ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 22, 23, 24, 25, 26, 27  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 6:24 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากคุณอะดีล

อ้าว....จะย้ายตัวเองไปเป็นคนดูแล้วรึ ที่ผมถามไว้เรื่องตัวบทคำสั่งเสียของท่านอุมัร ที่อัลอัซฮารีย์กับคณะเสนอไว้ และตัวบทที่บังอะสันนำมาค้าน ผมว่ามันขาดๆ เกินๆ กันยังไงชอบกล ผมถามว่าต้นไหนที่ถูกต้องที่สุด เพื่อจะได้ใช้เป็นฐานในการพิจารณาและซักถาม บังอะสันก็เตรียมนำเสนอตามที่บอกไว้ แต่ทางอัลอัซฮารีย์กับพวก จะขยับไปเป็นคนดูซะแล้ว จ้องแต่จะคอยสรุป แล้วผมจะถามใครละ ยังไม่ได้คำตอบเลยจะสรุปซะแร้ว ว้า.....................

ตอบ

ผมบอกตรงๆว่ามึนกับคุณอะดีลจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะเอาอะไร ฮ่าๆๆ มาถามพวกเราว่า หะดิษการสั่งเสียของท่านอุมัรนั้นต้นใหนถูกต้องที่สุด ฮ่าๆๆ แล้วมันจะไปมีปัญหาอะไรล่ะครับว่าอันใหนถูกต้องที่สุด หากว่าสิ่งที่บังอะสันถูกต้องกว่า ก็ยิ่งดี เพราะว่ามันจะได้มาสนับสนุนกันและกันให้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ผมนำมา ก็ "หะดิษหะซัน" และที่บังอะสันนำมา ท่านอัลฮัยษะมีย์ก็บอกว่า "หะซัน" ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะไปยกยอหะดิษบทใหน ก็ถือว่า เหมือนกัน คือ ท่านอุมัรสั่งเสียเหมือนกัน ท่านอับบาสก็ยังพูดเหมือนกัน ทั้งสองรายงานว่า สมัยท่านร่อซูลเสียชีวิต บรรดาซอฮาบะฮ์ก็รับประทานกันและดื่มกัน และในสมัยของท่านอบูบักรก็ทำแบบนั้นเช่นกัน

และหะดิษของท่านอุมัร และท่านฏอวูสนี้ ก็ไม่ได้ไปขัดแย้งกับหะดิษนบีเลยแม้แต่น้อย เพราะการนำอาหารมาให้ครอบครัวผู้ตายนั้น พวกเราทำกันอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเราต้องการจะทำอาหารเป็นทานให้แก่มัยยิด ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องห้ามเลยแม้แต่น้อย ซึ่งพวกเราก็อธิบายไปมากต่อมากแล้ว แต่คุณอะดีลไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาโพสต์ซ้ำๆสิ่งที่เราได้นำเสนอไปแบบท่อนๆ ตามที่ตัวเองจะเอา ฮ่าๆ

ทำไมถึงไม่โพสต์ท่อนที่พวกเราได้นำเสนอชี้แจงอย่างต่อเนื่องล่ะครับ และเมื่อคุณชอบโพสต์แบบซ้ำๆมา ผมก็ต้องโพสต์ไปตามอัตโนมัตครับ ฮ่าๆๆ
และเป้าหมายที่บิดอะฮ์น่าตำหนิหรือบิดอะฮ์มักโระฮ์นั้น ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้กล่าวอธิบายไว้ว่า

لما صح عن جرير رضى الله عنه كنا نعد الإجنماع إلى أهل الميت وصنعهم الطعام بعد دفنه من النياحة) ووجه عده من النياحة ما فيه من شدة الإهتمام بأمر الحزن ومن ثم كره اجتماع أهل الميت ليقصدوا بالعزاء

"เพราะว่า มีร่องรอยจากท่านญะรีร(ร.ฏ.) ที่ว่า "เราถือว่าการรวมตัวกันไปยังครอบครัวมัยยิด และครอบครัวมัยิดทำอาหารให้หลังจากฝังมัยยิดแล้วนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากการไว้อาลัยคร่ำครวญ" หนทางที่นับว่ามันเป็น จากการอาลัยคร่ำครวญ คือ สิ่งที่มาจากการให้การความเน้นหนักด้วยสิ่งที่ทำให้โศรกเศร้า และจากดังกล่าวนั้น จึงมักโระฮ์กับการรวมตัวไปยังบ้านมัยยิด อันเนื่องจากเพราะพวกเขาตั้งใจจะไปปลอมใจ" ดู หนังสือตั๊วะหฺ ฟะตุลมั๊วะหฺตาจญฺ เล่ม 3 หน้า 207 ตีพิมพ์ ดาร. เอี๊ยะหฺยา อัตตุร๊อษ อัลอะร่อบีย์


และอ่านไปอีก หนึ่งบรรทัด ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ กล่าวต่อว่า

نعم ان فعل لأهل الميت مع العلم بأنهم يطعمون من حضرهم لم يكره وفيه نظر ودعوى ذلك التضمن ممنوعة

" แต่ว่า หาก(อาหาร)ถูกทำให้แก่ครอบครัวมัยยิด พร้อมกับรู้ว่า ครอบครัวมัยยิด จะนำไปเลี้ยงอาหาร กับผู้ที่มาหาพวกเขา ก็ถือว่าไม่มักโระฮ์ และในมัน(คือการทให้แก่ครัวมัยยิด)นั้นถูกพิจารณาก่อน โดยที่การอ้างดังกล่าวเป็นการรวมถึงการนั่งปลอมใจ นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกห้ามเด็ดขาด(กับการอ้างอย่างนั้น)" ดู หนังสือตั๊วะหฺ ฟะตุลมั๊วะหฺตาจญฺ เล่ม 3 หน้า 207 - 208

ดังนั้น จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว เราสรุปได้ว่า การรวมตัวบ้านมัยยิดเพื่อการนั่งกันปลอบใจและครอบครัวมัยยิดเพียงลำพังต้องทำอาหารเลี้ยงนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่ส่งเสริมแต่ประการใด

การทำให้อาหารให้กับครอบครัวมัยยิด

เมื่อมีพี่น้องมุสลิมเสียชีวิต เราสมควรอย่างยิ่ง ในการช่วยเหลือครอบมัยยิดในการทำอาหารให้กับพวกเขาให้อิ่มท้องในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลอฮ์(ซ.ล.)

ท่านอิมาม อัตติรมีซีย์ ท่านอัล-หากิม และอื่นจากทั้งสอง รายงานว่า แท้จริงท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า

اصنعوا لأل جعفر طعاماً فقد جاءهم ما يشغلهم

"พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของญะฟัร เพราะแท้จริง ได้มีสิ่งที่ทำให้พวกเขายุ่งอยู่"
หะดิษนี้ ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า หะซัน และท่านฮากิมกล่าวว่า หะดิษนี้ ซอฮิหฺ

บรรดาปวงปราชญ์กล่าวว่า สุนัตให้เพื่อนบ้านเรือนเคียงหรือบรรดาญาติห่างๆ ทำการตระเตรียมอาหารให้แก่ครอบครัวมัยยิด โดยทำให้พวกเขาอิ่มในวันหนึ่งและคืนหนึ่ง และนี่ก็คือทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมากและเป็นแนวทางของมัซฮับทั้งสี่

ท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์(ร.ฏ.) กล่าวว่า" ฉันรัก ที่จะให้เพื่อนบ้านของผู้ตาย หรือบรรดญาติของผู้ตาย ทำอาหารให้กับครอบมัยยิด ในวันที่เขาได้เสียชีวิต และอีกหนึ่งคืนของมัน โดยที่ทำให้พวกเขาอิ่ม เพราะสิ่งดังกล่าวนั้น เป็นซุนนะฮ์ และมีการระลึกที่มีเกียตริ โดยที่มันเป็นการกระทำของผู้ที่เป็นคนดีก่อนจากเราและหลังจากเรา" ดู หนังสือ อัล-อุมมฺ เล่ม 1 หน้า 247

การทำอาหารให้แก่ครอบครัวของมัยยิดนั้น เป็นสุนัต ไม่ใช่ เป็นวายิบ ดังนั้น การที่เราไม่ทำอาหารให้พวกเขานั้น ไม่ถือว่าเป็นบิดอะฮ์หรือกระทำบาป แต่ถือว่าเป็นมักโระฮ์ คือกระทำแล้วได้ผลบุญ หากไม่กระทำก็ไม่ได้รับโทษอะไร เนื่องจากสิ่งที่วายิบ(แบบฟัรดูกิยาฟะฮ์)ต่อบรรดาพี่น้องมุสลิมนั้น ก็คือการจัดการเกี่ยวกับมัยยิด คือการอาบน้ำศพ ห่อ ละหมาด และฝัง และการที่ศาสนาให้บรรดาพี่น้องมุสลิมทำอาหารให้แก่ครอบมัยยิดในหนึ่งวันและหนึ่งคืนนั้น เนื่องจากพวกเขากำลังโศกเศร้ากอปรกับมีภาระยุ่งอยู่กับการจัดการมัยยิด



เป็นที่รู้กันว่า วะฮาบีย์นั้น ชอบหมกเหม็ดเป็นอาชีพ ทัศนะของเขานั้นยึดถืออยู่กับรูปแบบเดิมแบบสุดโต่งและไม่มีความยืดหยุ่น ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้และไม่ยอมรับทัศนะใดทั้งสิ้นโดยเฉพาะการอิจญมาอ์หรือการมุตะญิดของบรรดาอุลามะในสายอื่นทั้งที่มีหลักฐานมากล่าวอ้าง
ทัศนะแคบๆของพวกเขาสิ่งใดที่ไม่มีในสมัยนบีทุกอย่างคือบิดอะหมด และบิดอะนั้นคือ ฎอลาละอย่างเดียว ไม่มีฮาสานะ แม้ว่าเป็นการกระทำจากซฮอาบะก็ตามนี่คือจุดด้อยของวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมมีอย่างเดียวคักๆๆๆๆ

จะเห็นว่าสำหรับการนำหลักฐานมาให้นั้น ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับเขา
ไม่ว่าหลักฐานจากซอฮาบะ หลักฐานจาก ตาบีน หรือจากสลัฟ ถ้าหากว่ามันไม่สอดคล้องกับทัศนะของตนเอง นอกจากหลักฐานนั้นต้องมาจาก อุลามะในสายวะฮาบีย์เท่านั้น
ดังนั้นการอิจญฺมาอ์ของบรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหมด ไม่เป็นที่ยอมรับถ้าหากว่ายืนอยู่ต่างทัศนะกับพวกเขา แม้กระทั่งการกระทำของซอฮาบะ วะฮาบีย์นั้นยึดถือเป็นบางคนตามคำอ้างของเขา ซึ่งพวกเขามักจะอ้างเสมอว่า---สิ่งใดที่เขาเหล่านั้น(ซอฮาบะ)กระทำและขัดแย้งกับแนวทางของวะฮาบีย์เขาก็จะพูดว่า มันเป็นเพียงแค่บางส่วนของซอฮาบะฮ์ ดังเช่น ซอฮาบะฮ์บางส่วนได้กระทำการทำบุญให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด มันเป็นการกระทำของสะลัฟระดับซอฮาบะฮ์ และเมื่อซอฮาบะฮ์กระทำ ก็ย่อมหมายถึงว่า พวกเขาไม่ได้คิดฝ่าฝืนคำสั่งของเข้าใจ ท่านนบี(ซ.ล.) ห้ามการเลี้ยงอาหารเป็นทานแก่มัยยิดไม่ใช่หรือครับ

หลักฐานจากผู้รู้ข้างล่างนี้น่าจะเป็นสิ่งยืนยันให้พี่น้องวะฮาบีย์ได้เข้าใจ

อัล-หาฟิซ อิบนุเราะญับ ได้กล่าวเอาไว้ ในหนังสือ "ฟัฎลุอิลมิสสลัฟ" หน้า 31 ว่า "สำหรับสิ่งที่ชาวสลัฟ เห็นชอบว่าให้ทิ้งมัน ดังนั้น ไม่อนุญาตให้นำมันมาปฏิบัติ เพราะว่าพวกเขา(สะลัฟ)จะไม่ทิ้งมัน นอกจาก เขารู้ว่าเขา(ท่านนบี)ไม่ได้ปฏิบัติมัน"

ดังนั้น เมื่อซอฮาบะฮ์ได้ปฏิบัติการทำอาหารเป็นทานซอดาเกาะฮ์ ก็เพราะว่าพวกเขารู้ว่าท่านนบี(ซ.ล.)เคยยอมรับมันใช่ใหมครับ??? และถ้าหากท่านนบี(ซ.ล.)ห้าม พวกเขาก็ย่อมไม่กระทำมัน?? แต่นี่ซอฮาบะฮ์ทำ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการชี้ให้เห็นว่า "การทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์" เป็นสิ่งที่อนุญาติให้กระทำได้!!!

และยิ่งไปกว่านั้น ท่านอุมัรก็สั่งเสียให้กระทำอาหารเลี้ยง ซึ่งแน่นอนว่า มันเป็นการเลี้ยงเพื่อเป็นทาน ไม่ใช่เลี้ยงคนที่รวมตัวกันเพื่อปลอบใจอย่างแน่นอน และไม่ได้ขัดกับหะดิษของท่านญะรีร และมันก็ไม่ได้ขัดกับหะดิษของท่านนบี [U]ในการทำอาหารให้แก่ครอบครัวญะฟัรโดยที่ท่านนบีไม่ได้เคยห้ามในการเลี้ยงทำบุญเพื่อเป็นทาน
ดังนั้น สิ่งที่ท่านนบีไม่ได้ห้ามย่อมไม่ใช่สิ่งที่หะรอมเสมอไป โดยเฉพาะท่านอุมัรเองก็ได้ทำแบบอย่างเอาไว้ ซึ่งมันก็เป็นซุนนะฮ์ ที่ท่านนบีใช้ให้เราตามท่านอุมัรและท่านอบูบักรหลังจากฉันเสียชีวิต และท่านร่อซูลยืนยันว่า อัลเลาะฮ์ทรงทำให้ลิ้นของท่านอุมัรพูดในเรื่องสัจจะธรรมความจริง ดังนั้น การสั่งเสียของท่านอุมัรก่อนตายว่าให้ทำบุญเลี้ยงอาหารเป็นทาน 3 นั้น จึงเป็นสิ่งไม่ใช่บิดอะฮ์ไม่ใช่สิ่งที่หะรอม อย่างที่วะฮาบีย์เข้าใจ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวไว้รายงาน จากท่าน อะหฺมัด บิน มะนีอฺ ซึ่งเขาได้กล่าวรายงานไว้ใน มุสนัดของเขาว่า

عن الأحنف بن قيس قال : كنت أسمع عمر يقول : لا يدخل أحد من قريش فى باب إلا دخل معه ناس ، فلا أدرى ما تأويل قوله حتى طعن عمر فأمر صهيبا أن يصلى بالناس ثلاثا ، وأمر أن يجعل للناس طعاما فلما رجعوا من الجنازة جاءوا وقد وضعت الموائد ، فأسك الناس عنها للحزن الذى هم فيه فجاء العباس بن عبد المطلب ، فقال : ياأيها الناس قد مات...الحديث

" รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า "คนหนึ่งจากกุร๊อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย" ดังนั้น ฉันจึงไม่รู้ถึงการตีความคำพูดของท่านอุมัร จนกระทั้ง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาด(ฟัรดู)สามวันด้วยกัน และท่านอุมัรก็ใช้ให้เขาทำอาหารให้แก่บรรดาผู้คน ดังนั้น ในขณะที่ผู้คนได้กลับมาจาก(ฝัง)ญะนะซะฮ์ พวกเขาก็กลับมา โดยมีบรรดสำหรับอาหารวางอยู่แล้ว แต่บรรดาผู้ตนก็งดที่จะรับประทานนั้น อันเนื่องจากความโศรกเศร้าที่พวกเขาเป็นอยู่ ดังนั้นท่าน อัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ ก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้เสียชีวิตไปแล้ว....." สายรายงาน "หะซัน" ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 หะดิษที่ 709

ท่าน มุหัดดิษ ชัยค์ หะบีบ อัร-เราะหฺมาน อัล-อะซ่อมีย์ กล่าว วิจารณ์ว่า หะดิษนี้ สายรายงาน หะซัน (ดี) ท่านอัลบูซิรีย์ กล่าวว่า ในสายรายงานนี้ มี อลี บิน ซัยด์ บิน ญัดอาน และที่สมบูรณ์ของหะดิษนั้น คือ.... ท่าน อัลอับบาส บิน อบีฏอลิบกล่าวว่า

فقال يا أيها الناس قد مات رسول الله عليه وسلم فأكلنا بعده وشربنا ومات أبو بكر فأكلنا بعده وشربنا أيها الناس كلوا من هذا الطعام فمد يده ومد الناس أيديهم فأكلوا فعرفت تأويل قوله ) كذا فى الإتحاف

" ดังนั้น ท่านอัล-อับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วเราก็ทำการรับประทานและดื่มหลังจากนั้น และท่านอบูบักร ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเราก็ทำการรับประทานและดื่มหลักจากนั้น โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย พวกท่านจงรับประทานจากอาหารนี้เถิด ดังนั้น ท่านอับบาสก็ยื่นมือของท่าน และบรรดาผู้คนที่ยื่นมือของพวกเขา แล้วก็พวกเขาก็ทำการรับประทาน ดังนั้น ฉัน (คือ อัลอะหฺนัฟ บิน ก๊อยซฺ) จึงรู้การตีความคำพูดของท่านอุมัร" และได้รายงานเช่นเดียวกันนี้ อยู่ในหนังสือ อัลอิตหาฟ " ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 - 199


นี่คือแบบอย่างของท่านอุมัร(รด) ที่ส่งเสริมให้ทำบุญเป็นทาน ไม่ใช่ทำอาหารเลี้ยงคนปลอบใจ ดังนั้น บังอะสันคงเข้าใจระหว่าง เลี้ยงอาหารคนที่รวมตัวปลอบใจ กับเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทาน นะครับ ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และหลักฐานนี้ชี้ให้เห็นว่า ซอฮาบะฮ์สมัยของท่านร่อซูล ซอฮาบะฮ์สมัยของท่านอบูบักริน(รด) ก็มีการเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานด้วย สมัยของท่านอุมัร(รด)ก็อย่างนั้น ท่านอัลอับบาส(รด)ก็เชิญชวนมารับประทานกัน ซึ่งมันไม่ใช่เป็นการรับประทานของพวกที่ปลอบใจ แต่รับประทานอาหารตามคำสั่งเสียของท่านอุมัร และการรับประทานอาหารนั้นย่อมเป็นทานผลบุญไปยังท่านอุมัรเพราะท่านได้สั่งเสียเอาไว้ ซึ่งมันไม่ค้านกับหะดิษของท่านฏอวูส ที่รายงานว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ชอบการให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด

จะเห็นว่า......อัสสุนนะฮ์เคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนที่ปรากฏนั้น" ขณะท่านนบีเสียชีวิตก็มีการรับประทานอาหาร ตอนท่านอบูบักรเสียชีวิตก็ยังมี และตอนที่ท่านอุมัรเสียชีวิตก็ยังทำ แล้วบรรดาซอฮาบะฮ์เคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีน และบรรดาซอฮาบะฮ์ท่านอื่นๆเหล่านี้ ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาดอกหรือครับจึงกล้าฝ่าฝืนคำสั่งท่านนบีโดยการกล้าทำสิ่งที่ ไม่มีรูปแบบจากท่านนบีมาก่อนและกล้าอุตริกรรมกระทำบิดอะอฎอลาละอีก ไปทำในสิ่งที่นบีหรือค้นคิดสิ่งนี้ขึ้นมาตามอำเภอใจ หรือว่าหลังจากนบี(ซล)จากไปแล้ว ซอฮาบะเหล่านั้นคิดว่า ศาสนาของพระองค์ยังไม่สามบูรร์หรือว่าท่านนบีเป็นผู้บกพร่องในการทำแบบฉบับให้เห็นต่างๆนาๆ หลังจากท่านบี

คุณกล้าฮูกมไหมละว่า ระดับซอฮาบะ กล้ากระทำสิ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอัลลออ์และรอซุล
คุณกล้าฮูกมไหมละว่า การกระทำของท่านฎอวุสคนในยุคตาบีอีน เป็นคนมุสา และกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง โดยที่ปฏิบัติสิ่งนี้ขึ้นมาเองโดยไม่มีแบบอย่าง
คุณอะดีล..ตอบหน่อยเดะ??? ถ้าคุณเป็นผู้รู้จริง


ซึ่งท่านอิบนุหะญัรได้ทำการกล่าวอธิบายไว้อย่างละเอียดละออแล้ว ซึ่งมีดังนี้

ومن ثم صح عن طاووس أيضاً أنهم كانوا يستحبون أن يطعم عن الميت تلك الأيام وهذا من باب قول التابعى كانوا يفعلون ، وفى قولان لأهل الحديث والأصول ( احدهما) أنه أيضاً من باب المرفوع وأن معناه كان الناس يفعلون ذلك فى عهد النبى صلى الله عليه وسلم ويعلم به ويقرأعليه (والثانى) أنه من باب العزو غلى الصحابة دون إنتهائه غلى النبى صلى الله عليه وسلم وعلى هذا قيل أنه اخبار عن جميع الصحابة فيكون نقلا عن الإجماع وقيل عن بعضهم ورجحه النووى فى شرح مسلم وقال الرافعى مثل هذا اللفظ يراد به أنه مشهوراً فى ذلك العهد من غير نكير... فإن كنت لم كرر الإطعام سبهة أيام دون التلقين ، قلت لأن مصلحة الإطعام متعدية وفائدة للميت أعلى إذ الإطعام عن الميت صدقة وهى تسن عنه إجماعاً

ท่านอัล-หาฟิซฺอิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ กล่าวว่า " ได้มีสายรายงานที่ซอฮิหฺเช่นกัน จากท่าน ฏอวูส ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ได้ทำการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากมัยยิด ใน 7 วันดังกล่าว และคำกล่าวนี้ เป็นคำกล่าวของตาบิอีย์ ว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ได้กระทำสิ่งดังกล่าว และในคำกล่าวของตาบิอีย์นี้ ได้มีอยู่ 2 ทัศนะด้วยกันจากคำกล่าวของนักปราชญ์หะดิษและอุซูลุลฟิกห์

1. คำกล่าวของตาบิอีย์นี้ (คือท่านฏอวูส) อยู่ในบทการรายงานที่ มัรฟั๊วะ คือไปถึงสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งความหมายของมันก็คือ บรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหลายได้กระทำการเลี้ยง(ให้)อาหาร ในสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) โดยที่ท่านร่อซูลทราบในสิ่งดังกล่าว หรือถูกบอกให้ทราบต่อท่านนบี(ซ.ล.)

2. คำกล่าวของตาบิอีย์นี้ผคือท่านฏอวูส) อยู่ในเรื่องของการอ้างถึงบรรดาซอฮาบะฮ์เท่านั้น โดยไม่ถึงท่านนบี(ซ.ล.) เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงถูกกล่าวว่า คำกล่าวของตาบีอีย์(คือท่านฏอวูส) เป็นการบอกเล่าจากบรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหมด ดังนั้น คำกล่าวของท่านฏอวูสนี้จึงเป็นการ ถ่ายทอดถึงมติของบรรดาซอฮาบะฮ์ และบางทัศนะกล่าวว่า ถ่ายทอดเพียงบางส่วนของซอฮาบะฮ์ ซึ่งเป็นทัศนะที่อิมามอันนะวาวีย์ได้ให้น้ำหนักเอาไว้ใน ชัรหฺมุสลิม และอิมามอัรรอฟิอีย์ ได้กล่าวเช่นเดียวกับคำนี้ ซึ่งจุดมุ่งหมายก็คือ การเลี้ยง(ให้)อาหารนั้น เป็นสิ่งที่แพร่หลายในสมัยของซอฮาบะฮ์ดังกล่าว โดยไม่ได้ถูกตำหนิแต่ประการใด...หากท่านกล่าวว่า เพราะเหตุใด การเลี้ยง(ให้)อาหารถึงต้องทำซ้ำกันถึง 7 วัน โดยที่ไม่ต้องอ่านตัลกีน 7 วัน ฉันขอกล่าวว่า เพราะผลประโยชน์ของการเลี้ยง(ให้)อาหารนั้น มันมีประโยชน์สูงกว่าและแผ่ไปถึงมัยยิดได้มากกว่า เพราะการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากมัยยิดนั้น เป็น ซ่อดาเกาะฮ์(บริจาคทาน) ซึ่งมันเป็น สุนัติ โดยมติเอกฉันท์... " ดู หนังสือ อัล-ฟะตาวา อัล-ก๊อบรอ อัลหะดีษะฮ์ ของท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ เล่ม 2 หน้า 30 - 31

กรณีทำบุญบ้านคนตายนั้น เป็นประเด็นที่สร้างความกระด้างกระเดื่องในบรรดพี่น้องมุสลิมด้วยกัน อันเนื่องจากการมีทัศนะที่แตกต่างกันและไม่มีความเข้าใจกันนั่นเอง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ เราน่าจะมาสร้างความเข้าใจกันและกันในหมู่พี่น้องมุสลิม และพยายามชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การรวมตัวบ้านมัยยิดเพื่อทำการปลอบใจไว้อาลัยและครอบมัยยิดต้องทำอาหารเลี้ยงให้ตามลำพังนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่ส่งเสริม ซึ่งแตกต่างกับ สิ่งที่พี่น้องมุสลิมบ้านเรากระทำอยู่จากการทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์ คือไปรวมตัวกันเพื่อทำการอ่านอัลกุรอาน ซิกรุลเลาะฮ์ กล่าวตะฮ์ลีล อิสติฆฟาร และทำการดุอาอ์ให้แก่มัยยิด โดยที่บรรดาพี่น้องมุสลิมได้ช่วยเหลือกันทำอาหารให้แก่ครอบมัยยิด ซึ่งสิ่งดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นผลประโยชน์แก่ผู้ตายอย่างแท้จริง ฉะนั้น ข้อแตกต่างนี้เราจึงสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนและอย่าเอาไปเหมารวมกัน



ดังนั้น การทำบุญ ก็คือ การเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์แก่มัยยิดนั่นเอง และบรรดาพี่น้องมุสลิมก็รวมตัวกันทำการอ่านอัลกุรอาน ซิกรุลเลาะฮ์ กล่าวตะฮ์ลีล อิสติฆฟาร และทำการดุอาอ์ให้แก่มัยยิด ซึ่งดังกล่าวย่อมเป็นประโยชน์และผลบุญถึงไปยังมัยยิด อินชาอัลเลาะฮ์

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 6:33 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากคุณอะดีล

แต่ทางอัลอัซฮารีย์กับพวก จะขยับไปเป็นคนดูซะแล้ว จ้องแต่จะคอยสรุป แล้วผมจะถามใครละ ยังไม่ได้คำตอบเลยจะสรุปซะแร้ว ว้า.....................

ตอบ

ฮ่าๆๆ บังอะสันจะยกการวิจารณ์หลักฐาน บอกผมจะว่าจะคอยดู คุณอะดีลก็คิดไปว่า พวกเราจะขอดูอย่างเดียว ฮ่าๆๆ คิดได้ไงเนี่ย ที่ผมพูดไปนั้น เพราะจะรอดูว่า บังอะสันให้หลักการวะฮาบีย์แบบใหนมาหมกเม็ดการวิจารณ์หะดิษ เมื่อเราดูและเราทราบว่าบังอะสันโกหกหมกเม็ดหลอกลวง แน่นว่าพวกเราก็จะต้องทำการอธิบายและชี้แจงการโกหกของบังอะสันผู้อ้างต้วเป็นซุนนะฮ์ต่อไปน่ะซิครับ ฮ่าๆ

และที่มาสรุปนั้น ก็เพราะช่วงนั้น มันไม่มีอะไรใหม่ ก็เลยเข้ามาแบบไม่ให้เสียเที่ยว ก็เลยเข้ามาสรุป แต่วันนี้เห็นบังอะสันนำสิ่งที่ใหม่ที่หมกเม็ดโกหกมา ผมก็ได้คงเข้ามาสรุปเพียงอย่างเดียวคตงไม่ได้อะน่ะ ต้องโปดโปงสักกะหน่อย ฮ่าๆๆ

คราวนี้ คุณอะดีลจะช่วยบังอะสันอย่างไงหนอ...อยากรู้จัง ผมคิดว่า ระดับบังอะสันนั้น คงไม่ต้องถึงบังอัลฟารูกหรอก เพราะมันคนละระดับกัน แค่คุยกับผมก็พอมั้งครับ Rolling Eyes

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 6:44 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam บังคนอยากรู้

หลังจากที่บังอะสันได้อ้อนวอนเจ้าของเวปสำเร็จ ผมรู้สึกว่าบังอะสันเปลี่ยนไปและไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่ พูดง่ายๆก็คือ "ขึ้นยอ" (ขอมะอัฟที่ใช้คำนี้) ผมไปที่เวป "อัล-บิดอะฮ์" ของบังอะสัน ผมแค่เข้าไปในกระทู้"หลักฐานลูบหน้า" โดยบอกให้บังอะสันนำเสนอแบบเป็นกลางเพื่อมุสลิมจะได้อยู่ในสายกลาง พอมาดูอีกที ก็ลบคำพูดของผมไปเสียแล้ว และกระทู้ "การบิดเบือนคำพูดของอุลามาอ์ บุญหรือบาป?" ที่ผมตั้งขึ้นในกระทู้นี้ ก็ถูกลบไปไม่ถึง 5 หรือ 6 ชั่วโมง ก็ถูกลบแล้ว เพราะเกรงว่าหลักการซุนนะฮ์ของวะฮาบีย์จะถูกเปิดเผยออกมา

ผมรู้สึกว่าบังอะสันเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคงจะสนทนากับบังอะสันแบบสไตย์ที่เปลี่ยนไปด้วยนะครับ เพื่อจะได้เหมาะสมกันสักหน่อย ตกลงตามนี้นะครับ หากว่ามันดุดันหน่อย ก็ขอมะอัฟล่วงหน้าด้วยนะครับ

wassalam ครับบังคนอยากรู้

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 7:57 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แหม...รออ่านตั้งนาน

นึกว่าอัลอัซฮารีย์จะเอาอะไรใหม่ๆมาโชว์ ที่ไหนได้ละ ต้นเดิมๆเลย ก๊อปเอาของเก่ามาทั้งดุ้น

ที่บังอะสันแย้งว่า ฮาดีสที่อ้างคำสั่งเสียท่านอุมัร ที่อัลฟารูกและ อัลอัซฮารีย์ กับพวกนำมาโพ้สน์นี้นะมันดออีฟนะ 5 ประเด็นด้วยกัน


แต่อัลอัซฮารีย์เข้ามาก็ไม่ได้แจงคำแถลงของบังอะสันสักข้อเดียว ไม่เชื่อลองดูก็ได้

บังอะสันกล่าวว่า

1. ผู้รายงานอันดับที่สี่ คือ อะลีย์ บิน ซัยด บิน ญุดอาน (สิ้นชีวิตในปี ฮ. 131) เป็นผู้รายงานที่เฎาอีฟ ซึ่งท่าน- ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ เอง กล่าวไว้ใน หนังสือ อัตตักรีบ เล่มที่ 2 หน้า 37
นักวิชาการส่วนมากถือว่า ท่านอาลีย์ บิน ซัยด บิน ญุดอาน(علي بن زيد بن جدعان ) ผู้นี้ เป็นผู้รายงานหะดิษที่ขาดความเชื่อถือ แม้กระทั้งท่านบุคอรีย์ และท่านอบูหาติม ก็ยังวิจารณ์ว่า
لايحتج به
คือ จะอ้างเขาผู้นี้ มาเป็นหลักฐานไม่ได้ – ดูหนังสือ มีซาลเอียะติดาล เล่ม 3 หน้า 128
علي بن زيد بن جدعان، وهو ضعيف الحديث
อาลีย์ บิน ซัยด บิน ญุดอาน และ เขาคือ ผู้ที่เฏาะอีฟหะดิษ
ดูมุศอ็นนิฟ อิบนุอบีชัยบะฮ เล่ม 6 หน้า 497


นี่ไงที่บังอะสันเอาหนึ่งในผู้รายงานมาวิจารณ์ชี้แจงแถลงเหตุว่ามันเป็นดออีฟ และแกก็ไม่ได้วิจารณ์เองนะ เอาคำวิจารณ์ของนักฮาดีสมาแจง

และก็แปลกที่ทีมนักศึกษาอ้างว่า ฮาดีสต้นนี้ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวรายงาน

แต่บังอะสันก็ยืนยันว่า ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า นักวิชาการส่วนมากถือว่า อาลีย์ บินเซด บินญุดอาน ขาดความเชื่อถือ


เอาละซิ...ท่านอิบนุหะญัร รายงานเอง และวิจารณ์เอง อย่างนี้ ไม่มีคำตอบจากทีมนักศึกษาหรือ จะดิ้นยังไงๆๆๆ ก็ไม่หลุด เพราะยังไม่แก้ข้อหานี้ นอกจากท่านอิบนุหะญัรแล้ว ก็ยังมีท่านบุคคอรีย์ และอบูฮาติมอีกด้วย โอ้ย..ข้อหาดออีฟนี้มันค้ำคอจริงๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 7:59 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัลอัซฮารีย์กล่าวว่า

คุณกล้าฮูกมไหมละว่า ระดับซอฮาบะ กล้ากระทำสิ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอัลลออ์และรอซุล
คุณกล้าฮูกมไหมละว่า การกระทำของท่านฎอวุสคนในยุคตาบีอีน เป็นคนมุสา และกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง โดยที่ปฏิบัติสิ่งนี้ขึ้นมาเองโดยไม่มีแบบอย่าง คุณอะดีล..ตอบหน่อยเดะ??? ถ้าคุณเป็นผู้รู้จริง

โอ้โย...ยกให้เราเป็นผู้รู้ซะแร้ว ไม่บังอาจ ไม่บังอาจจริงๆ ไม่กล้าบอกว่าซอฮาบะห์ฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮ์และรอซูล เพราะซอฮาบะฮ์ไม่ได้กินบุญบ้านคนตาย ฮ่าๆๆ เอิกๆๆ

และที่บอกว่าฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮ์และรอซูลนะ ช่วยเอาคำสั่งของอัลลอฮ์และรอซูลที่สั่งให้กินบุญบ้านคนตายมาโชว์หน่อย บอกมาเลยซูเราะฮ์ใด อายะฮ์ที่เท่าไหร่ อย่าพูดมั่วๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 8:04 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัลอัซฮารีย์กล่าวว่า

จะเห็นว่า......อัสสุนนะฮ์เคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนที่ปรากฏนั้น" ขณะท่านนบีเสียชีวิตก็มีการรับประทานอาหาร ตอนท่านอบูบักรเสียชีวิตก็ยังมี

โอ้โฮ.....กล้าพูดเต็มปากเลยว่า ตอนนบีตายมีการเลี้ยงอาหารกัน ตอนท่านอบูบักรตายก็ยังมี ต้องขอดูหลักฐานหน่อยแล้ว อ้างท่านนาบี อ้างท่านอบูบักร์นี่เรื่องใหญ่จริงๆ ต้องเอาหลักฐานที่ซอเฮียะฮ์มายืนยันคำพูดหน่อยดิว่า ตอนนาบีตายมีการกินเลี้ยงกัน ถ้าหาหลักฐานซอเฮียะฮ์มาแสดงไม่ได้ต้องถอนคำพูดกันละทีนี้

เอ้า....คนจริงอ้างอิงหลักฐานหน่อย ฮ่าๆๆเอิก


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 9:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam น้องอัลอัชฮารีย์

อยากถามว่า ที่นายอ่านตะละเก็นนั้นเพราะหาเหตุผลได้ว่าตายจริงตายปลอมอย่างนั้นหรือ

ตอบนายน่าดีด(หัว) แล้วเวลาญาติของนายตายแล้วนำไปฝังนายก็เหยียบ2-3 ทีแล้วก็กลับบ้านนั้น มันตายจริงหรือตายปลอมละฮ้าๆๆๆ นี่ถ้าญาติของนาย คือพ่อหรือแม่ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากถูกฝังแล้ว นายก็ต้องบอกว่ามันเป็นบิดอะใช่ไหม เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาไม่มีในสมัยท่านนบี อย่างนั้นหรือ และผมว่าพ่อหรือแม่ของนายคงลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาตบนายเข้าที่หลักหู แล้วกลับไปลงหลุมนอน โทษฐานที่ไม่สนใจใยดีผู้บังเกิดเกล้า ที่ตายทั้งคนแต่กลับฝังโดยเขี่ยด้วยตีน2-3ทีแล้วรีบกลับเพราะอยู่นานเดียวบิดอะจะสิงร่างว่างั้นเถอะ
น่าสมเพศในการกระทำของวะฮาบีย์จัง แม้จะตัลกีนหรือสั่งลาพ่อของตัวเองที่จะจากไปแบบไม่มัวันกลับแล้วและต้องถูกทรมาน(เสดซอ)ในกุโบร์ ซึ่งเป็นโลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นายยังไม่กล้าที่ให้คำยืนยันกับพ่อแม่ตัวเองได้ โดยให้หนักแน่นในคำตอบ เพราะมัวแต่อ้างว่าไม่มีแบบอย่างท่านบี แต่แบบอย่างที่ดีจากซอฮาบะที่อ้างถึงท่านนบี ว่าพวกเขานั้นก็มีการตัลกีนคนตายแล้วด้วยเช่นกัน แล้วการกระทำความดีแบบกว้างมันถูกจำกัดด้วยสถานที่หรือไร นายจึงละทิ้งหน้าที่ระหว่างลูกกับพ่อแม่กระนั้นหรือ ทุเรศเหลือเกิน อย่างนี้มันก็สมแล้วที่ กุโบร์ของชาววะฮาบีย์ มันขึ้นรก จนบ้างครั้งที่ฝังของพ่อแม่ตัวเองยังหาไม่พบ แล้ว เวลาไปเยี่ยมกุโบร์ที่ไร มันมัว่ไปวุ่ยวายไปหมดเพราะไม่มีเครื่องหมายว่าตรงนี้ตรงนั้นมัยยัตใคร

แต่ชาวซุนนะฮ์เราถือหลักฐาน ไม่ใช่เหตุผลครับ ฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวตายหรือย้ายที่ จะตายจริงหรือตายปลอม ถ้ามีหลักฐานซอเฮียะฮ์ให้ทำก็ทำ ถ้าไม่มีหลักฐานซอเฮียะฮ์มายืนยันก็ไม่ทำ เขาทำตามหลักฐานครับผม

ตอบนายน่าดีด(หัว) พูดผิดพูดใหม่ได้ครับ นายต้องพูดว่าแต่ชาวซุนนะวะฮาบีย์เราถือแต่หลักฐาน ว่างั้นเถอะ ฮิๆๆๆๆ(ที่กล่าวมานี้เป็นเฉพาะซุนนะของวะฮาบีย์เท่านั้นนะครับ)ที่เข้าใจแบบนั้น
แต่มัสหับทั้งสี่ เขาไม่เอา อย่างที่นายว่าด้วยหรอกฮ้าๆๆ


และที่นายคนอยากรู้ยกมาอ้างว่า

عن معقل بن يسار قال : قال النبي صلى الله عليه وسلم : " اقرءوا يس على موتاكم

จากท่าน เมียะกอล บุตร ยะซัร กล่าวว่า ท่านบี กล่าวว่า พวกท่านจงอ่านยาซีนให้แก่เมาตาของพวกท่านเถิด

และจากท่าน เมียะกอล บุตร ยะซัร กล่าวว่า ท่านบี กล่าวว่า พวกท่านจงอายาซีนให้แก่ผู้ตายของพวกท่านเถิด..

ในความหมายของวะฮาบีย์นั้นมีการแปลหรือผันคำว่าเมาตา หมายถึง ผู้ที่ยังไม่ตาย แก้เป็นผู้ที่ตายแล้ว

ตอบ..ถ้าคุณเข้าใจเจตนาผมดีแล้วคุณก็น่าเข้าใจว่านั้น การพิมที่ผิดพลาด มันแก้กันได้
แต่ด้วยนิสัยวะฮาบีย์ที่มีแนวการศรัทธาแบบมัวตะซีละนั้น บอกแล้วไงว่าเขานั้นชอบตัดสินอะไรๆด้วยภายนอกเท่านั้น แต่ฮะกีกัตภายในนั้นเขาไม่รับรู้ นี่แหละ มัวะตาซีละจึงถูกอุลามะส่วนใหญ่มองว่า เป็นบิดะอและฟาซิก เพราะชนกลุ่มนี้ชอบยึดอะไรที่เป็นชารีอั คือเมื่อไม่มีหลักฐานว่าไม่มีจากท่านนบี ก็จะทิ้งทันทีโดยเอาชารีอัตมาตัดสินฮะกีกัตของอัลลออ์อย่างสิ้นเชิง

ว่า

จะเห็นว่าไม่ว่าฮาดีส ซอเหียะที่รายงานจากท่านมุสลิม ที่กล่าวว่า จงตัลกีนคนใกล้ตายด้วยคำว่า ลาอีลาฮะอ้ลลัลลออ์ หรือจากท่านอาบุดาวุด ที่ถึงท่านนบีว่า จงอ่านยาซีนให้แก่พวกท่านที่ใกล้จะตาย

ตอบ..อ้างแล้วทำไมละครับ ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธฮาดีสนี้เลนนะครับ เพราะเราปฏฺบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอนี่ครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 9:37 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

konyakroo กล่าวว่า
ตอบนายน่าดีด(หัว) แล้วเวลาญาติของนายตายแล้วนำไปฝังนายก็เหยียบ2-3 ทีแล้วก็กลับบ้านนั้น มันตายจริงหรือตายปลอมละฮ้าๆๆๆ นี่ถ้าญาติของนาย คือพ่อหรือแม่ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากถูกฝังแล้ว นายก็ต้องบอกว่ามันเป็นบิดอะใช่ไหม เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาไม่มีในสมัยท่านนบี อย่างนั้นหรือ และผมว่าพ่อหรือแม่ของนายคงลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาตบนายเข้าที่หลักหู แล้วกลับไปลงหลุมนอน โทษฐานที่ไม่สนใจใยดีผู้บังเกิดเกล้า ที่ตายทั้งคนแต่กลับฝังโดยเขี่ยด้วยตีน2-3ทีแล้วรีบกลับเพราะอยู่นานเดียวบิดอะจะสิงร่างว่างั้นเถอะ
...................
ตอบ
นี้แสดงว่า นายคนอยากรู้ ไม่เคยละหมาดญะนาซะฮ เพราะละหมาดญะนาซะฮ มันมีดุอาขอให้มัยยิตอยู่ และเมือ่ฝังเสร็จ ท่านนบีสอนให้อ่านดุอาตัษบีต ให้แก่มัยยิต ดังหะดิษ

(( استغفروا لأخيكم وسلوا له التثبيت فإنه الآن يسأل )) رواه أبو داود وصححه الألباني.

พวกท่านจงขออภัยโทษแก่พี่น้องของพวกท่าน และจงขอให้ความหนักแน่นมั่นคงแก่เขา แท้จริงขณะนี้เขาถูกสอบสวนอยู่ -รายงานโดยอบีดาวูด อัลบานียระบุว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะ
...............
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 9:45 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายคนอยากรู้ด่าไฟแล๊บเลย

ไม่ไหวแล้วครับ บังอะสันครับ

เล่นด่ายันพ่อแม่เลย ยังงี้ไม่ไหวแล้วจริงๆครับ

เดี๋ยวขอไปฉี่ก่อนนะครับ

เล่นด่าจนฉี่ราดเลย ฮ่าๆๆเอิกๆๆ


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 9:48 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เฮ้อ...ค่อยโล่งหน่อย

กลับมาทวนคำของนายคนอยากรู้สักนิด

นายคนอยากรู้พูดว่า


นี่ถ้าญาติของนาย คือพ่อหรือแม่ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากถูกฝังแล้ว นายก็ต้องบอกว่ามันเป็นบิดอะใช่ไหม เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาไม่มีในสมัยท่านนบี อย่างนั้นหรือ และผมว่าพ่อหรือแม่ของนายคงลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาตบนายเข้าที่หลักหู แล้วกลับไปลงหลุมนอน โทษฐานที่ไม่สนใจใยดีผู้บังเกิดเกล้า ที่ตายทั้งคนแต่กลับฝังโดยเขี่ยด้วยตีน2-3ทีแล้วรีบกลับเพราะอยู่นานเดียวบิดอะจะสิงร่างว่างั้นเถอะ

ฮ่าๆๆเอิก เห็นใครเขาทำอย่างนั้นหรือไง เอาตีนเขี่ย 2-3 ทีแล้วรีบกลับ พูดว่าไปเรื่อยเปื่อย ของชัวร์ๆ ที่นาบีสอนนั่นไง ดุอาฮฺตัษบีต ทำศ่อดะเกาะฮฺญารียะฮฺ โอ้ย..อีกตั้งเยอะแยะ ของดีๆ ชัวร์ๆ ที่นาบีสอนไว้ แต่สังสัยว่าพวกบิดอะฮฺกตัญญูมาก เลยต้องจ้างเฝ้ากุโบร์ซะเลย ฮ่าๆๆ เอิกๆๆ

คุยไร้สาระนะ นายคนอยากรู้ เขาพูดกันเรื่องฮาดีสอุมัร ทำไมไม่ช่วยแก้ต่างเล่า มาเปลี่ยนเรื่องทำไม

ไปก่อนละบังอะสันครับ เดี๋ยวโดนด่าจนฉี่ราดอีก ฮ่าๆๆ
.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 9:54 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam น้องอัลอัชฮารีย์

นายน่าดีด(หัว)กล่าวว่า
นายคนอยากรู้คงจะยังมึนๆ อยู่นะ เดี่ยวก็ว่าวะฮาบีย์แปลว่า คนตายแล้ว เดี๋ยวก็ว่าแปลว่าคนใกล้ตาย

ตอบ..นายก็น่าจะยกคำวิจารณ์มาให้หมดซิ..อย่าเอาแบบมักง่าย ขาดๆหายๆ
ผมพูดถึงความหมาย ที่ทัศนะแบบวะฮาบีย์ของนายให้ความหมายในซุเราะอันนัมลิ ที่คำว่า อัลเมาตา หมายถึง คนตายแล้วในกุโบร

โดยอ้างหลักฐานจากซูเราะอัลนัมลิ อายะที่80-81

และที่คุณไม่รับฮาดีสดออีฟนั้น ผมก็ไม่ทราบว่า หลักฐานที่วะฮาบีย์เอาหลักฐานดอดอีฟมาอ้างบ้างละและนำมาใช้บางเรื่องนั้นมันก็ถือว่า เป็นการ มุสาไหมครับ หรือ ว่าแต่เขา จนเน่าตัวเอง

โปรดทราบแม้กระทั่งท่านอีหม่ามฮัมบาลี(รฮ)ที่วะฮาบีย์ผู้ที่ท่านขโมยทัศนะของท่านบางส่วนนั้นท่านไม่เคยทิ้งฮาดีสดออีฟ แล้วยังนำไปฏิบัติข้อบังคับด้านศาสนาเลยนะครับนายอะดีต นี่ระดับอุลามะที่มีที่ทั่วโลกยอมรับ และมีชื่อด้วย แล้ววะฮาบีย์ลูกหลาน อับดุลวะฮาบ มันแน่มาจากไหนถึงกล้าดูถูกผู้ที่รับฮาดีสประเภทนี้ฮ้าๆๆๆ

wassalam
ดออีฟ ...
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 12:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam บังคนอยากรู้

คำพูดที่คุณอาดีลนั้น ผมไม่อยากยกมาวิจารณ์ตอบ เพราะมีประโยชน์น้อย แต่ผมจะจัดการกับวะฮาบีย์อะสันก่อน

อ้างอิงจากวะฮาบีย์บังอะสัน

ที่นี้มาดูเกี่ยวกับหะดิษฏอวูสที่ว่า
سفيان قال ، قال طاووس : إن الموتى يفتنون فى قبورهم سبعاَ وكانوا يستحبون أن يطعموا عنهم تلك الأيام

" ท่านซุฟยานกล่าวว่า ท่านฏอวูสกล่าวว่า แท้จริงผู้ตายนั้น พวกเขากำลังถูกสอบถามในกุบูรของพวกเขา ถึง 7 วัน และพวกเขามีความชอบที่จะทำการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากพวกเขา ในเจ็ดวันดังกล่าว" ท่าน ชัยค์ อัลอะซ่อมีย์กล่าวว่า สายรายงานหะดิษนี้ قوى (มีน้ำหนัก) หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 199
...........
ขอถามก่อน
1. ท่านฏอวูส สิ้นชีวิต เมื่อ ฮ.ศ. 90 บ้างก็บอกว่า สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 106
- ดู ตะอซีบุตตะฮซีบ เล่ม 5 หน้า 9
2. ซุฟยาน เกิดเมื่อ ปี ฮ.ศ 97
แล้วตอนที่ ท่านซูฟยาน ได้ยินหะดิษนี้จาก ฏอวูส ท่านอายุเท่าไหร่
เด็ก อายุระหว่าง 7- 9 ขวบ ไปรับฟังหะดิษมาจาก ฏอวูสผู้อวุโส ท่านผู้อ่านคิดอย่างไร กับความน่าเชื่อถือ ของหะดิษนี้
........................
ถามเอาไปคิดก่อน

ตอบ

โอ้ วะฮาบีย์บังอะสัน เล่นมุกนี้หรือเนี่ย แล้วก็หลอกให้ผู้อ่านเอาไปคิด ว่าเอ.. ท่านซุฟยานอัษเษารีย์จะไปรายงานจากท่านฏอวูสได้อย่างไง??? ฮ่าๆ แบบนี้ หากว่ามีหะดิษหนึ่งของท่านอับนุมุซัยยับที่วะฮาบีย์ไม่ชอบหรือไม่เข้ากับทัศนะของตน วะฮาบีย์บอกว่า ท่านอิบนุมุซัยยับเนี่ย ไม่เคยพบกันนบี แล้ว จะรายงานถึงท่านนบีได้อย่างไร?? พอเป็นอย่างนี้ คนฟังก็เชื่อเลยครับว่า หะดิษที่รายงานโดยท่านอิบนุมุซัยยับนั้น ฏออีฟ เพราะท่านอิบนุอัลมุซัยยับเกิดหลังนบีเสียชีวิตแล้ว ??

วะฮาบีย์บังอะสันครับ ท่านซุฟยานคือใครรู้หรือเปล่า ท่านอิบนุหะญัรกล่าวว่า

ثقة حافظ فقيه عابد إمام حجة

"ผู้ที่เชื่อถือได้ นักจำหะดิษ เป็นนักฟิกห์ นักอิบาดะฮ์ ผู้นำ และเป็นหุจญะฮ์ (หลักฐานอ้างอิง)" ดู หนังสือตักรีบ อัตตะฮ์ซีบ ของท่านอิบนุหะญัร เล่ม 1 หน้า 371 ตีพิมพ์ครั้งแรก ฮ.ศ. 1413 - ค.ศ. 1993 ตีพิมพ์ที่ ดารฺ อัลกุตุบ อัลอัลมียะฮ์ ลุบนาน เบรูต

วะฮาบีย์บังอะสันครับ ท่านซุฟยานนั้น บางครั้งท่านมีการตัดลีส และการตัดลีสของษิเกาะฮ์ผู้ที่เชื่อถือได้อย่างท่านซุฟยานนั้น ไม่มีผลต่อความฏออีฟของตัวบท เพราะถูกตีความว่าท่านซุฟยานนั้น ได้รับการอาจารย์ของท่าน แล้วก็จากท่านฏอวูส เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอะหฺมัดจึงรายงานโดยใช้คำว่า ซุฟยาน กล่าวว่า ฏอวูสกล่าวว่า ....... ก็ถือว่าไม่เป็นไร เพราะการตัดลีสของท่านซุฟยานผู้ที่เชื่อถือได้ ผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้เป็นหุจญะฮ์(หลักฐานอ้างอิง) ถูกตีความถึงการสืบเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ นักหะดิษของท่านอิบนุหะญัรอัลฮัยษะมีย์กล่าวว่า ซอฮิหฺ ท่านอัลอะอฺซะมีย์กล่าวว่า มีน้ำหนัก ยังไงวะฮาบีย์บังอะสันก็เข้าใจเรื่องหะดิษให้ครบถ้วนหน่อยก็ดีน่ะครับ จะได้ไม่ไปลวงชาวบ้าน

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 12:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสสลามุอะลักกุมน้อง konyakroo
ได้โปรดนำสิ่งเป็นวิชาการมานำเสนอดีกว่านะครับ น้องว่าของน้องถูก ก็นำหลักฐานที่เศาะเฮียะมา ไม่ควรจะเอาอารมณ์และความไม่พอใจมาละเลงด่า และประนาม เว็บนี้เขาให้โอกาสพวกคุณมานาน แต่ พวกคุณยังมาประนามว่า พวกวะฮบีย์ พวกมุอตะซิละฮ พวกบิดเบือน อยากจะถามเหมือนกันว่า มันได้ประโยชน์อะไร หากจะบิดเบือนศาสนา และอยากจะถามว่า การเผยแผ่ศาสนา แบบพูดไป ด่าไป นั้น มันไม่เกิดผลดีหรอก ไม่ว่า ทางดุนยาและอาคีเราะฮ อีกทั้งยังเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และทำลายตัวเอง และสร้างภาพลบให้แก่ตัวเองมากกว่า ดังนั้น
เอาอัลกุรอ่าน และอัลหะดิษที่เศาะเฮียะมาเสนอซิครับ ผู้อ่านจะได้ประโยชน์
...........
วัสสลาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 12:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หะดิษที่พวกเราชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ได้นำเสนอมานั้น คือหะดิษรายงานคำสั่งเสียของท่านอุมัร(ร.ฏ.)และคำกล่าวของท่านอับบาส(ร.ฏ.) ว่า

1- ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวไว้รายงาน จากท่าน อะหฺมัด บิน มะนีอฺ ซึ่งเขาได้กล่าวรายงานไว้ใน มุสนัดของเขาว่า

عن الأحنف بن قيس قال : كنت أسمع عمر يقول : لا يدخل أحد من قريش فى باب إلا دخل معه ناس ، فلا أدرى ما تأويل قوله حتى طعن عمر فأمر صهيبا أن يصلى بالناس ثلاثا ، وأمر أن يجعل للناس طعاما فلما رجعوا من الجنازة جاءوا وقد وضعت الموائد ، فأسك الناس عنها للحزن الذى هم فيه فجاء العباس بن عبد المطلب ، فقال : ياأيها الناس قد مات...الحديث

" รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า "คนหนึ่งจากกุร๊อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย" ดังนั้น ฉันจึงไม่รู้ถึงการตีความคำพูดของท่านอุมัร จนกระทั้ง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาดสามวัน และท่านอุมัรก็ใช้ให้เขาทำอาหารให้แก่บรรดาผู้คน ดังนั้น ในขณะที่ผู้คนได้กลับมาจาก(ฝัง)ญะนะซะฮ์ พวกเขาก็กลับมา โดยมีบรรดสำหรับอาหารวางอยู่แล้ว แต่บรรดาผู้ตนก็งดที่จะรับประทานนั้น อันเนื่องจากความโศรกเศร้าที่พวกเขาเป็นอยู่ ดังนั้นท่าน อัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ ก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้เสียชีวิตไปแล้ว....." สายรายงาน "หะซัน" ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 หะดิษที่ 709

หะดิษนี้ เป็นหะดิษที่ "หะซัน" ครับ เนื่องจากมีท่าน อลี บิน ซัยด์ บิน ญุดอาน ที่มีความจำไม่ดีแต่บางอุลามาอ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธในตัวของเขา ดังนั้น ท่านอัลฮัยษะมีย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านอิบนุหะญัร ได้ทำการหุกุ่มมันเอาไว้อย่างถูกต้องครับว่า หะดิษนี้ "หะซัน"

แต่วะฮาบีย์พยายามกล่าวว่าหะดิษนี้หาหะดิษนี้ ด้วยหลักการของอารมณ์ของวะฮาบีย์ ซึ่งมันหลักการหนึ่งในการเข้าใจเรื่องศาสนาของวะฮาบีย์ เราทราบดีว่า หะดิษหะซัน นั้น ก็คือ หะดิษที่มีนักรายงานผู้หนึ่งที่ความจำไม่ดีอยู่ด้วย ด้วยช่วงว่างตรงนี้ วะฮาบีย์จึงนำมาอ้างว่าเป็นหะดิษที่ฏออีฟ ซึ่งหากวะฮาบีย์ใช้ตามหลักอารมณ์นี้ แน่นอนว่า ไม่มีหะดิษหะซันนำหรับวะฮาบีย์อย่างแน่นอน

ขอผมกล่าวคำนิยามของหะดิษหะซันดังต่อไปนี้ครับ

هو الحديث الذى اتصل سنده بنقل العدل الضابط ضبطا غير تام عن مثله من أول السند الى أخره من شذوذ ولا علة
"คือหะดิษซึ่งสายรายงานของมันนั้นสืบต่อเนื่องกัน ด้วยการถ่ายทอดรายงานของผู้ที่ทรงธรรม อีกทั้งมีความจำที่ไม่สมบูรณ์ จากการถ่ายทอดจากผู้ที่เหมือนกับเขา จากเริ่มแรกของสายรายงาน ไปยังสุดท้ายของสายรายงาน โดยไม่มีการแวกแนวและไม่มีข้อตำหนิ"
อธิบายหะดิษ

1. สายรายงานสืบเนื่องกัน หมายถึง ทุกคนที่รายงานนั้น ได้รายงานจากอาจารย์ของเขา จากสายรายงานแรกจนถึงสายรายงานสุดท้ายโดยไม่ขาดตอน

2. ผู้มีคนที่มีคุณธรรม มีความยำเกรง ปลอดภัยจากสาเหตุแห่งความชั่วและสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียเกียตริของตนเอง

3. ผู้รายงานมีความที่อยู่ในระดับต่ำกว่านักรายงานที่ซอฮิหฺ คือเขาความจำไม่ดี หมายถึง ไม่ใช่เป็นคนชอบลืม ผิดพลาดมาก หรือถูกกล่าวหาว่าโกหกในหะดิษ

4. หะดิษต้องไม่ขัดกับหะดิษที่ซอฮิหฺกว่า

5. หะดิษต้องไม่มีข้อบกพร่องที่แฝงอยู่ในตัวบทหะดิษ

ต่อไปนี้ ผมจะทำการวิจารณ์การพิจารณาหะดิษของลัทธิวะฮาบีย์ดังนี้ครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue May 09, 2006 12:43 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากวะฮาบีย์บังอะสัน

การอ้างหะดิษบทนี้ เพื่อเป็นหลักฐาน กินบุญคนตาย อยากจะถามนักศึกษาไคโร สักนิดก่อนว่า ท่านอ้างหะดิษนี้ ในฐานะมุกอ็ลลิด หรือ เป็นมุจญตะฮิด หากท่านตอบว่า พวกท่านเป็นมุกอ็ลลิด ตามอิหม่ามมุจญตะฮิด ผมก็อยากจะถามต่อไปว่า มีอิหม่ามมุจญตะฮิดคนใดบ้าง เอาหะดิษนี้ มาเป็นหลักฐาน กินบุญคนตาย หรือ ที่พวกท่านบอกว่า ไปช่วยทำ ช่วยกิน และช่วยอ่านดุอาอุทิศผลบุญให้ แน่นอน พวกท่านแห่งไคโร ก็ตอบไม่ได้

ตอบ

หากเราเป็นคนมุก๊อลลิดนั้น การตามมุจญฺฮิด ไม่ใช่มีหลักการว่า ต้องมีนักมุจญฺฮิดอื่นวินิจฉัยด้วย ซึ่งหากว่ามีนักมุจญฺฮิดคนเดียววินิจฉัย คนมุก๊อลลิดก็ตามได้แล้ว การตามมุจญฺฮิด ไม่ได้มีเงื่อนไขว่า ต้องมีนักมุจญฺฮิดมากว่าหนึ่ง ถึงจะตามได้
อิมามท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์ ก็เป็นอิมามมุจญฺฮิด คนมุก๊อลลิดอย่างเราก็ตามได้ หากว่ามีหลักฐานมาระบุ

การแบ่งเตาฮีดของวะฮาบีย์นั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ผมอยากถามว่า อิมามมุจญฺฮิดท่านใดที่อ้างหลักฐานมาประกอบในเรื่องการแบ่งเตาฮีด นบีเคยแบ่งใหม? บรรดาซอฮาบะฮ์สักคนเคยแบ่งใหม? บรรดาอุลามาอฺสะละฟุศศอลิหฺสักคนเคยแบ่งใหม? แน่นอนว่า วะฮาบีย์ทั้งโลกแม้วะฮาบีย์ที่อยู่ในกุบูรก็ตอบไม่ได้ยันกิยามัต และ หากเรื่องทำการอาหารเป็นทานแก่ผู้ตายต้องเป็นบิดอะฮ์เพราะอ้างว่าไม่มีอิมามมุจญฺฮิดทำการวินิจฉัยไว้นั้น แน่นอนว่า การแบ่งเตาฮีดเป็น 3 ประเภท ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า

หะดิษการสั่งเสียของท่านอุมัรและคำกล่าวยืนยันของท่านอับบาสนั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานเฉพาะเกี่ยวกับ"กินบุญคนตาย"อย่างที่พวกลัทธิวะฮาบีย์ชอบใช้พูดเรียกศัพท์ แต่หะดิษของท่านอุมัรและท่านอับบาสนี้ ชี้ถึงเพียงแค่อนุญาติ(ยาอิซฺ) ให้ทำอาหารให้กับครอบครัวมัยยิดและทำเลี้ยงให้กับผู้อื่นด้วย เนื่องจากหะดิษนี้ ท่านอิบนุหะญัร ได้ทำการวินิจฉัย โดยตั้งหัวข้อบทที่ว่าด้วยเรื่อง"การทำอาหารให้ครอบครัวมัยยิด" เป็นหลัก และหะดิษก็ชี้ถึงว่า "อนุญาติ" (ยาอิซฺ) ให้ทำอาหารเลี้ยงผู้อื่นด้วย และท่านอับบาสก็ยืนยันเอาไว้ด้วยว่า หลักจากท่านนบีเสียชีวิตและท่านอบูบักรเสียชีวิต บรรดาซอฮาบะฮ์ก็มีการรับประทานและดื่มกัน ซึ่งเป็นการชี้ถึงอนุญาติ(ยาอิซฺ)ให้กระทำ เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านนบีไม่เคยห้ามไว้ และบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ไม่ได้เข้าใจว่า นบีได้ห้าม และนั่นคือความเข้าใจของซอฮาบะฮ์

เมื่อเราถามว่า อนุญาติให้ทำอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์แก่มัยยิด 7 วัน ได้หรือไม่นั้น เราขอตอบว่า "อนุญาติให้กระทำ 7วันได้" เพราะว่านบีไม่เคยห้ามและบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ไม่ได้เข้าใจว่านบีห้าม ดังนั้น พวกเราจึงรักและชอบที่จะกระทำมัน

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 22, 23, 24, 25, 26, 27  ถัดไป
หน้า 23 จากทั้งหมด 27

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.18 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ