มาขออาศัยใครอยู่

ส่วนชาวชีอะฮฺจากเปอร์เซียที่เข้ามาอยู่ในไทย ไม่ได้มาเป็นทาส เป็นกรรมกร แต่มาในฐานะชนชั้นสูง เป็นพ่อค้า เป็นคนมีความรู้ เป็นคนมีอารยธรรมสูงส่ง (เนื่องจากเปอร์เซียมีอารยธรรมเจริญกว่าไทย) จึงเข้ามาเป็นชนชั้นเจ้าขุนมูลนาย มาเป็นนักรบ มาสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง (อย่าไปเข้าใจว่ามุสลิมคือแขกที่อพยพมาขายโรตีอย่างยุคปัจจุบัน อันนี้มันรุ่นหลัง)
นักรบชีอะฮฺที่เก่งกาจอยู่มาจนสมัยร.1 แห่งราชวงศ์จักรีคือ พระยาราชมังสัน หรือบังสัน คนนี้เป็นมือขวากษัตริย์ 3 ราชวงศ์ เป็นผู้มีบุญคุณกับลูกหลานชาวไทยต่างหากครับ
(แต่ในมุมมองของอิสลาม เขาคือคนทรยศศาสนาที่ไปบุกไปตีปัตตานีซึ่งเป็นมุสลิมซุนนี)

เพราะฉะนั้นมุสลิมอาศัยอยู่ในเมืองนี้ในฐานะลูกหลานวงศ์ตระกูลของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิครับ ผู้ยึดกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินดินแดนนี้ (เจ้าของแผ่นดินคืออัลลอฮฺ) ดังนั้นอย่าไปให้เขาเอาเรื่องเท็จมาล้างสมองกันง่ายๆ เมื่อไทยประกาศตัวเป็นประชาธิปไตย (เราไม่ได้ยึดถือระบอบนี้ แต่เมื่อรัฐบาลเขายึด) เขาก็ต้องให้สิทธิ และเคารพในสิทธิมนุษยชนของเราด้วยฐานะประชาชนในชาติ อันนี้อยู่ในรัฐธรรมนูญเอง และผมก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญอธิบายโดยอยู่ในกรอบของกฎหมายครับ ^^ อิอิ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Jul 06, 2006 10:01 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ยินดีทีคุณ IRF ช่วยเข้ามาอธิบายทำความเข้าใจ ในเรื่องความรักของ มุสลิม ต่อ ท่าน รอซูล, ผมไม่ทราบว่า คุณ เข้า ใจ ใน เรื่องที่ผมเขียนหรือไม่ แต่ไม่ สำคัญ เพราะ คุณ กลับไปอ่าน ใหม่ได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ขอบคุณที่ช่วยมาให้ความรู้ เพิ่มเติม กับ ผม ในอีกด้านหนึ่ง ที่ผมอาจจะยังไม่เข้าใจ หรือ มองไม่เห็น

การที่คุณยกเรื่อง การเหยียบ เท้า คุณพ่อคุณแม่นั้น ผมว่า คุณเปรียบเทียบ ในสิ่ง ที่ไม่ตรงกับประเด็น ผมไม่ทราบ ว่า คุณ ทราบ หรือไม่ว่า ในอัลกุรอาน และ จาก คำสอน ของ ท่านรอซูล มีบัญญัติ หรือ คำสอน ให้ มุสลิม ทุกๆท่าน รักเคารพ นับถือ พ่อแม่ ไม่ให้เถียง หรือ แสดงมรรยาท หยาบ คาย ต่อ พ่อแม่ ในการเปรียบเทียบ ของสูงของต่ำ นั้น โดย เปรียบเทียบ ถึงการ เหยียบเท้า พ่อแม่ ว่า เป็นที่ยอมรับ และใช้ได้ ตาม ทัศนะของคุณ นั้นขัดต่อการสอนของอิสลาม

แต่การเหยียบเท้าพ่อแม่ เป็นการ ขัดต่อคำสอนของอิสลาม ในเรื่องการให้เคารพต่อพ่อแม่ ซึ่ง มุสลิมทุกท่านทราบดี การให้ความเคารพ คุณพ่อ คุณ แม่ นี้ ต่างจาก ความรักศรัทธาเคารพ กราบไหว้ พระองค์อัลลอฮ์ ซึ่ง เป็น บัญญัติ และการสอนของท่านรอซูล ที่สอน ให้เราต้องเคารพรัก และเลี้ยงดู คุณพ่อคุณ แม่ เมื่อ แก่เฒ่า เช่นเดียวกับเราเชื่อฟัง บัญญัติ ที่ให้มุสลิม เชื่อฟังและเคารพรัก ท่าน รอซูล

ในครอบครัวผู้ซึ่งเป็นครอบครัวมุสลิม นอกจาก จะรักศรัทธา ต่อ พระองค์อัลลอฮ์ แล้ว เขาจะต้อง เชื่อในคำสั่งที่ให้รัก และ เชื่อคำสั่ง ของท่านรอซูล และเขาก็สอนกันต่อๆมา ในเรื่องมรรยาท ของการปฏิบัติต่อพ่อแม่ เขาผู้เป็นมุสลิม ไม่เหยียบ เท้า พ่อ แม่ หรือ ล่วงเกิน ท่านยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ เพราะ ท่านเป็นสิ่งสูงที่ควรเคารพ บูชา เท่ากับ พระองค์อัลลอฮ์ แต่เพราะ เป็น บัญญัติ ของอัลลอฮ์ และ คำสอน ของท่านรอซูล ให้มีมรรยาทที่ดีต่อพ่อแม่

ดังนั้นการเปรียบเทียบของคุณ จึงไม่ถูกต้อง ตามหลักการ ของอิสลาม ด้วยการ การยอมรับ ว่า การ เหยียบ เท้า คุณพ่อคุณแม่ เป็น มรรยาทที่ มุสลิมทำได้, ในครอบครัวมุสลิม ถือว่า เป็นมรรยาทที่เลวทราม และขัดต่อหลักการของอิสลาม ผมคิดว่า คุณคงเข้าใจ เมื่อผมอ่านที่คุณเปรียบเทียบ แล้ว ขนลุก ไม่ทราบว่าคุณจะกล้าทำเช่นนั้น กับคุณพ่อคุณแม่

มีผู้เล่าว่า .. ท่านรอซูลกล่าวว่า “มุสลิมแต่ละท่าน เป็นกระจกเงาซึ่ง สะท้อน มรรยาท ของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน” ดังนั้น การมีมรรยาทที่ดี ใช้วาจาที่สุภาพ จึงเป็น ผลที่แสดงออกของ ผู้ที่เป็น มุสลิมที่ดี และ ปฏิบัติตัวตามซุนนะห์ ของท่านรอซูลผู้ที่เป็น ที่รักของมุสลิม ทุกๆท่าน ถ้ามุสลิมมีกริยา มรรยาท และวาจาที่หยาบคาย ก็มีผลกระทบกระเทือน ถึง มุสลิมทุกๆท่าน รวมทั้ง “ท่านรอซูลที่เป็นที่รัก ของเราด้วย”

ด้วยใจจริงผมชื่นชมในความรู้ของคุณ IRF และนับถือในความรู้ของคุณมาก ในเรื่อง ศาสนา และเห็นว่าคุณ เป็นคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว และคิดว่าคงจะร่วมสนทนา กันด้วยดี ถึงแม้ว่าเรา อาจจะมีความ เห็น ในความศรัทธา ของศาสนา ไม่ตรงกัน แต่ตัวอย่างเปรียบเทียบ ที่คุณยกมา ทำให้ผมไม่แน่ใจ ว่า คุณเข้าใจหลักการของอิสลาม อย่าง ถูกต้องหรือไม่?

ในเรื่องความรักต่อพระมหากษัตริย์ ไทย , การใส่เสื้อ สีเหลือง หรือ เรื่อง ธง นั้น , อาจารย์ อาสัน ได้เข้ามาให้คำตอบ อย่างแจ่มแจ้ง และเป็นที่เข้าใจ และพอใจ แก่ผมแล้ว และผมเห็นด้วยกับคำอธิบายของอาจารย์อาสัน


ผมขอขอบ คุณในความตั้งใจดีของคุณ


ด้วยความนับถือ


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Jul 07, 2006 3:57 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คือคุณ matt ไม่จำเป็นต้องสาธยายถึงบุญคุณของพ่อแม่นะครับ อันนั้นเอาไว้เขียนเรียงความส่งครูภาษาไทยละกัน
การเขียนมา 8 ย่อหน้า ย่อหน้าละ 2-4 บรรทัด ไม่ได้มีคำตอบในส่วนที่ผมถามนะครับ อีกทั้งยังหลงประเด็นอีกด้วย
สิ่งที่คุณ matt อธิบายมาเรื่องบุญคุณของพ่อแม่และการทำดีต่อท่าน อันนี้ถูกต้องนะครับ ในสิ่งที่ถูกต้องตรงกันเราตัดทิ้ง เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นคนละประเด็น ประเด็นของผมคือ การให้เกียรติสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ตรงนี้ไม่ถือว่าชีริก นี่ต่างหากพอยท์ของมัน เพราะฉะนั้นผมไปเล่นกระทู้ไหนสิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ปล่อยคือ[U]การตีลูกมึน [/U]หรือการตีน้ำให้ขุ่น ผมจะเคลียร์จนมันตกตะกอนแล้วให้มันใสชัดเจนให้ได้ ไม่ยอมให้ผ่านง่ายๆครับ แล้วบอกว่าผมยกตัวอย่างผิดหลักการที่บอกว่าให้เหยียบหน้าพอ่หน้าแม่ อ่านให้เข้าใจสิครับ ผมไม่ได้สั่งสอนให้เหยียบหน้าพ่อหน้าแม่(ถ้าสอนแบบเนี้ยผิดหลักการแน่) แต่ผมบอกว่าหน้าพ่อหน้าแม่น่ะเหยียบไม่ได้ ใครที่ไม่มี logic ก็เออคล้อยตาม แต่ยากครับยุคนี้ที่คนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเป็นไม่ได้อยู่ในหลืบเขาจะไม่รู้จักใช้เซ็นส์หรือใช้ logic แยกผิดแยกถูก

สิ่งแรกที่ผมเอ่ยถึงเรื่องการเปรียบเทียบระหว่าง การไม่กล้าเหยียบวัตถุที่มีเกียรติ(เช่นเสื้อเรารักนบี หรือหนังสืออิสลาม ฯลฯ) ตรงนี้ทีให้ไปคือ logic ตรรกะเปรียบเทียบ แน่นอนครับสิ่งที่มีเกียรติเช่นวัตถุบางวัตถุ มนุษย์ทั่วๆไปก็มีเกียรติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ยิ่งมีเกียรติสำหรับเราเข้าไปใหญ่(ซึ่งไม่ต้องอธิบายเพราะคุณ matt เรียงความมาพอสมควรแล้ว)

มีหลายสิ่งที่คุณ matt มักไม่ตอบ ตรงนั้นผมยังไม่อยากตามจี้ แต่โดยตรรกะที่ผมมักเอ่ยเสมอว่า ถ้าตอบในสิ่งไม่ได้ แล้วอยู่ๆเลี่ยงไปตอบในเรื่องอื่นๆ แต่สิ่งนั้นมันมาขัดกับในส่วนที่เราอธิบายไม่ได้ นั่นแหละครับ ให้รู้ไว้เลยว่า สิ่งที่เราเข้าใจเนี่ย [B]เป็นสิ่งที่ผิด หรือไร้เหตุผล (inlogic)[/B]

ทีนี้เมื่อผมได้ตั้งคำถามไว้ ซึ่งยังคงค้างอยู่ คุณ matt ถ้ามีเวลาพิมพ์ได้ถึงราวๆ 8 ย่อหน้า นั่นแสดงว่าต้องมีเวลาให้คำตอบผมนะ ตอบเพียงสั้นๆคำสองคำก็ได้ว่า

1. ซอฮาบะฮฺและคุณยุคสลัฟ เขาไม่เข้าใจศาสนา หรือว่าง่ายๆเข้าใจศาสนาอย่างผิดๆใช่หรือไม่?

2. นบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็นผู้นำสาส์นมา ท่านเข้าใจศาสนาถูกต้องหรือไม่?

3. ตกลงนบีก็ไม่เข้าใจศาสนา คนยุคแรกก็ไม่เข้าใจ แต่น่าแปลกใจไหมที่มีคุณ matt เท่านั้น(และคนส่วนน้อยบางคน)เท่านั้นที่เข้าใจ ตรงนี้แสดงว่าคุณ matt ต้องเป็นบุคคลสำคัญตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้นแหละ

4. ตกลงที่ท่านนบีสอนๆมานับหมื่นนับแสนหะดีษ ท่านโกหกใช่หรือไม่? แอบอ้างตัวเองว่ารู้ศาสนาใช่หรือไม่? ท่านนบี่นั่งเทียนสอนใช่หรือไม่?


ตรงนี้ต้องตอบนะครับ สำคัญ เพราะจะได้รู้ว่าแต่ละคนมาคุยกันเนี่ย ยึดประมวลกฎหมายเล่มไหน?
และอย่าไปเข้าใจผิดนะว่าผมไปบีบบังคับให้คุณเชื่อตรงกับผม ผมจะมีสิทธิ์ที่ไหนล่ะครับ เพียงแต่ถามเพื่อที่จะได้ทราบถึงหลักอะกีดะฮฺ หรือจุดยึดเหนี่ยวของคุณ matt ว่าคุณยึดอะไร?(ตรงนี้ไม่ใช่คำถาม คำถามอยู่ที่ตรง 4 ข้อนั้น)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sun Jul 09, 2006 2:54 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณIRF

ผมหวังว่าเรียงควา มของผมคงเกิดประโยชน์ แก่คุณไม่มากก็น้อย อย่างดีก็ช่วย เตือนความจำสมัยเมื่อ เป็นเด็กๆได้

ผมทราบดีว่า คุณพยายามที่ จะพิสูจน์ ให้เห็นเป็นจริง ว่า ถ้าผม ปฎิเสธเรื่อง บอกเล่า จากปากต่อปาก เกี่ยวกับท่าน รอซูล แล้ว เป็นการไม่ ปฏิบัติ ตาม คำสั่ง ของอัลลอฮ์ และไม่รักและเชื่อฟังคำสอน ของท่าน รอซูล เพื่อ นำไปสรุป ได้ว่า การไม่เชื่อ “เรื่องบอกเล่า” เหล่านั้น ก็เท่ากับ ผมเชื่อว่า ..

1. ท่าน นบีไม่รู้ และไม่เข้าใจศาสนา
2. ท่านนะบีโกหก
3. ไม่เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮ์
4. ผมไม่ใช่มุสลิม

คุณก็เลยพยายามที่ จะตั้งคำถาม แบบ Deductive และ inductive reasoning เพื่อ ที่จะตะล่อม การโต้เถียง ให้ไปถึงจุดที่ เรียกว่า “ ความจริง”

แต่ว่า สมติฐานของคุณที่ตั้งขึ้นมา ทั้ง สี่ ข้อนี้ ไม่ อยู่ ใน ลักษณะโครงสร้าง ของ Logical process ทั้งนี้ เพระาว่า premises ทั้งสี่ ที่คุณตั้งมานั้น ไม่มีความจำเป็น ต้อง พิสูจน์โดยตรรกะ, ด้วยเหตุผลที่ว่า เหตุผลมัน “ obvious” คือว่า “ท่านรอซูลไม่ได้รับรอง หรือเป็นผู้พิมพ์ เรื่อง เล่าต่างๆเหล่านั้น” มันเป็นเพียงแต่คำอ้างอิงของผู้อื่น ดังนั้น ท่านรอซูล จึงไม่มีความรับผิดชอบในข้ออ้างต่างๆเหล่นั้น” เมื่อท่านรอซูล ไม่ assume responsibility ต่อ อะหะดีษ ท่านรอซูล ก็ไม่ liable ต่ออะหะดีษตาม กฏหมาย , สรุปแล้ว ผู้ที่ liable ต่ออะหะดีษตาม กฏหมาย ก็คือ ท่านอีมามบุครี

ถ้าคุณจะลอง เป็นทนาย แก้ความ ให้ ท่านอีมามบุคอรีก็ได้ โดย ผมจะใช้บัญญัติในอัลกุรอานเป็นกฏหมายสูงสุด, ผมจะ กล่าวหาว่า เรื่องเล่าเหล่านั้น ไม่อาจจะเชื่อได้ว่า เป็น คำสอนของท่านรอซูล ทั้งหมด, แต่ผมจะเตือนคุณว่า คดีนี้ หลักฐานของคุณ จะไม่อาจจะสนับสนุนได้โดยกฏหมาย สูงสุด ของอิสลาม(อัลกุรอาน) และเมื่อถึง Supreme Court ในวัน ตัดสิน ในปรโลก พยานปากสำคัญ คือท่านรอซูล ผู้ซึ่งจะ ไม่ รับรอง สิ่งเหล่านั้นเลย และ ท่านรอซูล จะกล่าวว่า..

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ละทิ้ง อัลกรุอานเสียแล้ว” (ซูเราะฮฺ อัลฟุรกอน อายะ 30)

ถ้าผมแพ้คดีนี้ ผมจะต้องอยู่ในไฟนรก อย่างแน่นอน แต่ถ้าลูความคุณแพ้คดี โดยหลักฐานจาก อัลกุอานและ จาก Logical process ที่คุณถนัดแล้ว ประชาชนเป็นจำนวนมากที่ เชื่อ ท่านอีมามบุคอรี แต่หันหลังให้กับ ท่านรอซูลที่มีคำสั่งอย่าง ห่วงใย ให้ยึดอัลกุรอานและ ตามซุนนะห์ของท่าน เช่น ที่ ชาวสลัฟ ปฏิบัติ

อากีดะห์ ที่แท้จริงของ อิสลาม คือ เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เชื่อในซุนนะห์ ของท่านรอซูล และไม่ เชื่อหรือ ศรัทธา ต่อเรื่องบอกเล่า หรือ นิทานยายกะตา หรือ ชาดกต่างๆ


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sun Jul 09, 2006 3:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แก้ข้อความ..

"ถ้าผมแพ้คดีนี้ ผมจะต้องอยู่ในไฟนรก อย่างแน่นอน, แต่ถ้าลูกความของ คุณแพ้คดี โดยหลักฐานจาก อัลกุอานและ จาก Logical process ที่คุณถนัดแล้ว, ประชาชนเป็นจำนวนมากที่ เชื่อ ท่านอีมามบุคอรี แต่หันหลังให้กับ คำสอนสั่ง ของ ท่านรอซูลที่มีคำสั่งอย่าง ห่วงใย ให้ยึดอัลกุรอานและ ตามซุนนะห์ของท่าน เช่น ที่ ชาวสลัฟ ปฏิบัติ, จะต้องประสพกับความเสียใจอย่างใหญ่หลวง"
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Tue Jul 11, 2006 12:43 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

รู้สึกว่าช่วงนี้ จานว่างจังเนอะ มีเวลาเขียนได้เป็นคุ้งเป็นแคว เสียดายที่เวลาว่างผมตอนนี้ จำกัดเหลือเกิน เข้าเรื่องเลยละกัน

เมื่อท่านรอซูล ไม่ assume responsibility ต่อ อะหะดีษ ท่านรอซูล ก็ไม่ liable ต่ออะหะดีษตาม กฏหมาย , สรุปแล้ว ผู้ที่ liable ต่ออะหะดีษตาม กฏหมาย ก็คือ ท่านอีมามบุครี( Matt : สีเหลือง - Sun Jul 09, 2006 2:54 am )


อันนี้ก็เห็นด้วยครับ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะ invalid!
แต่ก็ช่างเถอะ เวลามีน้อย ขอพักอิมามบุคอรีไว้ก่อน ติดใจตรงข้อความที่ว่า...

“ท่านรอซูลไม่ได้รับรอง หรือเป็นผู้พิมพ์ เรื่อง เล่าต่างๆเหล่านั้น” มันเป็นเพียงแต่คำอ้างอิงของผู้อื่น
( Matt : สีเหลือง - Sun Jul 09, 2006 2:54 am )

จึงสงสัยว่า อัลกุรอานที่เราอ่านกันทุกวันนี้ ท่านนบีก็ไม่ได้เป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาซะหน่อย และอีกอย่าง จานแมทท์เองก็ไม่ได้ contact กับท่านนบีโดยตรง ข่าวสารข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับท่านนบี เกี่ยวกับอัลกุรอาน ก็ผ่านคนโน้นคนนี้มาทั้งสิ้น อาจจะหลอกจะลวงกันมาตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ นั่นก็แสดงว่าท่านรอซูล ไม่ assume responsibility ต่ออัลกุรอานฉบับปัจจุบันด้วย ใช่หรือไม่?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Jul 11, 2006 11:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ AlGhuraba:

สวัสดีครับ....เรื่องนี้เป็น เรื่อง ที่เกี่ยวกับความศรัทธา และ เป็น เรื่องที่Sensitive มากในการที่จะ เสียศรัทธาต่อ พระผู้เป็นเจ้า "อัลลอฮ์" , ฉนั้น ในการ เปรียบเทียบ สิ่งที่มนุษย์ เล่าหรืออ้างว่า เหตุการนั้นๆ เกิดจากใคร หรือ มนุษย์ ผู้ใดกล่าว จึง ต่าง กับ Miracle ที่พระเจ้า ทรง บันดาล ให้ เกิดขึ้น ใน ตัว ท่านรอซูล ซึ่งเป็นมนุษย์ และพระเจ้าทรงยืนยันไว้ใน บัญญัติของพระองค์

ส่วนอะหะดีษนั้น เป็น เรื่อง ที่ "มนุษย์เล่าให้เราฟัง" ถ้าเราปฏิเสธท่านอิมามบุคอรี" เราจะไม่เสียศรัทธา แต่ถ้าเราปฏิเสธ.."อัลกุรอาน" อัลกุรอานแล้ว เราจะเสียศรัทธาต่อ "อัลลอฮ์" และ ปฎิเสธ คำบัญชาของอัลลอฮ์ ที่ สั่ง ให้เชื่อฟังและรักท่าน รอซูล เป็นการ เสียศรัทธา ถึงสองต่อ

การเชื่อถือ ในพระเจ้า "อัลลอฮ์" นั้น, เกิดในหัวใจของมนุษย์ ซึ่ง มาในรูปต่างๆ กัน ตั้งแต่ท่าน นบีอดัม ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว, โดย ความรู้สึกที่มีอำนาจ สูงสุด และ ความรู้สึกที่มนุษย์ วิงวอนขอความช่วยเหลือ ในเมื่อเวลา ตกใจ หรือ อยู่ในอันตรายอย่างคับขัน ซึ่งมนุษย์ ด้วยกัน ไม่สามารถจะให้ควาวมช่วยเหลือได้ หรือจะมองหาผู้ใดมาช่วยก็ไม่ได้ โดยที่ไม่จำเป็นว่าผุ้คนเหล่านั้น นับถือศาสนาอะไร .หรือเป็นมุสลิมหรือไม่....ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็น Miracle อย่างหนึ่งที่พระเจ้า"อัลลอฮ์" ทรงดลบันดาลให้เกิด แก่มนุษย์ อยู่ทุกๆวัน เรื่อยมาจนกระทั่งที่ปรากฎอยู่ในทุกวันนี้ ดังนั้นเราจะเห็นว่า ควาวมศรัทธา ต่อพระเจ้านั้น ต้องมีมาก่อน "อัลกุรอาน" อย่างแน่นอน และก่อน ที่ นบี อิบรอ ฮิม จะรู้จักพระเจ้า

ในบางกรณี ความศรัทธาเช่นนี้ ทำให้มนุษยืเกิด จินตนาการถึง พระเจ้าไปในรูปต่างๆกัน และก็สร้างทำรูปปั้นขึ้นมาเคารพขึ้นมา แทน มโนภาพเหล่านั้น, ผมขอแสดงความเห็นเป็นการส่วนตัว.. ผมจึงคิดว่าด้วยเหตุนี้ พระเจ้า"อัลลอฮ์" จึงจำต้อง ส่งศาสนทูตต่างๆ ขึ้นมาเพื่อ นำข่าวสารที่สำคัญมาสู่มนุษย์ คือ "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรเคารพบูชานอกจากพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น" ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มนุษย์ ซึ่งพระองค์ ทรงสร้าง มา หลงไปจากทางของพระองค์ (มีในอัลกุรอาน)


ที่กล่าวมาสอง ย่อหน้าข้างบนนี้ เพื่ออธิบายความเข้าใจใน ความศรัทธาของมนุษย์ที่มี ต่อพระเจ้า ซึ่ง ต่าง จากความศรัทธาที่มี ต่อ มนุษย์ ด้วยกัน, ถ้าอิมามบุคอรีกล่าวว่า "ท่านรอซูลกล่าวว่า ให้ มนุษย์เชื่อฟังพระเจ้า" คำกล่าวนี้จะไม่มีปัญหา เพราะ ถ้ามนุษย์ มีความศรัทธา ในพระเจ้าแล้ว มนุษย์จะเชื่อคำกล่าวนี้ทันที แต่ถ้าท่านอิมามบุคอรี เล่าว่า มีคนเล่าว่า "ท่านรอซูลทำนายอนคตได้" ข้อความนี้ ขัดต่อบัญญัติของพระเจ้า และทำให้เกิดข้อสงสัย ในเรื่องเล่านั้น เรื่องนี้ต้อง การความยืนยันต่อพระเจ้า

สำหรับความศรัทธาต่อพระเจ้าของผม ถ้าผมไม่รู้จักศาสนาอิสลาม หรือนับถือศาสนาอิสลาม หรือถูกมนุษย์ ด้วยกัน กล่าวหาหรือ สาปแช่ง ให้ผมพ้นจากการเป็น มุสลิม, ผมก็ยังเชื่อและศรัทธาว่า พระเจ้ามีจริงและมีอยู่เพียงองค์เดียว "อัลลอฮ์์" ผมไม่สนใจว่ามนุษย์ ใดๆ ตัดสินผมอย่างไร เพราะผมให้ทุกอย่างอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเมื่อเราเชื่อ ในพระเจ้าและรอซูลของท่านแล้ว เราก็ไม่ควรเชื่อสิ่ง เหลวไหล ที่มนุษย์อื่น ที่ไม่ใช่ รอซูลเล่าให้เราฟัง

ถ้าเราศรัทธาต่ออัลลออ์ เราต้องเชื่อ ในรอซูล และเชื่อว่าอัลกุรอานเป็น "กิตาบุลลอฮ์ที่แท้จริง เท่านั้น" ถ้าเราไม่เชื่อข้อความในอัลกุรอาน เราก้ไม่เชื่อทุกๆสิ่งในอิสลาม, และ ถ้าเราเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในอัลกุรอาน แล้ว เราก็จะต้องไม่เชื่อ "อะหะดีษ" หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่าน รอซูล ของอิมามบุคอรี ทั้งนี้เพราะว่า เราทราบคำสั่งของ อัลลอฮ์ ผ่านท่าน รอซูล จาก อัลกุรอานแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราใช้ "อัลกุรอาน" เป็น กฏหมายสูงสุด ในการพิจารณา ตัดสิน ความรับผิดชอบ ต่อ เรื่องบอกเล่า ของ "อิมามบุคอรี" แล้ว, และถ้า เรามีความศรัทธาต่อ "พระองค์อัลลอฮ์" อย่างบริสุทธิ์ ใจอย่าง ที่ "ชามสลัฟ" ศรัทธาต่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่มี ความสงสัยใน ความรับผิด ของท่านรอซูล ในการรับวะฮี์ จากอัลลออ์ ทั้งนี้ เพราะ "อัลลออ์" ทรงเป็นพยาน ให้ท่านรอซูล (จากอัลกุรอาน)

คุณ AlGhuraba: ครับ... คดีนี้ ถ้าเราใช้ "อัลกุรอาน" เป็นกฎหมายสูงสุด ในการตัดสิน และพระองค์"อัลลอฮ์" พระองค์เอง เป็นผู้พิพากษาสูงสุด ในวันกิยามัต แล้วท่าน "รอซูลและ ชาวสลัฟเท่านั้น" ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเท็จจริงของอัลกุรอาน แต่ ท่านรอซุล จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับสิ่งผิดพลาด จำนวนมากที่มีอยู่ ในอะหะดีษแม้แต่นิดเดียว, แต่น่าสงสารท่านอิมามบุคอรี ที่จะต้อง รับผิดชอบ ต่อ เรื่องเท็จที่มีอยู่ใน อะหะดีษ และ ตกเป็นจำเลยที่ทำให้มุสลิมเป็นจำนวนมาก ที่หลงทางไปจากทางของพระเจ้า....เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มุสลิมทุกๆท่านจะต้องไตร่ตรองตามความ นึกคิดของตนเอง ...สำหรับส่วนตัวผม ผมคิดว่า "ถ้าเราจะปฏิบัติตามชาวสลัฟอย่างแท้จริงแล้ว เราจะต้องพิจารณาสังคมมุสลิมเรา ว่าเราขณะนี้ ได้นำอะไรมาต่อเติมศาสนาอิสลามของเรา ดดยที่ชาวสลัฟ ไม่เคยกระทำ...เป็นสิ่งที่น่าคิดครับ

ด้วยความรักนับถือ ไเพื่อนเก่า" ที่ให้ความรู้กับผมเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์อิสลามในแง่ต่างๆอย่างมากมาย ในการเสวนาที่ผ่านๆมา

wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Wed Jul 12, 2006 9:56 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดูเหมือนผมจะถามไม่ตรงคำตอบ...ก็ขอยอมรับเป็นความผิดพลาดของผมเองละกัน
งั้นขอถามใหม่ และอาจจะต้องถามซ้ำ ถามซาก จนกว่าจะตรงกับคำตอบของอาจาน
คือผมไม่ได้ถามเรื่องการศรัทธา แต่ถามถึง authenticity ของอัลกุรอานครับ โดยทฤษฎีของจาน เราไม่อาจยอมรับคำบอกเล่าของใครได้เลย ดังนั้น เมื่อเราไม่ได้เจอกับนบี ไม่ได้อยู่ร่วมกับท่านตอนรับวะฮี เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าที่ใครเขาเอามาบอกว่า นี่คือดำรัสของอัลลอฮฺ นั้น มันคือของจริง เพราะตลอดระยะเวลากว่าพันปีที่ผ่าน จะมี contaminant สอดแทรกเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ เช่นเดียวกับที่เกิดกับอัลหะดีษตามความคิดอคติของอาจาน?
لاإله إلاهو อาจจะใช่ข้อความจริงในอัลกุรอาน
แต่..... وإناله لحافظون – และเราจะเป็นผู้พิทักษ์มัน (15:9)..... อาจจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีใครบางคนเพิ่มเข้ามา เพื่อสวมรอยให้ contaminant อื่นๆ valid ก็ได้ (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ!)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Jul 12, 2006 7:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ผมต้องขอ อภัยด้วยที่คำตอบยาว ไปและทำให้คุณไม่เข้าใจ “ผมเข้าใจคำถามของคุณ เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากว่า อัลกุรอาน เป็นบัญญัติ ที่ “มุสลิม” (ต้องเข้าใจคำจำกัดความของคำว่า “มุสลิม”) เชื่อว่า “เป็นบัญญัติของ “อัลลอฮ์” ด้วยเหตุนี้ ผมจึงจำเป็น ต้อง อธิบายถึง “ความมีอยู่” ของพระเจ้า เสียก่อน คือ ก่อนอื่นเราจะต้อง เชื่อว่า “อัลลอฮ์” มีจริง เมื่อเราเชื่อ หรือ ศรัทธาต่อ “ความมีจริง” ของอัลลอฮ์ แล้ว เราจำเป็นต้องเชื่อ ทุกๆ “อายะ” ที่ รอซูลรับวะฮีย์ มา, เรื่องการเชื่อ authenticity ของอัลกุรอาน นั้น ขึ้นอยู่กับการมีศรัทธา ต่อ “อัลลอฮ์” ถ้าอัลลอฮ์ ทรงให้คำสัญญา ว่า พระองค์ “จะเป็นผู้ รักษา authenticity ของอัลกุรอาน แล้ว เรา จึงจำเป็นต้องเชื่อ ข้อสัญญาของ พระองค์ (15:19, 55:77-80, 85:21-22)

แน่นอน ในความเห็นของ คุณ อายาต ต่างๆ ที่ผม อ้างถึง นี้ อาจจะถูกแก้ไข และแต่งขึ้น โดยผู้ใดก็ได้ เพื่อสนับสนุน ว่า “อัลกุรอาน “ เป็น “ของจริง” ถ้าคิดเช่นนั้นแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรที่จะอธิบายต่อ, ทั้งนี้ เพราะว่า ความคิดเช่นนั้น ยังมี อยู่ ในผู้ที่ไม่เชื่อในอัลกุรอาน ว่ายัง มี authenticity เช่นเดียว กับ ต้นตำหรับ ที่ เราเชื่อ ว่า “ท่านรอซูล” ได้รับประทานมาจาก พระเจ้า จริง หรือไม่? ความเชื่อในความแท้จริงของอัลกุรอาน เป็น หลักของความศรัทธาเบื้องแรก

ผมเชื่อว่า ข้อความใดๆก็ตามในอัลกุรอาน ที่ถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง โดยมนุษย์ ไม่ว่า จะโดยตั้งใจ หรือ ไม่ตั้ง ใจก็ตาม, พระองค์อัลลอฮ์จะนำออกมาให้เห็น หรือแสดงแต่เฉพาะสิ่งที่ถูกต้อง ของอัลกุรอาน เช่นเดียวกับที่ พระองค์ ประทานมาแต่เริ่มแรก

ถ้ามุสลิมมีความศรัทธาต่อ “อัลลอฮ์” โดยไม่มีเงื่อนไขแล้ว เมื่อเราอ่าน อายาต 15:19, 55:77-80,85:21-22 และเข้าใจ ความหมาย แล้ว เราก็ไม่คงไม่ต้อง สงสัยใน authenticity ของอัลกุรอาน ผมขอตอบสั้นๆ ก่อน ถ้าคุณ ยังมีข้อสงสัย ใน authenticity ของอัลกุรอาน ที่เรา ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผมพยายาม จะอธิบายตาม ความ เห็นของ ผม อย่าง ละเอียด เมื่อ มีเวลามากกว่านี้

คุณ AlGhuraba เชื่อใน authenticity ของอัลกุรอาน ที่คุณและมุสลิมทั้งหลาย ใช้ศึกษาอยู่ใน ปัจจุบันหรือไม่? และ ระหว่าง authenticity ของอัลกุรอาน กับ authenticity ของ “อะหะดีษ” คุณว่า authenticity ของ อันไหนที่ที่มีความแท้จริงมากกว่ากัน ? เก็บคำตอบนี้ไว้ในหัวใจของคุณเอง

ตามที่ผมกล่าวแล้วว่า ใน วันตัดสิน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้อง ถูกเปิดเเผย อย่างแน่นอน ท่านรอซูล จะไม่มีความรับผิดชอบต่อ ข้อความใน อะหะดีษ, และ ข้อความ ในอัลกุรอาน ที่อาจจะถูกแก้ไข(โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) , สำหรับ ผู้แก้ไขอัลกุรอานก็จะถูกลงโทษ, แต่ผู้ที่เชื่อและยึดถืออัลกุรอานจะไม่ถูกลงโทษ ทั้งนี้เพราะปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮ์, ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของ อัลลอฮ์ จะอยู่ในดุลย์พิจารณาของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Jul 12, 2006 9:54 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ AlGhuraba..

ที่ผมอธิบายมานี้ อ้างอิงจากความศรัทธาต่อพระเจ้า "อัลลอฮ์" เป็นพื้นฐาน, เพื่อใช้อัลกุรอาน เป็นกฏหมายสูงสุดในการ ตัดสิน เรื่อง ความรับผิดชอบของ รอซูลต่อ "เรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับตัวท่าน โดยอีมามบุคอรี" , โดย Assume ว่า อัลกุรอาน ที่ใช้เป็นกฏหมายสูงสุด ในการตัดสินนั้น เป็น Original

การวินิฉัย authenticity ของอัลกุรอานในกรณีนี้ เป็นอีกเรื่อง หนึ่ง ที่จะต้องแยก ออกจาก เรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะว่า ไม่มีบัญญัติของ พระองค์อัลลอฮ์ ยืนยันในความแท้จริง ของ อะหะดีษ, อย่างเช่น "อัลกุรอาน"

การพิสูจน์ authenticity ของอัลกุรอานโดยใช้ Physical evidence ตามประวัติศาสตร์ แล้ว ผมว่า คุณและมุสลิระดับความรู้อาจารย์ ทางศาสนาเข่นคุณ ย่อมทราบดี และอาจจะสามารถอธิบายได้ ดีกว่าผม, แต่ผมขอให้คุณแน่ใจว่า ผมทราบและเข้าใจ เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผมจึง เชื่อ ในอัลกุรอานด้วยเหตุผล

คำถามของคุณที่ถามผมหรือ แย้งผมในเรื่องนี้ จึง เพียงแค่การทดสอบเพื่อให้ผม หาหลักฐานมาพิสูจณ์เท่านั้น แต่เนื่องจาก ผมมีศรัทธาในพระเจ้า ผมจึงไม่มีความ จำเป็นที่จะต้อง พิสูจน์ authenticity ของหนังสือของพระเจ้า ต่อ ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้า และ ยึดถือ อัลกุรอานเช่นเดียวกับผม

แต่ข้อแตกต่างระหว่างคุณ เป็นแนวทางปฏิบัติศาสนกิจ ไปพร้อมๆกัน ซึ่งมันเป็นทางเลือกของคุณ


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Jul 12, 2006 10:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แก้ข้อความ..

แต่ข้อแตกต่างระหว่างคุณ กับผม อยู่ที่ ผมยึดอัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว เป็นแนวทางปฏิบัติศาสนกิจ แต่คุณยึดถือ ทั้งอัลกุรอานและ หนังสือเล่มอื่น ไปพร้อมๆกัน ซึ่งมันเป็นทางเลือกของคุณ

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Jul 12, 2006 10:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

o
[B]
ที่คุณสองคนคุยกันนั้น มันค่อนข้างจะเป็นศาสตร์ชั้นสูง ปนภาษา ฟุต ฟิต ฟอ ฟาย เอาอย่างนี้
ก็แล้วกัน คือ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสว่า

وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ وَلَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ

และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขาและเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง

คำว่า "لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ

เพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา

...............
แล้วคำอธิบายขอท่านนบีล่ะครับ อยู่ที่ใหน แล้วถ้าอัสสุนนะฮ ที่รายงานสืบต่อกันมาของผู้ที่เชื่อถือได้ กลายเป็น เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้เลย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ ที่จะกล่าวถึงอายะฮนี้
อัลลอฮทรงมีบัญชาว่า
وَأْمُرْ أَهْلَكَ بِالصَّلَاةِ وَاصْطَبِرْ عَلَيْهَا لَا نَسْأَلُكَ رِزْقاً نَّحْنُ نَرْزُقُكَ وَالْعَاقِبَةُ لِلتَّقْوَى

[20.132] และเจ้าจงใช้ครอบครัวของเจ้าให้ทำละหมาด และจงอดทนในการปฏิบัติ เรามิได้ขอเครื่องยังชีพจากเจ้า เราต่างหากเป็นผู้ให้เครื่องยังชีพแก่เจ้า และบั้นปลายนั้นสำหรับผู้ที่มีความยำแกรง

..............
แล้วผมจะสอนให้ลูกเมียผมละหมาดอย่างไร หากผมไม่เชื่อตามอัสสุนนะฮ ที่บอกถึงวิธีการละหมาด เพราะในอัลกุรอ่านแสงให้ละหมาดเท่านั้น อัลกุรอ่านที่ตกมาถึงมือเราจนปัจจุบันนี้ ก็ได้จากการถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จากต้นฉบับที่มีการรวบรวมครั้งแรกในยุคของเคาะลิฟะฮอบูบักร และในยุคของท่านอุษมาน ได้คัดลอกจากต้นฉบับนี้ แล้วแจกจ่ายไปตามเมืองต่างๆ ในทำนองเดียวกัน กับอัสสุนนะฮ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดกันมา คุณ matt เองก็ไม่รับคัมภีร จากปากของท่านนบี โดยตรงเลย แต่ คุณยอมรับในอัลกุรอ่าน แต่ คุณกลับเหมารวมว่าหะดิษทั้งหมด เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องมุสา เชื่อถือไม่ได้เลย มีโองการอัลกุรอ่านหลายๆโองการที่กล่าวถึง ศาสนพิธี แต่ไม่ได้บอกวิธีการไว้ เหล่ามุสลิมส่วนใหญ่ เขาย่อมรับในหะดิษที่มาอธิบายวิธีการประกอบศาสนกิจเหล่านี้ แต่ตุณ matt มองว่า หะดิษเป็นเรื่องมุสา แล้วคุณปฎิบัติตามโองการเหล่านั้นอย่างไร
[/B].........

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Fri Jul 14, 2006 11:44 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

อาจารย์อาสันที่นับถือ

ผมพยายามที่จะหลีกเลื่ยงการเสวนาในเรื่องนี้ ถ้าอาจารย์ อ่าน ดูจะเห็นว่า ผมไม่ได้ ปฏิเสธ ความเชื่อตามอัสสุนนะฮ แม้แต่นิดเดียวเลย แต่จุดที่ผมแตกต่าง จาก ท่านทั้งหลายในที่นี้ ก็คือ ความเชื่อตามอัสสุนนะฮ นั้น ผมเข้าใจว่า มุสลิมเราทำสืบต่ิอ กันมา เป็นเวลา นับ ชั่วคน เช่น ชาวสลัฟ ชาวสลัฟ ไม่มี หนังสือ ที่เรียกว่า อะหะดีษ ของบุคอรี หรือ อื่นๆ แต่เขาเหล่านั้น ถือปฏิบัติหลักการ ศาสนา สืบต่อกันมาเป็นเวลา ไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วคน ตั้งแต่ท่านรอซูล ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง ท่าน สิ้นชีวิต ไปแล้ว เป็น เวลา ช้านาน เขาเหล่านั้นทำได้อย่างไร เขาเหล่านั้น ทำได้โดยการปฏิบัติตาม ความ เชื่อตามอัสสุนนะฮ และได้เห็นการปฏิบัติสืบต่อๆกันมาจากท่านรอซูล

อย่างแน่นอน ในอะหะดีษมีส่วนที่เป็นความแท้จริง อยู่ ส่วนที่ตรงกับอัลกุรอานและสนับสนุนโดยอัลกุรอาน ก็เป็นส่วนที่ซ้ำอยู่ในอัลกุรอาน, ซึ่งส่วนที่ซ้ำนี้ ไม่จำเป็นต้อง ศึกษาจาก อะหะดีษทั้งนี้เพราะมีอยู่ในอัลกุรอานแล้ว, แต่ส่วน ที่เป็นประเพนีอรับ, และไม่สอดคล้องกับหลักการหรือ บัญญัติ ในอัลกุรอาน ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก

อาจารย์ จะเห็น จากการเสวนา ของ ชาวอะหะดีษบุคอรีด้วยกัน มีการอ้างอิงถึง อะหะดีษ ที่ อยู่ในเกรด ต่างๆกัน พอถึงยามหน้ามืด หาเหตุผลไม่ได้ ก็ดึง ฏออีฟหะดีษ มาใช้ อ้างอิง, ผมติดตามอ่านมาตลอด ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมนักศึกษาที่กำลังเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึง เข้าใจการอ้าง อะหะดีษ แตกต่างกันมาก และทำไมจึงปฏิบัติศาสนกิจไม่เหมือนกัน เช่น บางคนเชื่อว่า ทำเมาลิดินนบีได้ และมีหลักฐานทางหะดีษต่างๆ มาสนับสนุน และ ผู้ที่เชื่อว่า ทำไม่ได้ ก็มีหลักฐานทาง อะหะดีษมาสนับสนุน .... ถ้าไม่พบหลักฐานห้ามในอะหะดีษก็ถือว่าทำได้ แต่ อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างว่า ถึงไม่มีหลักฐานห้าม ไว้แต่ว่า ไม่มีผู้ใดเคย ได้เห็นหรือได้ยิน ท่านรอซูลทำหรือสนับสนุนให้ทำ ....ก็ถือว่าทำไม่ได้ เลยหาข้อสรุปไม่ได้ ว่า "อะหะดีษอธิบายว่าอย่างไรในเรื่องเมาลิดินนบีนี้"

ซึ่งคำตอบหาได้ในอัลกุรอาน คือ ให้มุสลิมรักและเชื่อฟังท่านรอซูล โดยไม่ให้ยกฐานะบูชาท่าน ให้ต่างจาก มนุษย์ ด้วยกัน ถ้าการทำเมาลิดินนบี เลยเถิดจนยกท่านรอซูลเกินกว่า "มนุษย์" ก็อาจจะทำไม่ถูกต้อง และจะนำไแสู่ การ Idolize ท่านรอซูล (ขอใช้ศัพท์นี้ นะครับ ผมไม่ทราบจะใช้คำไทยที่รัดกุมอย่างไร ถ้าใชภาษาอรับ "ชิริก" ก็อาจจะแรงไป) ในการที่เราไม่ทำเมาลิดินนบี ด้วยเหตุผลนี้จึงน่าจะถูกต้องกว่า

ผมขอกลับเข้าเรื่อง ความ เชื่อตามอัสสุนนะฮ ....

การที่ผู้ใดไม่เชื่อ ว่า ท่านรอซูลกับมะลาอิกะห์ เหาะขึ้นสวรรค์ ชั้นต่างๆไปเพื่อไปเจรจาต่อรอง ในเรื่องการทำละหมาด จาก 50 เวลา ลงมาถึง 5 เวลา และได้ไปพบกับ ท่านนบี ต่างๆ ตามที่ มีคนมาเล่า ให้ ท่าน อีมาม บุคอรีฟัง ว่า ท่านรอซูลเล่าเรื่องนี้ ให้เขาฟังนั้น, ผมว่า คงจะไม่ทำให้ผู้นั้นเป็น "กาเฟร" เป็นแน่, ทั้งนี้เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับความสนับสนุนจากอัลกุรอาน

มีมุสลิมผู้ใดที่เชื่อว่า หลังจากท่านรอซูลถูกแหวะอกและชำระล้างด้วยน้ำ ซยัมๆ แล้ว บรรจุในหัวอก ที่ว่างเปล่า ฃองท่านรอซูล ด้วยความรู้จากถาดทองคำ และเหาะขึ้นสวรรค์ไปพบผู้ใดก็ตาม,... การเชื่อเช่นนี้ เป็นการเชื่อแบบการ เชื่อ เทพนิยาย หรือ นิทานชาดก หรือ นิทานยายกะตา, เรื่องเหลวไหลต่าง เช่นนี้ ที่มีอยู่ในอะหะดีษ ต่างหาก ที่ผมไม่เชื่อ

แต่ในเรื่อง หลักฐานต่างๆ ในการประกอบศาสนกิจ ที่มีอ้างอยู่ใน อะหะดีษ นั้น ผมไม่มีข้อสงสัย ทั้งนี้เพราะไม่ต่าง จากที่ มุสลิมปฏิบัติมาก่อนที่จะมีการรวบรวมอะหะดีษ.... แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราไม่มี "อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆแล้ว เราจะไม่สามารถประกอบศาสนกิจ ตามหลักการของอิสลามได้อย่างถูกต้อง .......ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ชาวสลัฟ จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นแบบฉบับของมุสลิมผู้เคร่งครัดและปฏิบัติหลักศาสนาอย่างถูกต้องที่สุด กว่ามุสลิม ในยุคใดๆ

ด้วยเหตุนี้ความเชื่อตามอัสสุนนะฮ ที่แท้จริงนั้น ต่างจากความเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านอิมามบุคอรีจดบันทึกไว้, การเชื่อตามอัสสุนนะฮ นั้น หมายถึงการปฏิบัติตามการปฏิบัติของท่านรอซูล แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ปฏิบัติตามที่เขาเล่าให้เราฟังว่า เคยเห็นท่านรอซูลปฏิบัติเช่นนั้นเช่นนี้ ซึ่งบางครั้งก็ค้านกัน เลยไม่รู้แน่ว่าท่าน รอซูล สั่งหรือปฏิบัติว่าอย่างไรกันแน่

.ความจริงแล้ว เราใช้คำว่า "อะหะดีษ" ในความหมายที่รวมถึง "อัสสุนนะฮ" ซึ่ง สองคำนี้แตกต่างกัน แต่เราใช้กันจนเคยชิน ว่าถ้ากล่าวว่า "อะหะดีษ" แล้วหมายรวมถึง "อัสสุนนะฮ " ด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจที่แตกต่างกัน

ดังนั้นผู้ที่เชื่อและทำตามอัสสุนนะฮ จึงไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องเชื่อ "อะหะดีษ" ความผิดพลาดในการถ่ายทอด"อัสสุนนะฮ" จึงมีโอกาศผิดพลาดได้น้อยกว่าการปฏิบัติตามคำบอกกเล่าซึ่งไม่ตรงกัน

อัสสุนนะฮ เป็น สิ่งที่ทำติดต่อกันมาหลายชั่วคนจนถึงปัจจุบัน แต่ "อะหะดีษ เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับท่านรอซูล" ที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากท่านรอซูลสิ้นชีวิตไปแล้ว 200 กว่าปี

อะหะดีษก็ไม่ต่างจากผลไม้ในกล่องที่ถูกใส่รวมกันไว้ ในแง่ของสุขวิทยา ถ้าผลไม้ในกล่องเน่าและ ขึ้นรา เราควรจะโยนทิ้งเสียให้หมด ทั้งนี้เพราะเชื้อราอาจจะติดต่อถึงผลไม้ลูกอืนๆได้ และจะไม่ปลอดภัยต่อ สุขภาพถ้าเรา เลือกลูกอื่นมาล้างน้ำและบริโภค,

ถ้าอะหะดีษของอีมามบุคอรีเป็นแบบฉบับของท่านรอซูลที่แท้จริงแล้ว มุสลิมจะไม่แตกออกเป็น นิกายต่างๆ, คณะต่างๆ และจะไม่มี "การตำหนิกันในเรื่อง ท่าทาง และวิธีการละหมาด" อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ผมต้องขอมะอัฟอาจารย์ด้วยที่ต้องตอบเช่นนี้ และผมให้ความนับถือ ในความเห็นของอาจารย์เช่นกัน และเชื่อว่า อาจารย์จะต้องมีเหตุผลที่อาจจะ ทำให้ผมเชื่อในเรื่องนี้ได้


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Jul 14, 2006 12:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัลหั้มดุลิ้ลละฮ อย่างน้อย คุณ matt ทำให้ผมสบายใจขึ้น ที่คุณยังยอมรับในอัสสุนนะฮ การพิจารณาว่า อันใหนสุนนะฮจริง อันใหนสุนนะฮปลอม ย่อมเป็นเรื่องสำคัญและต้องรอบคอบครับ
เรื่องเมาลิด ไม่มีบทบัญญัติในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ แต่ ..บางคนพยายามเอาอัสสุนนะฮ ที่ไม่เกี่ยวกับการทำเมาลิด เพื่อมาโยงให้เห็นว่า มีคำสอนจากศาสนา นี้แหละครับ คือปัญหา
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> เกี่ยวกับมุสลิมะห์ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4  ถัดไป
หน้า 2 จากทั้งหมด 4

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.10 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ