ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
ไปที่หน้า 1, 2, 3 ... 25, 26, 27  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Apr 07, 2006 9:00 pm    ชื่อกระทู้: เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

จับไต๋!อิสหาก พงษ์มณี

(ก็ไม่รู้ทางเว็บจะลบหรือเปล่า) ก็ไม่ได้เป็นการจับไต๋อะไรมากมายหรอกครับ แต่ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจของอ.อิสหาก

และอย่าเข้าใจว่าเอาอีกแล้ว เปิดกระทู้ทะเลาะกันอีกแล้ว
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการโต้แย้งเรื่องเสื้อ "เรารักนบี" ที่อ.อิสหากบอกว่าเป็นบิดอะฮฺ ในทิศทางเดียวกับที่บอกว่า การเดินขบวนหรือการชุมนุมประท้วง เป็นบิดอะฮฺ

โปรดเข้าใจว่าทางกลุ่มเยาวชนผู้จัดทำเสื้อเรารักนบี เป็นกลุ่มเผยแผ่ศาสนา ไม่เคยต่อปากต่อกรกับใคร และไม่เคยโจมตีใครก่อน ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นการขัดขวางการทำงานอิสลามอย่างหนึ่ง

ซึ่งต้องมีการชี้แจง โดยเฉพาะนักวิชาการควรรับไปพิจารณาว่าฟัตวานี้ถูกต้องหรือไม่? ..ที่ว่าเป็นบิดอะฮฺ
-------------------------------------

จับไต๋!อิสหาก พงษ์มณี

ในมุมมองของอ.อิสหาก พงษ์มณี เขาจะถือว่า ทุกสิ่งที่เป็นอิบาดะฮฺต้องมีรูปแบบจากนบี ส่วนการโต้แย้งอื่นๆเขาถือว่าหลงประเด็น เช่นหากถามย้อนว่า สูบบุหรี่เป็นบิดอะฮฺหรือเปล่า? เขาก็จะตอบแบบเดียวกับเราว่านั่นมันเรื่องทางโลก! เรื่องทางโลกนั้นมุบาหฺ แต่ถ้าศาสนาห้ามอันนั้นหะรอม ..เองอย่าย้อนสิ มาย้อนเรื่องสูบบุหรี่อย่างงี้หลงประเด็นนี่หว่า! จนมุมนี่หว่า! ..หรือถ้าเราไปโต้ว่า ตกลงจะแสดงความรักต่อนบีไม่ได้เลยหรือ? อ.อิสหากเขาก็จะเข้าใจว่าอันนี้หลงประเด็นละ..เรื่องศาสนามันจะต้องปฏิบัติตามหลักการ ไม่ใช่ปฏิบัติตามอารมณ์.. จะใช้ความรู้สึกสาว่าจะดี..อย่างงี้ไม่ได้ ไม่งั้นก็เหมือนกับพวกกลุ่มบิดอะฮฺน่ะสิ จะอิบาดะฮฺยังไงก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องตามรูปแบบนบีก็ได้ รักนบีก็จัดเมาลิดได้..อะไรทำนองนั้น นั่นคืออ.อิสหากเขาไปเหมาเอาแบบนั้น

ก็ถูกต้องส่วนนึงครับ มุสลิมไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามล่ะครับ ไม่ว่าจะทางดุนยาหรือเรื่องอิบาดะฮฺก็ตาม ต้องอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ แต่ต้องดูว่าศาสนาอนุญาตให้ทำหรือเปล่า? ผิดหลักการหรือเปล่า?

ทีนี้เราลองมาดูไต๋อ.อิสหากหรือมุสลิมหลายคนกันว่ามีความเข้าใจจุดประสงค์ของชะรีอะฮฺหรือเปล่า หรือแค่ไปท่องจำมาแบบนกแก้วนกขุนทอง

ไต๋หนึ่งที่เราจับได้ของอ.อิสหากคือมักจะตีกรอบวางกติกาเอาไว้ แล้วให้คนอื่นเดินตามกติกาที่ตัวเองตั้งไว้ เช่นสมมติเรื่องญีฮาด เขาจะตีกรอบไว้เลย เป็นข้อๆ 1 2 3 4.. คนฟังเห็นแล้วดูน่าเชื่อถือไหม? น่าเชื่อถือครับ เพราะฉะนั้นโดยปริยายครับ คนฟังจะเข้าใจได้เลยว่าใครที่ไม่กรอบที่เขาตีไว้ อันนั้นแหละผิดหลักการ ออกนอกหลักการ ..ทีนี้เรื่องบิดอะฮฺนั้น อ.อิสหากได้ตีกรอบไว้ว่า ทุกเรื่องที่เป็นอิบาดะฮฺ มันต้องมีรูปแบบมาจากนบี ..ส่วนสิ่งที่ปฏิบัติไม่ตรงหรือเกินมา นบีไม่เคยกระทำ สิ่งนั้นเรียกว่าบิดอะฮฺ.. ยิ่งแล้วถ้าสิ่งนั้นไปเลียนแบบพวกมุชริกีน หรือไปเลียนแบบยะฮูด นะศอรอ นั่นก็ผิดดับเบิ้ลเข้าไปอีกข้อนึงเลยตามที่หะดีษได้กล่าวไว้

ถ้าสอนอย่างนี้นะ ลูกศิษย์ลูกหาก็จดจำเกณฑ์ผิดไปใช้กันหมด ..เอาล่ะเราลองมาแหย่ดู ..เราลองเอาเกณฑ์ของอ.อิสหากมาวัดดูนะ

กรณีที่ 1. การเผยแผ่ศาสนาเชิญชวนผู้คนไปสู่ความดี(ดะอฺวะฮฺ) ถามว่าเป็นอิบาดะฮฺหรือเรื่องทางดุนยา? ..เป็นอิบาดะฮฺ ..แล้วถามว่าการจัดบรรยายศาสนา มีเวที มีพิธีกรคนนึง มีอาจารย์รับเชิญซัก 4 คน ถามว่านี่นบีเคยทำไว้หรือเปล่า? ..ไม่เคย ..อ้าว ก็บิดอะฮฺสิอย่างงี้? ยิ่งแล้วการเผยแผ่ศาสนาทางวิทยุ ทางอินเตอร์เน็ต ก็ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมคิดค้นเลย แต่ผู้ที่คิดค้นก็คือกาเฟรฺ จะมุชริกีน ยะฮูด นะศอรอก็แล้วแต่ เขาเป็นคนคิด เขาทำมาก่อน ..อ้าว นี่เลียนแบบยะฮูด นะศอรอสิ? เลียนแบบกุฟฟารฺมุชริกีนสิ?

กรณีที่ 2. การจัดงานหารายได้เข้ามัสญิด เป็นการบุญหรือไม่? ผู้กระทำแสวงหาผลบุญหรือไม่? ผู้ไปร่วมงานหวังที่จะเข้าไปชาวยเหลือเพื่อได้รับผลบุญหรือไม่? ใช่ครับ ได้ผลบุญ สิ่งเหล่านี้คืออิบาดะฮฺ.. แล้วถามว่านบีไม่เคยทำแล้วมันไม่ใช่บิดอะฮฺหรือ? ..ยิ่งแล้วใครครับ เป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมแบบนี้? กุฟฟารฺมุชริกีน! คนพุทธครับ.. ประเทศอื่นไม่มี มุสลิมเขาไม่ทำกัน แต่ประเทศเรามุสลิมไปเอารูปแบบลักษณะนี้มาจากงานวัด คนกาเฟรฺเขาจัดงานหารายได้เข้าวัด มุสลิมเรายืมมา มาจัดรายได้เข้ามัสญิด..

กรณีที่ 3. การเรียนเป็นอิบาดะฮฺหรือไม่? เป็นครับ ..ถามว่าสมัยนบีเนี่ยไม่มีการตั้งโรงเรียนสอนศาสนา ไม่มีเรียนฟัรฎูอีน ไม่มีเรียนปอเนาะ ซันนาวี อะไรก็แล้วแต่ ..(กลุ่มดะอฺวะฮฺชอบยกมาอ้าง) ..แล้วเรามาสร้างรูปแบบให้มีโรงเรียนขึ้นมา กำหนดหลักสูตรต่างๆ ..อย่างนี้เป็นบิดอะฮฺหรือไม่?

ทั้งหมดนั่นแหละครับเป็นอิบาดะฮฺ กระทำโดยที่ไม่มีรูปแบบจากท่านนบี นบีไม่ทำแล้วเรามาทำ แต่ไม่เป็นบิดอะฮฺ ..ซึ่งบางกิจกรรมนั้นเราก็นำมาจากกาเฟรฺเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ผิดครับ เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องภาคความเชื่อในลัทธิหรือศาสนาของเขา (เช่น การนุ่งเหลืองห่มเหลือง, การโกนหัวโกนคิ้ว,แต่งชุดซานตาครอส, ใส่หมวกยิว, วันสงกรานต์, กินเจ ฯลฯ) นั่นต่างหากที่นบีห้ามเราไปเลียนแบบกุฟฟารฺ

เพราะฉะนั้นเกณฑ์จะชี้ว่าอะไรคือบิดอะฮฺของอ.อิสหาก กับกลุ่มบดอ.เนี่ย มาตรฐานเดียวกันครับ! เกณฑ์เดียวกันเลย ..แต่ต่างกันตรง กลุ่มบดอ.เขาบอกทำได้ แต่อาจารย์อิสหากบอกทำไม่ได้ ..เพียงแต่เรื่องที่ตัวเองหรือพวกพ้องทำอยู่อย่าลากเข้าไปวินิจฉัยแล้วกัน..แล้วค่อยหาเหตุผลมาค้ำยัน (เช่นที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วเรื่องการจัดงานมัสญิด การเรียน.. ค่อยหาเหตุผลมาชี้ว่ามันแตกต่างกันยังไง)

แต่หลักการหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ ถ้าสิ่งนั้นมีในสมัยนบี แต่นบีก็ไม่ทำ สิ่งนั้นเราก็ทำไม่ได้ เชคมุนัจญิดเคยถูกถามว่าการใช้ไมโครโฟนอะซานเป็นบิดอะฮฺหรือเปล่า? เชคมุนัจญิดตอบว่า ถ้าในสมัยนบีมีไมโครโฟน แต่นบีไม่ใช้เลย อย่างนี้เราทำไม่ได้ ถ้าทำถือเป็นบิดอะฮฺ ..ผมยกตัวอย่างเพิ่มให้อีก เช่น การอาบน้ำละหมาด ถ้าสมัยนบีมีก็อกน้ำ มีฝักบัวอัตโนมัติ แต่นบีไม่ใช้ ใช้แต่กาน้ำ แสดงว่าเราจะอาบน้ำละหมาดด้วยก็อกไม่ได้ ใช้ฝักบวไม่ได้ เป็นบิดอะฮฺ...แต่นั่นก็ดูเข้าใจยากไปหน่อย จริงๆแล้วหุก่มเรื่องอิบาดะฮฺมันไม่เกี่ยวกับองค์ประกอบที่ใชหรอกครับ ถ้าแยกแยะตรงนี้ไม่ออกจะงงไม่รู้จบ ..เราต้องแยกแยะให้ออกว่า เรื่องอาบน้ำละหมาด หุก่มมันดูตรงที่รูปแบบในการอาบน้ำ ไม่ได้ดูที่องค์ประกอบที่ทำให้น้ำออกมา ..เราดูตรงที่นบีล้างส่วนไหนบ้าง ล้างตรงไหนก่อน และล้างกี่ที กล่าวอะไรหรือไม่? แค่นั่นแหละครับ ..อย่างเรื่องอะซาน เราไม่ดูว่าเสียงไปยังไง องค์ประกอบอะไรทำให้เสียงกระจายออกไป แต่เราดูที่ว่านบีใช้ให้อะซานยังไง กล่าวอะไร ..จะเพิ่มประโยคเองไม่ได้..ถ้าเพิ่มนั่นแหละเป็นบิดอะฮฺ..

ทีนี้ถ้าเขาจะเอาตรงนี้มาแย้งว่า เฮ่ยสมัยนบีไม่มีอินเตอร์เน็ตนี่.. สมัยนบีไม่มีวิทยุนี่..เออถ้ามีแล้วนบีแล้วไม่ทำ นั่นแหละเราทำไม่ได้ ก็หุก่มเดียวกะเรื่องไมโครโฟนนั่นแหละ!.. ถ้ามาลูกนี้เราฮุกหมัดให้ร่วงไปเลย..ว่าอ้าว แล้วสมัยนบีน่ะจะสร้างโรงเรียนได้มะ? สร้างได้แต่นบีไม่ทำ สมัยนั้นกาเฟรฺที่อื่นๆเขาก็มีโรงเรียน ..เวทีล่ะ สมัยนั้นมีไหม? มีครับ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เทคโนโลยียุคใหม่ แค่เวทีเนี่ยก็มีการแสดงอะไรต่างๆ แต่นบีไม่เคยสร้างเวทีมาใช้บรรยายศาสนา จะจัดบรรยายมีพิธีกร มีถามตอบก็ทำได้ ..แต่บีไม่ทำ ..แล้วพวกเนี้ย เรามาอตรีทำกันน่ะ เป็นบิดอะฮฺไหม?

แน่นอนครับ ไม่เป็น.. จดจำให้แม่น แต่ก็พยายามสร้างความเข้าใจ อย่าท่องจำแบบนกแก้วขุนทอง ..แต่เดิมใครไปเข้าใจว่าอิบาดะฮฺต้องมีรูปแบบจากนบี ..ไปท่องจำใหม่ได้เลยครับ ..อิบาดะฮฺที่มีรูปแบบ เราอย่าไปเพิ่ม อย่าไปเติม ส่วนอิบาดะฮฺที่ไม่มีรูปแบบ..เชิญ!..ทำได้ตามประสงค์เลยครับ จะอ่านกุรอานยังไง จะท่อง หรือจะกางหนังสือ(หนังสือกุรอานเป็นเล่มไม่มีในสมัยนบี)เชิญ! จะอ่านจากวิซีดี อนิเตอร์เน็ต จะฟังจาก MP3 ..เชิญ!

แต่..อย่าเอามาอุตริสร้างพิธีกรรมขึ้นใหม่ จะอ่านกุลฮุวัลลอฮฺทุกเช้า เชิญ.. จะอ่านฟะติฮะหฺ 1 จบ ยาซีน 3 จบ เชิญ.. แต่อย่าไปอุตริเอาไอ้การกระทำเนี้ยมากำหนดเป็นรูปแบบ เช่น เช้าวันศุกร์ ต้องอ่านฟะตาฮะหฺ 1 จบ ยาซีน 3 จบ หรือก่อนเข้าบ้านต้องอ่านอัลอิคลาส 3 จบ ..อย่างนี้แหละ บิดอะฮฺ! เข้าใจยัง ...ต้องเข้าใจว่าจุดประสงค์ของชะรีอะฮฺว่าด้วยเรื่องบิดอะฮฺนี้ อัลลอฮฺห้ามก็เพราะไม่ต้องการให้มีรูปแบบพิธีกรรมใหม่ๆเกินขึ้นในศาสนา.. เพราะฉะนั้นอะไรที่มันไม่เข้าข่ายเป็นบิดอะฮฺหรือที่เรียกว่า ศาสนาคิด! (คิดเอง) เราก็อย่าเอามาหุก่มมั่วๆว่าสิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺ เชคอุษัยมีนจึงแยกออกมาเป็นชข้อๆ 5 ข้อ(ถูกที่ ถูกเวลา ถูกรูปแบบ..) ให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งถูกต้องเลยครับ แต่ถ้าเราเข้าใจไม่เคลียร์ ไปเอาเกณฑ์ที่เชคอุษัยมีนมาท่องจำจดจำมาใช้ตามตัวอักษรโดยไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริง เราก็จะหลงประเด็นเกี่ยวกับความหมายของบิดอะฮฺ

เช่นเดียวกันครับ เรื่องซิกรุลลอฮฺนี่เปิดกว้างเลยครับ ไม่มีรูปแบบเลย จะทำยังไงก็ได้ตามประสงค์ แต่อยู่ๆเราจะไปอุตริสร้างพิธีกรรมซิกรุลลอฮฺขึ้นใหม่น่ะไม่ได้ .. ท่านอิบนุ มัสอูด ไปเห็นคนตั้งวงซิกุรลลอฮฺ มีคนนำด้วยนะ จึงด่าแล้วไล่ตะเพิดเลย!..อย่างนั้นแหละครับที่เรียกว่าบิดอะฮฺ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Apr 07, 2006 9:02 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พี่น้องครับสิ่งที่คนอื่นเตือน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแหละครับ ต้องฟัง.. สิ่งอิสหากและคณะสลาฟิยูนได้เตือนก็คือเรื่องของการไม่ปฏิบัติตามอารมณ์ จะต้องคำนึงถึงหลักการ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

จับไต๋..

ลูกเล่นหนึ่งที่อ.อิสหากชอบใช้คือลดเกรดฝ่ายตรงข้ามในเชิงว่าอีกฝ่ายไร้หลักการ เช่นคำพูดที่อ.อิสหากชอบพูดว่า "สมมติว่าผมกับอาจารย์เถียงกันอยู่เรื่องชี้นิ้วหรือกะรดิกเนี่ย แล้วอยู่ๆอาจารย์ดันมาเถียงว่า เอ็งสูบบุหรี่!..แม่เอ็งไม่คลุมหิญาบ! อย่างนี้คนละเรื่องไหมเนี่ย?" นี่แหละครับแต่จริงๆแล้วความหมายที่อีกฝ่ายหนึ่งสื่อก็คือ ไหนว่าคุณรักษาหลักการไงครับ แต่ทำไมไม่พูดเรื่องบุหรี่?(ซะอุดีย์ กลุ่มสลาฟีย์นี่เขาเอาจริงนะ) บิดอะฮฺมีในศูนย์กลางทำไมไม่พูด กลัวกระทบพวกพ้องใช่หรือไม่?

สิ่งเหล่านี้อ.อิสหากจะโต้ว่าการเถียงลักษณะนี้(เอ็งสูบบุหรี่, แม่เอ็งไม่คลุมหิญาบ) นี่คืออาการของพวกอันธพาล เถียงไม่ตรงประเด็น ..แต่ในขณะเดียวกันอ.อิสหากก็ลืมไปว่า ..การเถียงนอกเรื่องลักษณะนี้ ก็ไม่ได้หมายความ อีกฝ่ายไม่มีหลักการแต่อย่างใด เพียงแต่มันเป็นการเหน็บแนมเสริมๆก็เท่านั้นเอง ..แต่ถ้าใครตามไม่ทันไปหลงคารมณ์อิสหากก็ เอ๊อ..จริงว่ะ อีกฝ่ายเถียงไม่ตรงประเด็นว่ะ ไปเถียงว่าไม่รักนบีมั่ง สร้างความแตกแยกมั่ง ไม่ทำอะไรให้สังคมมั่ง ..แน่นอนครับมันนอกประเด็น แต่มันเป็นการเหน็บแนม! ไม่ได้ทำให้วิชาการของอีกฝ่ายด้อยค่าแต่ประการใด

การตั้งตัวเป็นมุฟตี

ผมพูดเสมอว่าไม่ว่ากันครับที่ใครหรือองค์กรใดจะตั้งตัวเป็นศาล เป็นมุฟตีคอยชี้ขาด คอยชี้คนนู้นคนนี้ แต่มีข้อแม้คือ 1. ต้องเอาให้จริง ..ไม่ใช่แบ่งว่าพวกนั้นกูไม่แตะ กูเอาเฉพาะกลุ่มนี้ 2. ตัวเองต้องเป๊ะซะก่อน ..ใครจะไปชี้ผิดชี้ถูกคนอื่นน่ะ ตัวเองต้องถูกต้องซะก่อน ..ข้อนี้แหละที่ผมกังวล เพราะคนที่เขาเป็นลูกศิษย์ลูกหาอ.อิสหาก หรือคนที่ชอบเพราะยึดถือในพรรคหรือกลุ่มชมรม มักจะเชื่อตรงลีลาการพูด วิธีการนำเสนอ จะมีการชี้แจงแยกออกมาเป็นข้อๆ แล้วตีกรอบไว้ ข้อสำคัญคือต้องลดเกรด discredit ฝ่ายอื่นด้วย อันนี้สำคัญ จะทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าโดยปริยาย.. แล้วคนก็จะเข้าใจตามนี้แหละครับ ว่าอู้หูย!!นี่แหละชัดเจนแล้ว!!

ความเข้าใจในศาสนาของอ.อิสหากนั้นเราต้องไปขุดรากเหล้าครับว่ามาจากไหน ..ชื่อชมรมอัสสลาฟิยูน..มาจากไหน?

ผมเคยตั้งกระทู้ชื่อ "อะกีดะฮฺสลัฟแบบฉบับผู้ศรัทธา" จริงๆแล้วเป็นการยืมชื่อมาใช้ แต่ถ้าว่ากันตามหลักอะกีดะฮฺของอิสลามแล้วไม่ถูกนักครับ สลัฟไม่ใช่บุคคลที่มุสลิมจะยึดถือปฏิบัติตาม! ..(บางคนตกใจ พูดงี้ได้ไง!) พี่น้องครับวันนี้เราจะตั้งตัวเองเป็นมาตรฐานของชี้ผิดชี้ถูก ไปๆมาๆเราต้องมานั่งเคลียร์อะกีดะฮฺกันใหม่แล้วครับ ..ทำไมล่ะ พฤติกรรมเราถึงยังห่างไกลกับศาสนา ทำไมเราพูดหลักการได้พลั๊วะๆเลย แต่ด้านปฦฏิบัติของตัวเองนั้นสุนัขไม่รับประทาน หรือว่าหลักอะกีดะฮฺเราไม่ดี? เราต้องเช็ค..

สลาฟียะฮฺคืออะไร?

ถ้าตอบแบบอุละมาอฺสมานฉันท์ เขาจะตอบว่าสลาฟียะฮฺคือคนที่ตามสลัฟ อันเป็นชนที่ประเสริฐที่สุด...(ว่าไป) แต่เขาจะไม่บอกว่าเป็นมัซหับที่เกิดขึ้นใหม่..

ทบทวนนิดนึง ..ไม่มีคำสั่ง คำแนะนำซักหนึ่งเดียวครับจากอัลกุรอานและหะดีษ ให้มุสลิมยึดถือปฏิบัติตามสลัฟ! ..หุก่มศาสนามาจากอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียวครับ (ย้ำว่าผู้เดียว) นี่คืออะกีดะฮฺ โดยประทานผ่านมาทางนบีมุฮัมมัด ก็คืออัลกุรอานและหะดีษ..แล้วก็ไม่ใช่ซอฮาบะฮฺด้วย ซอฮาบะฮฺไม่ได้รับวะฮีย์ ..เพราะฉะนั้นซอฮาบะฮฺไม่ได้เป็นผู้หยั่งรู้ในหุก่มศาสนา นอกจากปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่านนบีเท่าที่เขารับรู้ ..ด้วยเหตุยี้เองครับ จึงมีคิลาฟมากมาในยุคซอฮาบะฮฺ ..แต่ซอฮาบะฮฺเข้ามาเกี่ยวโยงเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาด้วยเนื่องจากเป็นผู้ที่ช่วยในสมัยที่อัลกุรอานถูกประทานลงมา(จึงต้องเข้าใจอัลกุรอานตามแนวทางที่ซอฮาบะฮฺเข้าใจ) และเป็นผู้สืบทอดซุนนะฮฺของท่านนบีโดยตรง ..ส่วนบรรดาตาบิอีน ตาบิอิตตาบิอีนยิ่งห่างไกลเลยครับ เพราะพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในยุคศาสนาถูกประทาน เขาจึงต้องร่ำเรียนค้นคว้าหาหลักฐาน..ด้วยเหตุนี้เราชาวซุนนะฮฺจึงไม่ตักลีดบรรดาสลัฟ เราจึงกล้าโต้แย้งไงครับว่า อบูหะนีฟะฮฺฟัตวาไม่ถูกต้องเรื่องนั้นเรื่องนี้ อิมามชาฟิอีย์ไม่ถูกต้องเรื่องนั้นเรื่องนี้..ซอฮาบะฮฺเองก็ไม่ใช่บุคคลที่ตาบิอีนตักลีด เพราะขนาดระดับซอฮาบะฮฺ หลักอะกีดะฮฺของเราก็ยังเชื่อว่ามีผิดพลาด..ตาบิอีนจะปฏิบัติตามซอฮาบะฮฺคนหนึ่งคนใดเขาต้องดูก่อนว่าสิ่งนั้นซอฮาบะฮฺรับมาจากนบีหรือไม่.. เพราะฉะนั้นให้เราเข้าใจเลยว่า เรื่องหะลาลหะรอมไม่มีใครรู้จริง! ..จะบอกว่าหะลาล มันต้องชัดเจน จะบอกว่าหะรอมมันต้องชัดเจน..ถ้าไม่แน่ใจอุละมาอฺจะใช้คำว่า ชอบให้กระทำ ..ไม่ชอบให้กระทำ.. และก็นับตั้งแต่ยุคซอฮาบะฮฺ มายันตาบิอีน ตาบิอิตตาบิอีนต่างก็มีความเข้าใจต่างกันไป...อันไหนบาปใหญ่ บาปเล็ก? อันไหนมักรูฮฺ? เรื่องอาหาร และทุกเรื่องยันเรือรับ อุละมาอฺเห็นต่างกันว่าอันไหนหะลาล อันไหนหะรอม แต่สิ่งที่เหมือนกันคืออะกีดะฮฺ (จะคลาดเคลื่อนจากกันก็ไม่มากนัก) ..สลัฟบางส่วนยังเชื่อว่านรกสำหรับกาเฟรฺนั้นเป็นนรกชั่วคราว! ..อิบลีสเป็นญินหรือมลาอิกะฮฺ? ไม่น่าจะมีคิลาฟได้ แต่มันก็มีไปแล้ว!

แต่ทีนี้มันมีนักวิชาการยุคหลังไปยกย่องสลัฟราวกับว่าเป็นต้นแบบในเรื่องอะกีดะฮฺและความเข้าใจเรื่องหุกุ่ม( สืบเนื่องจากว่านักวิชาการกลุ่มนี้เป็นลูกศิษย์ลูกหาของสายเชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าสลาฟียะฮฺนั่นเอง ที่เรียกว่าอัล-เชค ..ด้วยความเคารพ พวกเขาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง แต่มีบางคนมีความเข้าใจที่ผิดพลาดบางประการ(แต่ละคนก็ผิดพลาดเป็นข้อๆต่างกันไป) ..เรื่องบางเรื่องเขาเข้าใจต่างกันโดยสิ้นเชิง ..อย่างเชคอัลบานีย์บอกว่าวาญิบที่มุสลิมจะต้องเรียกตัวเองว่าสลาฟียะฮฺ ..เชคบินบาสบอกไม่จำเป็น จะเรียกก็ได้ไม่เรียกก็ได้ ..ส่วนเชคมุนัจญิดบอกว่าไม่อนุญาตให้เรียกตัวเองว่าสลาฟียะฮฺ! ..(เอาไงดีล่ะตูทีนี้?) นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเป็นเรื่องมัซหับเรื่องแนวทาง แต่พวกเขาก็ยังเข้าใจต่างกัน..หรือเรื่องที่ว่าใครจะลงนรก ใครไม่ลงนรกอันนี้ก็ยังเข้าใจต่างกัน

เขาไปยกเอาหะดีษนี้มาว่า "ชนที่ดีที่สุดคือชนในยุคของฉัน และหลังจาก......." พี่น้องครับอ่านหะดีษให้เข้าใจ มีการแนะแนวหรือบอกใบ้ไว้ในหะดีษนี้หรือไม่ว่าให้ตามสลัฟ หรือให้เอาสลัฟเป็นต้นแบบ? ไม่มีเลยครับ เพียงแต่ในเมื่อสลัฟเป็นชนยุคที่ประเสริฐ ก็เป็นเพียงแบบอย่างที่ดีงาม แต่ไม่ใช่แหล่งที่มาของศาสนาครับ ..แต่ยุคหลังๆนี้นิยมในการอ้างอิงคำว่าสลัฟ และท่าทางจะหนักเข้าขึ้นทุกวัน

แต่ทีนี้ผู้ที่ร่ำเรียนศึกษาอยู่ในสายนักวิชาการเหล่านี้ (เชคอัลบานี เชคบินบาส เชคอุษัยมีน ..ไม่พ้นจากนี้!) ก็จะถูกตีกรอบความรู้อยู่ในกรอบขอบเขตที่จำกัด คือตัวอุละมาอฺเหล่านี้เองน่ะไม่ต้องห่วงครับ เป๊ะอยู่แล้ว อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง ..แต่สาขาย่อยน่ะสิครับ (เช่น ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของลูกศิษย์..อะไรทำนองนี้) มั่นใจเหรอว่าตัวเองแม่นเป๊ะ? ..ที่ต่างประเทศมีนะครับ สลาฟีย์องค์กรนึงกล่าวหาสลาฟีย์อีกองค์กรนึงว่าเป็นกาเฟรฺ! ไอ้นั่นบอกเอ็งเป็นกาเฟรฺ(มีหลักฐาน หลักการชี้แจงปลั๊วะๆ) อีกกลุ่มนึงก็บอกเอ็งเป็นกาเฟรฺ (มีหลักการปลั๊วะๆเหมือนกัน) ..นี่แหละครับ มนุษย์เราย่อมมีความผิดพลาด

หลักการศาสนาที่ถูกสอนในซะอุดีย์ อาระเบียนั้น ต้องยอมรับว่าแม่นเป๊ะ นี่คือข้อดี แต่ข้อเสียก็คือ ตำรับตำราศาสนาเก่าๆไม่ค่อยครบถ้วนนัก เพราะหากตำราไหนขัดกับระบบกษัตริย์ตำรานั้นก็ถูกแบน เช่นของอิบนุ ตัยมียะฮฺ หลายๆเล่มต้องปลอมเป็นชื่ออื่น แต่นักวิชาการผู้อ่านจะรู้ได้เองว่านี่เป็นงานเขียนของอิบนุ ตัยมียะฮฺ.. มีเรื่องราวอะไรทำนองนี้อยู่ในวงการศาสนาครับ ..ดังนั้นมั่นใจหรือว่า เรานี่รู้สุด? มั่นใจหรือว่าเรานี่เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่จะตัดสินคนอื่นได้?

ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เพื่อต้องการสร้างความสับสน แต่เป็นการเล่าให้ฟัง และทบทวนให้ฟัง เพราะพี่น้อง ณ ที่นี้แต่ละคนก็มีความรู้กันท่วมหัวอยู่แล้ว
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Apr 07, 2006 9:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การแสดงความรักต่อท่านนบี?

เป็นอิบาดะฮฺครับ เป็นส่วนหนึ่งของอีมาน ..กาย ลิ้น ใจ.. อันนี้คือตัวแสดงรูปแบบครับ? แน่นอนก็คือ กาย กับ ลิ้น แต่เรื่องของใจเนี่ย มีรูปแบบไหม? ไม่มี อ้าว.. นั่นแหละครับ เมื่อมันไม่มีรูปแบบเนี่ย เราก็จะแสดงออกมาอย่างไรก็ได้ ..

ลิ้น ถามว่าเราพูดคำนี้ได้ไหมครับ? "ฉันรักนบียิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกดุนยา" (โดยไม่ได้เป็นการโอ้อวดนะ) ถ้าตอบว่าพูดได้! ..แล้วมันมีหลักฐานซักหะดีษเดียวไหมครับว่าซอฮาบะฮฺเคยพูดประโยคนี้? หรือนบีเคยสั่งให้พูดไว้?

เพราะฉะนั้นกาย เราจะทำอย่างไรก็ได้ครับที่เป็นการแสดงความรักต่อท่านนบี..

จับไต๋..

แต่ถ้ามีใครย้อนกลับว่า อ้าว..งี้ ก็จัดเมาลิดได้น่ะสิ? ก็เป็นการแสดงความรักต่อท่านนบี!

..นี่แสดงว่าไม่เข้าใจ! ถามว่าเราจะจัดงานขึ้นเพื่อยกย่องเกียรติประวัติต่อท่านนบี มีการให้ความรู้เกี่ยวกับชีวประวัติของท่านนบี..อย่างงี้ทำได้ครับ! ไม่เป็นบิดอะฮฺ ..แต่อย่าให้เป็นพิธีเฉลิมฉลอง หรือเจาะจงจัดขึ้นในวันเกิดเท่านั้น(เพราะการเฉลิมฉลองวันเกิดไม่มีในอิสลาม) ..แล้วเมาลิดนบีน่ะ เขาอ้างว่าเป็นการซอละวาต ซึ่งการซอละวาตนบีมันมีรูปแบบอยู่แล้ว..(กี่ข้อ ไปดูเอา)

ประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่า"เรารักนบี" เป็นการตะกับโบรฺหรือไม่?

ใครเข้าใจอย่างนั้นต้องไปเรียนภาษาไทยมาใหม่! .. ในเสื้อเขียนว่า "เรารักนบี" ไม่ได้เขียนว่า "ฉันรักนบี" เราเป็นพหูพจน์ แล้วในที่นี้หมายถึงใครครับ?

คนที่เรียนภาษาอาหรับ เรียนโรงเยนศาสนา แล้วไปจบต่างประเทศ ไม่เก่งภาษาไทย ผมจะสอนภาษาไทยให้ครับ

"เรารักในหลวง" ให้ออกมาหลายนัยยะ หมายถึง เราคนไทยรักในหลวง.. หรือเป็นปลุกกระตุ้นคนกลุ่มๆนึง(ในที่นี้คือปลุกคนไทย)ให้มีความรักในหลวง และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ..เป็นการแสดงพลังต่อชนกลุ่มหนึ่ง(ใครก็ได้ ที่อาจไม่รักในหลวง)ว่าพวกเราเนี่ยรักในหลวงนะ!

ส่วน "เรารักนบี" ในเสื้อมีสกรีนเป็นอังกฤษด้วยว่า "We love Muhammad" ไม่ได้ใช้คำว่า " I Love Muhammad" เพราะถ้าบอกว่า "ฉันรักนบี" ก็พูดได้ แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะนำมาประกาศเพราะเหมือนเป็นการโอ้อวด .. เพราะฉะนั้นเสื้อ "เรารักนบี" มันใช้ในการสื่อว่าพวกเราเนี่ย มุสลิมเนี่ย (ไม่ใช่เฉพาะคนที่ใส่เสื้อเท่านั้น) รักนบี เป็นการแสดงพลังให้คนที่ไม่รักนบีได้เห็น

เรื่องนี้จะมองว่า การชี้แจงเหตุผลพวกนี้เป็นการค้ำยั้น ทำไปก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลตามไม่ได้ ..เพราะมันไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในฟัตวาของอุละมาอฺต่างๆ เพราะฉะนั้นจู่ๆมีคนมาฟัตวา แน่นอนล่ะครับ ทีนี้มันก็ต้องมีการทบทวน และมีการหาเหตุผลมารองรับ ..ถ้ามันผิดจริงก็เลิก ถ้าวินิจฉัยแล้วว่าไม่ผิดก็ต้องชี้แจง ..แต่ถ้าไม่แน่ใจ คลุมเคลือก็อย่าไปทำ.. แค่นั้นเองง่ายๆ เรื่องศาสนา

แต่ทั้งนี้เป็นความผิดของผู้ถามและผู้ฟัตวา .. ผู้ถามก็ไม่ควรตั้งคำถามว่าไอ้นั่นไอ้นี่หะรอมหรือไม่ในเรื่องบางเรื่องที่มันรู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่มีตัวบทหลักฐานห้าม ..ท่านนบีบอกอย่าถามพร่ำเพรื่อเพราะ "จะทำให้สิ่งนั้นหะรอมเพราะการถามของเขา" และนักวิชาการไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถามครับ เพราะความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอ ..สลัฟเองเนี่ย ระดับอิมามเจ้าของมัซหับยังตอบน้อยกว่าที่ถูกถามอีกครับ..ส่วนใหญ่คือคำตอบว่า"ไม่รู้"..นอกจากนั้นแล้วก็จะตอบว่า "ชอบให้กระทำ" "ไม่ชอบให้กระทำ" เรื่องจะบอกว่าหะลาลหรือหะรอมนี่ยากเหลือเกินครับที่จะออกมาในฟัตวา นอกจากว่าต้องชัดเจนจริงๆ แล้วฟัตวามาแล้วรอบครอบแล้วก็ยังมีผิดพลาดครับ..เห็นไหมล่ะครับ นั่นขนาดยุคนที่ดีที่สุด ..แล้วนับประสาอะไรกับยุคหลังๆนี่ ..เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ลูกหาอย่าได้หลงชื่นชม หรือหลงภูมิใจ สะใจ.. โอ้โหย อาจารย์กูแจ๋วเว้ย! เก๋าเว้ย!..ฟันโชะๆ เลย!! ..(สลัฟเขายังไม่กล้าโชะๆเลยครับ)

เรื่องนี้เนี่ยเห็นได้ชัดว่า อ.อิสหากผิดพลาดอย่างมหันต์ แทนที่จะบอกว่า "ไม่ควรกระทำ" "ไม่ชอบให้กระทำ" เพราะไม่เหมาะ เดี๋ยวจะใส่เข้าห้องน้ำ เดี๋ยวจะวางไม่ดี วางกับพื้น จะซักอะไร.. ถึงจะไม่ใช่ภาษาอาหรับแต่ก็ต้องให้เกียรติคำว่านบี..อะไรก็ว่าไป..อย่างนี้มุสลิมรับฟังฟัตวานี้ได้.. แต่นี่เล่นหุก่มหลายข้อหาเลยครับ โชะๆ!เลย เจ๋งเลย! .. -บิดอะฮฺ! -เลียนแบบมุชริกีน! -โอ้อวด!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Apr 07, 2006 9:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การแสดงความรักท่านนบี

สมัยท่านอุมัรฺ ที่ยะมันเด็กมุสลิมกลุ่มหนึ่งก็กำลังเล่นกีฬากันอยู่ ..อยู่ๆนักบวชมาห้ามก็ไม่เลิก นักบวชคนนึ้นโมโห จึงพาลด่าทอไปถึงท่านนบีมุฮัมมัด ..เด็กกลุ่มนั้นจึงรุมตื้บนักบวชตายคาที่! เมื่อเรื่องนี้ถึงหูท่านอุมัรฺ ท่านอุมัรฺว่าไง?

ท่านไม่ได้พูดแบบที่นักวิชาการยุคนี้หลายคนพูด ไม่ได้บอกว่า อู๊ย..ไปทำได้ไง..นบีโดน่ามาเยอะแล้ว นบียังไม่ว่าเลย.. หรือ อู๊ย..เขาเป็นนักบวชนะศาสนาห้ามฆ่า.. แต่มันสวนทางกันสิ้นเชิงครับ!

ท่านอุมัรฺยิ้มดีใจแล้วบอกว่า "บัดนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าอิสลามที่ยะมันนั้นเข้มแข็งแล้ว"!

อรรถธิบาย ..การที่ใครคนหนึ่งมีอีมานที่ดี เขาจะรักอัลลอฮฺและรอซูลเหนือกว่าพ่อแม่ของเขา ..เป็นไปไม่ได้เลยครับที่คนกาเฟรฺจะมีความรู้สึกแบบนี้ ..และเป็นที่น่าเคลือบแคลงใจสำหรับคที่มีอีมานน้อยว่า เขาจะรักอัลลอฮฺและรอซูลเหนือกว่าพ่อแม่ของเขา หรือเอ๊ะ..มันหมายถึงว่าต้องเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลมากกว่าพ่อแม่? ไม่ใช่ครับ! การรักในที่นี้หมายถึงความรู้สึก ไม่ใช่แค่การเชื่อฟัง ..คนอีมานไม่ดีเขาจะไม่ผูกพันทางใจกับอัลลอฮฺและรอซูลมากไปกว่าพอ่แม่หรอกครับ เขานึกภาพไม่ออกว่าเขาจะกล้าฆ่าลูกได้อย่างไรถ้าอัลลอฮฺสั่งให้ฆ่า ..นึกภาพไม่ออกว่าจะฆ่าพ่อแม่ได้อย่างไรถ้าอัลลอฮฺสั่งให้ฆ่า..(แต่ไม่มีนะคำสั่งนี้) เวลาพ่อแม่ถูกด่า ก็ชกหน้า!..แต่เวลารอซูลถูกด่า!..โกรธน่ะแหละ แต่ไม่ทำอะไร..? ทำนองนั้น

อรรถธิบาย ..ไม่มีรูปแบบจากนบีว่าเวลามีคนมาด่าแล้วให้รุมตื้บ ..แต่ปรากฏว่า ไม่มีคำกล่าวจากท่านอุมัรฺ(และผู้ใด)ว่าการรุมตื้บเป็นบิดอะฮฺ

อรรถธิบาย ..ในเมื่ออีมานอ่อน ฟัตวามันก็อ่อนมาตามอีมาน (ไม่มีนัยยะว่าผู้พูดอีมานดีกว่าผู้ฟัตวาแต่ประการใด เพราะอีมานมันดูจากหลายแง่มุม) ยุคนี้หลายคนฟัตวาว่า ไปฆ่าคนด่านบีไม่ได้ ..ขนาดสมัยนบี นบีโดนด่า ซอฮาบะฮฺชักดาบจะเชือด! แต่นบีห้ามไว้เพราะอยู่ในสนธิสัญญา (อ้างเหตุการณ์พวกนี้ประจำ) เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงข้อโต้แย้งก็อยู่ในคำพูดของเขาแหละครับ ก็คือถ้าไม่มีสนธิสัญญาน่ะคอขาดไปแล้ว!! เห็นไหมครับ ในความรู้สึกของซอฮาบะฮฺคือถ้าด่านบีน่ะ ถึงตาย!!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Fri Apr 07, 2006 9:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เมื่อความอวิชชาเป็นวิชา



เชคริฎอ อะหมัด สมะดี

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ประเทศเดนมาร์กดูหมิ่นท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และชาวมุสลิมทั่วโลกลุกฮือปกป้องศักดิ์ศรีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในทุกรูปแบบ มีนักศึกษามุสลิมกลุ่มหนึ่งที่สำนึกในหน้าที่ของผู้รักนบีมาถามผมว่า การสกรีนเสื้อด้วยข้อความที่แสดงถึงความรักภักดีต่อท่านนบี เช่น เรารักนบี จะมีปัญหาหรือเป็นบิดอะฮฺมั้ย? ผมได้ตอบว่า ไม่เป็นบิดอะฮฺแต่อย่างใด ซึ่งหลักฐานต่างๆที่มีอยู่ขณะนั้นไม่เคยนึกว่าต้องเอามาใช้ในสังคมมุสลิมไทย แม้กระทั่งวงมุสลิมซุนนะฮฺที่เคร่งครัดด้วย เพราะเรื่องสกรีนเสื้อเป็นเรื่องที่ผมได้เห็นว่ามันปรากฏในสังคมซุนนะฮฺอย่างกว้างขวาง และไม่เคยได้ยินนักวิชาการติเตียนหรือคัดค้านแต่อย่างใด อาทิเช่น สถาบันซุนนะฮฺใหญ่โตก็สกรีนเสื้อเมื่อมีการจัดงานหารายได้แทบทุกปี ผ่านหน้าผ่านตานักวิชาการอาวุโสซุนนะฮฺ โรงเรียนศาสนาของชาวซุนนะฮฺแทบทุกโรงเรียนก็เช่นกัน เสื้อบางตัวมีข้อความที่เป็นอายะฮฺหรือหะดีษ หรืออาจมีพระนามของอัลลอฮฺด้วย แม้กระทั่งชมรมซุนนะฮฺใหม่ๆที่เกิดเร็วๆนี้ เมื่อประกาศตัวก็ได้สกรีนเสื้อ หรือสถาบันสงเคราะห์หลายๆสถาบันก็มีการกระทำเช่นนั้น แต่วันดีคืนดีเมื่อเยาวชนและนักศึกษาได้สกรีนเสื้อมีข้อความ เรารักนบี ก็เกิดมีคำถามผ่านทางวิทยุหลายรายการ โดยมีนักวิชาการจากสถาบันนั้นๆให้คำตอบว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่มีแบบฉบับจากท่านนบีและยุคสะลัฟ ซึ่งในยุคนั้นเขาสามารถกระทำได้แต่ไม่ได้ทำ แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง บางท่านก็ฟันธงว่าเป็นบิดอะฮฺ อันเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยเหมาะสมในเชิงวิชาการ และมีข้อติติงในเชิงจรรยาบรรณและจริยธรรม


บางคนอาจจะตอบว่า นักวิชาการที่ออกมาพูดเช่นนี้คือนักวิชาการเดียวกันที่อนุโลมให้สถาบันของตน (ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิ ชมรม หรือโรงเรียนศาสนา) สกรีนเสื้อโดยมีข้อความทางศาสนาหรือมีชื่อสถาบัน ซึ่งเหตุผลที่อ้างในการห้ามเสื้อสกรีนที่มีข้อความ เรารักนบี นั้นก็เป็นเหตุผลเดียวกัน แต่ไฉนมาตรการของศาสนาจึงไม่เป็นมาตรการเดียว




สำหรับนักวิชาการที่ต้องเป็นตัวตั้งในการวิเคราะห์ประเด็นเช่นนี้ ผมขอตอบดังนี้




1. นักวิชาการที่ได้ศึกษาเรียนรู้แนวทางซุนนะฮฺของท่านนบีและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับซุนนะฮฺหรือบิดอะฮฺ จำเป็นต้องเคยอ่านหนังสือ อัลอิอฺติศอม ของท่านอิมามชาฏิบียฺ ซึ่งเป็นหนังสือที่วิจัยเรื่องบิดอะฮฺโดยเฉพาะ เงื่อนไข กติกา ขั้นตอน และลักษณะของบิดอะฮฺตามหลักการอัลอิสลาม ซึ่งเป็นตำราที่ได้รับความเชื่อถือในวงนักวิชาการซุนนะฮฺทั่วโลก รวมถึงหนังสือ อิกติฎออุศศิรอฏิลมุสตะกีม มุคอละฟะตะ อัศฮาบิลญะฮีม ของชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ ซึ่งเป็นตำราที่วิจัยเรื่องการเลียนแบบกาฟิร ขอบเขต เงื่อนไข และลักษณะของมัน หมายถึง เมื่อไหร่จะเรียกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการเลียนแบบกาฟิร มีตำราอื่นๆที่พูดถึงสองเรื่องคือ บิดอะฮฺและการเลียนแบบกาฟิร อาทิเช่น หนังสืออัลมัดคอล ของท่านอิมามอิบนุลฮาจญฺ อัลมาลิกียฺ และหนังสืออัลบาอิษ อะลา อิงการิลหะวาดิษ ของอิมามอิบนุอบีชามะฮฺ ไม่จำเป็นที่นักวิชาการที่มีหน้าที่ให้คำชี้ขาดเกี่ยวกับเรื่องศาสนาจะต้องอ่านหนังสือดังกล่าวทุกเล่ม แต่อย่างน้อยต้องเคยผ่านบางเล่มบ้าง เพราะเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวเป็นโครงสร้างแห่งความรู้ของนักปราชญ์ซุนนะฮฺที่จะทำหน้าที่ต่อต้านบิดอะฮฺ หากไม่มีความรู้เช่นนี้ การต่อต้านบิดอะฮฺจะไม่มีขอบเขตหรือกติกา จึงทำให้คำชี้ขาดของนักวิชาการบางท่านมีทิศทางที่สวนกันและดูเหมือนไม่มีจุดยืน อาทิเช่น นักวิชาการที่ให้คำชี้ขาดว่า การเดินขบวนเป็นบิดอะฮฺ เพราะเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ไม่มีแบบฉบับ แต่ในขณะเดียวกันได้รับรองรูปแบบงานหารายได้ของมัสยิดและสถาบันต่างๆ ว่ากระทำได้ทั้งๆที่เป็นกิจกรรมทางศาสนาที่ไม่มีรูปแบบตามความเชื่อของเขา และเมื่อถูกโต้แย้งว่าเรื่องเดินขบวนไม่ใช่พิธีที่ต้องยึดในแบบฉบับ หากเป็นวซีละฮฺ(วิธีหรือสื่อ)ในการบรรลุเป้าหมาย นักวิชาการดังกล่าวก็จะตอบมาว่า มันเป็นการเลียนแบบกาฟิร ซึ่งกระทำไม่ได้ ก็มีข้อแย้งที่จะถามนักวิชาการกลุ่มนั้นว่า แล้วทำไมบุหรี่ที่เป็นการเลียนแบบกาฟิรไม่เป็นหะรอมในทัศนะของพวกท่าน นี่แหละครับ กระแสวิชาการของนักวิชาการบางท่าน ที่จะบ่งชี้ถึงความไม่มั่นคงในการปรับหลักเกณฑ์ของการชี้ขาด(ฟัตวา)ทางศาสนา และบรรดานักวิชาการที่ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเสื้อสกรีนข้อความ เรารักนบี ว่าเป็นบิดอะฮฺนั้น ย่อมไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการชี้ขาดเรื่องราวของศาสนา




2. คำว่า บิดอะฮฺ หรือ อุตริกรรม เป็นคำศัพท์เฉพาะ นักปราชญ์ซุนนะฮฺที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด เช่น อิมามชาฏิบียฺ หรือ อิมามอิบนิตัยมียะฮฺ ได้ให้คำนิยามคล้ายๆกันว่า เป็นเรื่องประดิษฐ์ทางศาสนา ซึ่งมีลักษณะคล้ายลักษณะการกระทำที่ถูกต้อง(แต่มันไม่ถูกต้อง) และผู้กระทำมีจุดมุ่งหมายในการแสวงผลบุญด้วยอุตริกรรมนั้น คำนิยามนี้เป็นคำอธิบายที่รอบคอบและละเอียดมากสำหรับคำว่า บิดอะฮฺ ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเป็นการกระทำทางศาสนา หมายถึง เป็นอิบาดะฮฺ(พิธีแห่งศาสนกิจ) ก็หมายรวมว่าสิ่งที่เป็นอาดาตหรือมุอามะลาต(หมายถึงการดำเนินชีวิตด้วยการกระทำต่างๆโดยไม่เกี่ยวกับศาสนกิจ) จะไม่มีลักษณะเป็นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม)แต่อย่างใด แต่อาจมีข้อห้ามอย่างอื่นที่จะเจาะจงความผิดเฉพาะ เช่น การแต่งกาย ถ้ามนุษย์จะแต่งกายด้วยชุดที่ไม่มีในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และยุคสะลัฟ ก็จะไม่เป็นบิดอะฮฺแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะใช้ชุดนั้นในการปฏิบัติศาสนกิจ ต่อเมื่อไม่ได้เชื่อว่าชุดนั้นๆมีลักษณะเป็นพิธีในตัวมัน เช่น หมวกอินโดสีดำ ซึ่งเป็นหมวกที่มีลักษณะที่ไม่เคยปรากฏในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และยุคสะลัฟแต่อย่างใด และเรานำมาสวมในการละหมาดจะไม่เป็นบิดอะฮฺอย่างแน่นอน หรือชุดตะละกงของสตรีมุสลิมะฮฺแถบมลายูเป็นการแต่งกายที่มิดชิดแต่ไม่มีรูปแบบในยุคสะลัฟเลย ทั้งๆที่ตะละกงนั้นเป็นชุดละหมาด แต่ที่มันไม่เป็นบิดอะฮฺเพราะเราไม่ได้ถือเป็นชุดเงื่อนไข(หมายถึงเป็นชุดเฉพาะพิธี) และมีตัวอย่างมากมายที่สามารถยกได้เพื่อให้เห็นว่าการแต่งกายนั้นจะไม่สามารถเป็นบิดอะฮฺ ต่อเมื่อเราได้สวมอาภรณ์ด้วยเจตนาว่าเป็นชุดแต่งกายธรรมดาๆ และสิ่งที่จะทำให้ผู้อ่านได้เห็นความสับสนในจุดยืนของนักวิชาการที่กล่าวว่า เสื้อสกรีนข้อความ เรารักนบี เป็นบิดอะฮฺนั้น คือการที่นักวิชาการดังกล่าวทั้งหมดได้สวมเสื้อและกางเกง ซึ่งเหตุผลในการอนุโลมให้สวมชุดดังกล่าวคงจะเป็นเหตุผลเดียวที่เราจะอ้างเกี่ยวกับการสวมเสื้อที่มีสกรีนข้อความดังกล่าว




3. นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับการสกรีนเสื้อด้วยข้อความ เรารักนบี ได้กล่าวว่า แบบฉบับสกรีนเสื้อมาจากตะวันตกอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นการเลียนแบบมุชริกีน และเป็นที่รู้กันว่าหลักการอิสลามห้ามเลียนแบบมุชริกีน เนื้อหาข้างต้นก็เป็นเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนเช่นเดียวกัน และได้สร้างความสับสนในสังคมมุสลิมมากพอสมควร เพราะการเลียนแบบมุชริกีนนั้นมีหลายลักษณะ ดังนี้




การเลียนแบบมุชริกีนในเรื่องดี เช่น การปกครองด้วยความยุติธรรม การมีมารยาทดีงาม หรือในการสร้างอารยธรรมอันเจริญก้าวหน้า

การเลียนแบบมุชริกีนในเรื่องที่เป็นธรรมชาติ เช่น เขากินเราก็กิน เขามีบ้านเราก็มีบ้าน เขาแต่งกายเราก็แต่งกาย

การเลียนแบบมุชริกีนในเรื่องอะกีดะฮฺ(หลักศรัทธา)หรือการปฏิบัติศาสนกิจของเขา หรือในสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ว่าใครกระทำเช่นนี้ก็เป็นมุชริก ที่อุละมาอฺเรียกว่า ค่อซออิซุลมุชริกีน



สองประการแรกเป็นการเลียนแบบที่กระทำได้ เพราะท่านนบีเคยชื่นชมในการกระทำอันดีงามของของชาวมุชริกีน เช่น การชื่นชมในความช่วยเหลือของท่านอบูฏอลิบทั้งๆที่เป็นมุชริก อันเป็นตัวอย่างที่เลียนแบบได้ซึ่งการช่วยเหลือและสนับสนุนท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือการชื่นชมความยุติธรรมของกษัตริย์อันนะญาชียฺผู้ปกครองอัลหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ผู้ปกครองมุสลิมสามารถเลียนแบบได้ สำหรับประการที่สองก็ไม่เป็นข้อห้ามเช่นเดียวกัน เพราะมีหลักฐานที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อนุญาตให้เลียนแบบได้ อาทิเช่น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยแต่งกายด้วยญุบบะฮฺรูมียะฮฺ (บันทึกโดยบุคอรียฺ) ซึ่งเป็นชุดของชาวโรมันที่ได้มาเป็นของขวัญจากอุกัยดิร ดูมาตุลญันดัน (เป็นเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง) และเคยรับของขวัญจากกษัตริย์ของอียิปต์(อัลมุเกากัส) ซึ่งเป็นชุดแต่งกายของชาวอียิปต์(ขณะนั้นยังไม่เป็นมุสลิม) และในการบันทึกของอิมามบุคอรียฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ห้ามสวมบุรนุสสำหรับผู้ครองเอียะหฺรอม ซึ่งอุละมาอฺทั้งปวงได้ตีความว่าสำหรับผู้ที่ไม่ได้ครองเอียะหฺรอมสามารถสวนบุรนุสได้ และเหตุที่ท่านนบีห้ามสวมบุรนุสสำหรับผู้ครองเอียะหฺรอมเพราะเป็นชุดแต่งกายที่เย็บขนาดตัวและมีหมวกติดอยู่ด้วย และเป็นชุดของชาวคริสต์แถบแอฟริกาเฉียงเหนือ(ปัจจุบันเป็นชุดประจำชาติของชาวมอรอคโคและอัลจีเรีย) และในคำชี้ขาดของคณะอุละมาอฺประจำประเทศซาอุดิอาระเบียโดยมีเชคบินบาซเป็นประธาน ได้มีฟัตวาเกี่ยวกับการสวมกางเกงว่าไม่เป็นการเลียนแบบมุชริกีนแต่อย่างใด เพราะกางเกงในปัจจุบันนี้เป็นชุดแต่งกายของชาวมุสลิมจำนวนมาก จึงไม่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มมุชริกีน และไม่อยู่ในเครือข่ายข้อห้ามการเลียนแบบมุชริกีน แต่ถ้าหากชุดแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของมุชริกีน เช่น แฟชั่นที่เป็นกระแส ก็ย่อมอยู่ในข้อห้ามอย่างแน่นอน สำหรับประการที่สุดท้าย คือการปฏิบัติศาสนกิจหรือหลักศรัทธานั้น ก็เป็นขอบเขตชัดเจนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ห้ามเลียนแบบ เพราะฉะนั้นอุละมาอฺได้ห้ามไม่ให้สวมชุดแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของนักบวชหรือเครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์แห่งศาสนา หรือแม้กระทั่งสัญลักษณ์อย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อมุสลิมใช้แล้วจะสร้างความสับสนว่าอาจมิใช่มุสลิม เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการสกรีนเสื้อด้วยข้อความ เรารักนบี ไม่เป็นการเลียนแบบมุชริกีนแต่อย่างใด เพราะไม่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา และไม่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของมุชริกีน ถึงแม้ว่าต้นตอ(การสกรีนเสื้อ)มาจากพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่ลักษณะเลียนแบบที่อิสลามต้องการห้ามและปราบปราม




4. ข้อสำคัญที่ผมอยากจะชี้แจงกับพี่น้องผู้อ่าน โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาที่เคยมาถามผมว่าฟัตวาของนักวิชาการที่บอกว่าการสกรีนเสื้อไม่มีแบบฉบับจากท่านนบีและยุคสะลัฟ ทั้งๆที่เหล่าบรรดาสะลัฟสามารถกระทำได้แต่ไม่ได้ทำนั้น เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีแบบฉบับที่เป็นตัวอย่างอ้างอิงได้ในประเด็นนี้ ซึ่งมีการรายงานโดยท่านมุญาฮิดว่า แหวนของท่านอบูอุบัยดะฮฺ อิบนุญัรรอหฺ (เป็นศ่อฮาบะฮฺ) มีการเขียนคำว่า อัลฮัมดุลิลลาฮฺ และท่านมุญาฮิดได้รายงานอีกว่าแหวนของท่านอุมัรเขียนว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร และจากท่านมุฮัมมัด อิบนิลมุนตะชิร กล่าวว่า แหวนของท่านมัสรู้ก(ตาบิอีน)มีเขียนว่า บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรเราะฮีม และท่านมันศูรได้กล่าวว่า แหวนของท่านอิบรอฮีม อันนะคะอียฺ มีเขียนว่า อินนาลิลลาฮฺ และมีรายงานจากท่านอะฏออฺว่าท่านไม่เห็นว่าเป็นข้อห้ามที่จะเขียนอะไรที่เป็นซิกรุลลอฮฺในวงแหวน หลักฐานข้างต้นถูกบันทึกในหนังสือมุศ็อนนัฟ อับดุรร็อซซาก ด้วยสายสืบที่น่าเชื่อถือ และในฟัตวาของชัยคฺ ดร.อับดุลลอฮฺ อัลฟะกีฮฺ ท่านได้กล่าวว่า การสวมเสื้อที่มีเขียนพระนามของอัลลอฮฺไว้ อนุโลมให้สวมได้แต่ให้ป้องกันเสื้อนั้นจากสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น สุขา เป็นต้น (หมายเลขฟัตวา 30199, วันที่ 25 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1424) และเป็นที่ยอมรับสำหรับนักวิชาการทั่วประเทศว่า การสวมผ้าโสร่งที่มียี่ห้อระบุข้อมูลต่างๆด้วยอักษรที่อ่านเห็นชัดเจนติดอยู่ตอนปลาย แม้กระทั่งเสื้อพนักงานที่มีสัญลักษณ์และเครื่องหมาย หรือชื่อบริษัทต่างๆ พี่น้องมุสลิมได้ใช้อย่างกว้างขวางและไม่เคยได้ยินว่ามีข้อห้ามในการสวมเสื้อเช่นนั้นแต่อย่างใด หากเป็นข้ออ้างว่าข้อความ เรารักนบี ที่ไม่มีแบบฉบับ ก็ไม่ใช่เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อการสกรีนข้อความบนเสื้อไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด ข้อความที่ไม่ขัดกับหลักการก็ไม่เป็นปัญหา แต่สิ่งที่ประหลาดคือนักวิชาการได้เห็นบ้านเมืองเต็มไปด้วยเสื้อที่มีสกรีนข้อความ เรารักในหลวง ดารา หรือนักบอล แต่ทำไมไม่ได้รับคำถามให้ชี้แจงหรือชี้ขาดในหุกุ่มศาสนาเกี่ยวกับข้อความดังกล่าว




5. ตอนท้ายนี้ผมขอให้แง่คิดกับนักวิชาการที่แสดงออกซึ่งทัศนะที่ไม่เห็นด้วยกับการสกรีนเสื้อด้วยข้อความ เรารักนบี เพื่อเป็นจุดประกายสำหรับการเข้าใจสถานการณ์ของสังคมมุสลิมและหน้าที่ของนักวิชาการที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้นำสังคมมุสลิม สำคัญที่สุดที่เราต้องเข้าใจในการเผยแผ่ศาสนาคือ ฟิกฮุดดะอฺวะฮฺ คือความรู้เกี่ยวกับความเหมาะสมในการเผยแผ่หลักการศาสนา ซึ่งความรู้นี้บรรดาอุละมาอฺได้สืบทอดมาจากชีวประวัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งผมขอสรุปแง่คิดดังนี้




· บางเรื่องที่เป็นบิดอะฮฺชัดเจน โดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างอุละมาอฺซึ่งปรากฏในสังคมของเรา ควรรับความสนใจจากนักวิชาการที่ได้วิเคราะห์ประเด็นเสื้อสกรีน อาทิเช่น เมาลิดนบี หรือกิจกรรมงานการกุศลหลายศาสนาที่ปรากฏบ่อยครั้ง โดยผู้นำมุสลิมชื่อดังๆ มักจะปรากฏตัวในงานนั้นพร้อมผู้นำศาสนาอื่นๆ หรือระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่ถูกนำมาเป็นตัวอย่างในการบริหารองค์กรมุสลิม เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ร้ายแรงต่อสังคมมุสลิม และมีความจำเป็นที่ต้องชี้แจง แต่เหตุใดสังคมไม่ถามและนักวิชาการไม่ชี้แจง ผมเห็นว่านั่นแสดงถึงคุณภาพของสังคมและคุณภาพของนักวิชาการ ที่จะเอาใจใส่ในเรื่อจิ๊บจ๊อยเล็กน้อย แต่ปล่อยเรื่องใหญ่ให้สังคมมุสลิมหลงกับกระแสการเมือง จนกระทั่งไม่สามารถรู้ว่าแบบฉบับของอิสลามในประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างไร




· บางเรื่องนักวิชาการเมื่อถูกถามไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะมันสะท้อนซึ่งความอ่อนแอของนักวิชาการที่จะคล้อยตามกระแสของสังคม หมายถึง ตอบในสิ่งที่สังคมเรียกร้องอย่างเดียว แต่อันที่จริงนักวิชาการมีหน้าที่ในการชี้แนะถึงประเด็นสำคัญที่ต้องเอาใจใส่ ท่านนบีถูกถามถึงจันทร์เสี้ยว แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ตอบตามความต้องการของผู้ถามที่ต้องการข้อมูลทางดาราศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ แต่ตอบว่า จันทร์เสี้ยวนั้นเป็นข้อกำหนดเวลาสำหรับมนุษยชาติเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญกว่าข้อมูลทางดาราศาสตร์ เช่นเดียวกัน นักวิชาการที่ถูกถามเรื่องเสื้อสกรีน สามารถตอบและแสดงทัศนะของตนได้ แต่ต้องเข้าใจสถานการณ์ในสังคมมุสลิมหรือสังคมทั่วไป โดยชี้แจงให้ผู้ถามอย่าถือประเด็นสกรีนเสื้อเป็นเรื่องใหญ่ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะหลายวิทยุสถานีถูกถามและตอบในแนวเดียวกันทั้งๆที่วิกฤติในสังคมที่มีความคลาดเคลื่อนมากมาย มักจะไม่มีคำชี้แจงแต่อย่างใด และจะเป็นความสง่างามสำหรับนักวิชาการ ที่ต้องสงวนสิทธิ์ไม่ตอบบางเรื่อง เพื่อให้ปัญหาสงบลงหรือให้สังคมมองถึงขนาดที่แท้จริงของประเด็นนั้น




· ปัญหาบางประการที่นักวิชาการในประเทศไทยได้วินิจฉัยเอง โดยไม่มีหรือไม่พบนักวิชาการระดับโลกได้วิเคราะห์มาก่อน จำเป็นต้องให้คำตอบที่มีการเผื่อไว้บ้าง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดหรือเปิดโอกาสให้แก้ไขความคิดหรือข้อวินิจฉัยได้ง่าย เพราะการฟันธงด้วยข้อมูลของตัวเอง และใช้สำนวนเด็ดๆขาดๆ จะเป็นกำแพงมิให้กลับลำได้ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อจรรยาบรรณของผู้รู้




· บางเรื่องผมเห็นด้วยที่เป็นข้อเสียหายในเรื่องสกรีนเสื้อ เช่น สกรีนข้อความ เรารักนบี แต่ทำบิดอะฮฺ หรือปรากฏในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม หรือสกรีนเสื้อที่มีข้อความ ชมรมผู้ศรัทธา หรือ ศิษย์โรงเรียนศาสนาโรงหนึ่งโรงใด และปรากฏตัวด้วยการสูบบุหรี่หรือตีไก่หรือเลี้ยงนกเขา เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นความผิดของบุคคลและไม่ใช่ความผิดของข้อความ เช่น เคราของมุสลิมจำเป็นต้องไว้ แต่ถ้าหากโต๊ะครูไว้เคราและสูบบุหรี่ ก็เป็นความผิดของบุคคลที่เป็นโต๊ะครู ไม่ใช่ความผิดของความรู้ที่อยู่กับโต๊ะครู เพราะฉะนั้นสมควรอย่างยิ่งที่นักวิชาการต้องอบรมคนเหล่านั้นให้พฤติกรรมสอดคล้องกับหลักการ ไม่ใช่สอนให้โกนเคราจะได้สอดคล้องกับพฤติกรรมอันชั่วร้าย ซึ่งในสังคมขบองเรานั้นมีอะไรมากมายที่ต้องหันมาชี้แจงและอบรม เช่น การปะปนระหว่างหญิงชายในงานการกุศลหรือค่ายนักศึกษา การแต่งกายของมุสลิมะฮฺที่ผิดหลักการอิสลามอย่างสิ้นเชิง รายการวิทยุและโทรทัศน์ของมุสลิมที่มีข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง นี่แหละสิ่งที่ต้องแก้ไขและปรับปรุง




สุดท้ายนี้ผมขอชี้แจงว่า ไม่ได้นึกว่าต้องเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และผมไม่พร้อมที่จะมีกิจวัตรในการตอบโต้นักวิชาการคนโน้นคนนี้อย่างที่บางคนเตรียมพร้อมอยู่ เพราะผมตระหนักว่างานผมที่ต้องปฏิบัติ คืองานเผยแผ่ศาสนาอิสลามให้แก่คนที่ยังไม่เข้าใจอิสลามซึ่งมีจำนวนเยอะที่เรายังไม่ได้ทำหน้าที่ และที่นี่ไม่ใช่บทความที่ต้องการโจมตีคนหนึ่งคนใด หากเป็นการตักเตือนที่ต้องการให้พี่น้องมุสลิมบรรลุความสมบูรณ์ในทุกแง่มุมของชีวิต ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โปรดประทานความเตาฟีกฮิดายะฮฺให้แก่นักวิชาการและพี่น้องมุสลิมีนทุกๆท่านด้วยเถิด



วันที่ลงบทความ : 6 เม.ย. 49

www.ridasamadi.org

الشيخ رضا أحمد صمدي
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sat Apr 08, 2006 8:39 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างจาก ไออาเอฟ

เช่นเดียวกันครับ เรื่องซิกรุลลอฮฺนี่เปิดกว้างเลยครับ ไม่มีรูปแบบเลย จะทำยังไงก็ได้ตามประสงค์ แต่อยู่ๆเราจะไปอุตริสร้างพิธีกรรมซิกรุลลอฮฺขึ้นใหม่น่ะไม่ได้ .. ท่านอิบนุ มัสอูด ไปเห็นคนตั้งวงซิกุรลลอฮฺ มีคนนำด้วยนะ จึงด่าแล้วไล่ตะเพิดเลย!..อย่างนั้นแหละครับที่เรียกว่าบิดอะฮฺ

วิจารณ์

จนแล้วจนเล่า คุณไออาเอฟ ก็นำเหตุการณ์นี้เล่าสนับสนุนแนวทางของตนเหมือนเดิม ซึ่งเราเองก็จะทำการชี้แจง แต่กระทู้ก็ถูกปิดไปเสียก่อน ผมเชื่อเหตุการณ์ของท่าน อิบนุมัสอูดนั้น วะฮาบีย์อย่างคุณชอบนำเอามาใช้อ้าง เพราะว่ามันตรงกับอารมณ์ที่คุณต้องการ และเมื่อมันตรงกับอารมณ์ที่คุณตอ้งการแล้ว คุณจึงไม่สนใจอะไรแล้วว่า เหตุการณ์ของท่านอิบนุมัสอูด ที่คุณเล่ามานั้น มันมีสายรายงานที่ฏออีฟ และมันขัดกับหะดิษของท่านนบี Solallah ซึ่งหากเราทำการชี้แจงรายละเอียด ก็เกรงว่าจะถูกลบไปอีกหรือเปล่าหนอ...???

และสิ่งที่คุณได้ยกมาทั้งหลายนั้น มันมีหลักการทั่วไปก็พอฟังขึ้น แต่คุณก็ฉลาดที่เสริมวิจารณ์หลักการที่หมกเม็ดตบตาผู้อ่านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นคือแบบฉบับของคุณ อันนี้พวกเราทราบดี

อ.อิสฮาก พวงมณี ผมเองก็ไม่รู้จัก แต่การหุกุ่มว่าเป็นบิดอะฮ์(ที่ลุ่มหลงนั้น) ผมเองก็ขอปฏิเสธ แต่หากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่มะบาห์ พวกเราก็เห็นด้วยนะครับ

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sat Apr 08, 2006 10:16 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างจาก ไออาเอฟ

ริฏอ สะมะดีย์ กล่าวว่า " บางเรื่องที่เป็นบิดอะฮฺชัดเจน โดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างอุละมาอฺซึ่งปรากฏในสังคมของเรา ควรรับความสนใจจากนักวิชาการที่ได้วิเคราะห์ประเด็นเสื้อสกรีน อาทิเช่น เมาลิดนบี

วิจารณ์

ผมไม่ทราบว่า "โดยมีมีความขัดแย้งระหว่างอุลามาอ์" นั้น คือบรรดาอุลามาอ์วะฮาบีย์ หรือว่า อุลามาอ์ของอุมมะฮ์อิสลาม แต่หากหมายถึงอุลามาอ์ของอุมมะฮ์อิสลามนั้น ริฏอ สะมะดีย์ โกหก..

และการสกรีนเสื้อนั้น เป็นบิดอะฮ์มุบาห์ครับ

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
yoohoo
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004
ตอบ: 65


ตอบตอบ: Sat Apr 08, 2006 11:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
แล้วจากการกระทำจากมุสลิมบดอ.ที่เข้าร่วมพิธีครบรอบ 60 ปีของพรรคประชาธิปัดละครับ
มีการทำพิธีกล่าวคำซอลาวาต (คงไม่ใช่คำที่ท่านร่อซูล(ซ.ล.)สอนไว้) ต่อหน้าเจว็ดต่าง ๆ มีการกล่าวนามของอัลลอฮ์ (ซ.บ) และท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ,ล.) และร่วมพิธีกรรมกับศาสนิกอื่นอย่างชัดแจ้งเปิดเผยแบบนี้ละครับ เค้าเรียกว่าบิดอะห์อะไร
เห็นกันรึยังล่ะว่า ผลเลวร้ายแห่งการทำบิดอะห์นะมันขนาดไหน จะต่อต้าน หรือเพิกเฉย หรือสน้บสนุน ช่วยบอกด้วยครับ

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sat Apr 08, 2006 11:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ yoohoo

ผมเคยไปที่ทำเนียบพรรคประชาธิปัตย์นะครับ ผมไม่ทราบว่า มุสลิมที่ไปทำการขอดุอาอ์และซ่อลาวาต นั้น เขาทำกันตรงใหน? และทำต่อหน้าเจว็ดจริงๆหรือเปล่า? คำว่าทำต่อหน้านั้น หมายถึง กระทำต่อหน้าเจว็ดโดยที่ไม่มีอะไรกั้นขวาง แต่หากว่าเขาทำในลักษณะอย่างอื่นๆ โดยที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเจว็ด แล้วคุณก็ไปพูดว่าต่อหน้าเจว็ดนั้น คุณกำลังดื่มด่ำความโกหกที่คุณชื่นชอบแล้วล่ะครับ แล้วคุณทราบหรือเปล่าว่า ห้องประชุมที่ทำเนียบประชาธิปัตินั้น มีลักษณะอย่างไร ? และคุณอยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า? หรือว่าได้ยินเขาว่ามาอีกที แล้วเสริมเติมแต่งถ้อยความ ให้มันอร่อย โดยบอกว่า "ซอละวาตกันต่อหน้าเจว็ด" ???

ความอัคติเรื่องเมาลิดนบี Solallah ของคุณนั้น มันต้องให้คุณพูดออกมาอย่างนี้ และยังไงก็บอกมาให้ถูกต้องด้วยนะครับว่า ลักษณะของห้องประชุมทำเนียบของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มันเป็นอย่างไร? และถ้าหากว่า มีการซอลาวาตต่อหน้าเตว็จ จริงๆล่ะก็ ผมก็ขอร่วมหุกุ่มกับคุณด้วยนะครับ แต่ถ้าหากมันโกหก บาปมันก็คงตกอยู่ที่คนโกหกและสืบๆทอดกันมาจนถึงคุณก็อาจจะเป็นได้นา....

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
อิลยาส
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/04/2005
ตอบ: 279


ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 12:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม
ลองมาดูกันหน่อยนะครับ

การ มะหับบะฮฺ นั้นเปนอิบาดะฮฺอย่างแน่นอน หากแต่เป็นเรื่องของภายใน (ดูอูซูลุซซะลาซะฮฺ ชะเราะฮ ของอลิลชัยล์ )
แนวทางการแสดงออกนั้นย่อมต้องอ้างอิงไปยังคนยุคแรก (ที่แน่นอนเค้ารักนบียฺมากว่าเราๆ) เค้าทำอย่างไร ทำแบบไหน

การ ตะชับบัวะฮฺ มุชริกีน นั้นเป็น 1 ในหนทางนำสูการเปลี่ยนแปลง และบิดเบือนอิสลาม ( ดูในเรื่องการ ตะชับบัวะฮฺ ของชัยค์ เฟาซาน)

รูปแบบการสวมใส่จัดอยู่ในเรื่อง อิบาหะฮฺ (บางคนเรียกว่า บิดอะฮฺมุบาฮฺ เพื่อสร้างความสับสนในศาสนา ซึ่งแท้จริงในทางศาสนาเรียกว่า ประดิษฐกรรม ดูการตอบโต้ในเรื่องนี้ ของ ชัยค์ มุนัญิด)ให้ระวังข้อห้าม ในเรื่องเอาเราะฮฺ , การเลียนแบบ ,การบ่งบอกกลุ่มลัทธินิยม และ อาชยกรทั้งหลาย

การ นิสบะฮ ลงในกลุ่มบุคคลด้วยความชื่นชอบ และคลั่งไค้ล จนหลงลืมหลักการ เรียกว่า "ตะอัศุบ"

บิดอะฮฺทุกบิดอะฮฺ นั้นหลงผิด (ดูอุซูลุสซุนนะฮฺ ข้อ4 ของอิหม่าม อะหมัด รอหิม่าฮุ้ลลอฮฺ)

ลองพิจรณาดูกันนะครับ

วัสลามุอลัยกุม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
อิลยาส
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/04/2005
ตอบ: 279


ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 12:26 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม..

ได้อ่านของคุน ไอ อาร์ เอฟ ผมขอบายก่อนเพราะทั่นอาการหนักเหลือหลายในเรื่อง สลัฟ ..ต้องไปผ่าตัด ผมแค่แจกยาดมคงขอนุยาดนะครับ เพราะยาดมคงช่วยไรได้ไม่ากครับ ถ้าให้ดีแวะมาเชี่ยงใหม่..มานั่งเปิดตำตับตำรากันปรึกษา หารือกัน คงจะดีไม่น้อย...
ขอเชิญนะครับ.และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกทั่น...อย่างไม่เปนทางการ

มากรุณาแจ้งล่วงหน้า เพื่อการเตรียมเอกสาร..และ บุคลากรเพื่อร่วมปรึกษากัน

( อย่าขึ้นมาตอนสงการต์นะครับ จาเปนการสนับสนุนแรงอิบาดะฮฺของมุชริกีนเค้า)

วัสลาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 3:53 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม คุณอิลยาส คุณฟารุก และ คุณ IRF

ผมชื่นชมในการตอบคำถามของพวกคุณ และก็อยากให้ทุกๆ คนอยู่กับเรานานๆ ไม่อยากให้ไปใหน เพราะอย่างน้อย พวกเอาวามอย่างผม ก็ได้รู้อะไรมากขึ้น มากขึ้นกว่าความรู้ที่มีอยู่อันน้อยนิด

ผมไม่อยากถามคุณ อัลฟารุกให้เสียประเด็นเรื่อง ทำบุญที่พรรคแต่อย่างใด แต่เอาเป็นว่า ถ้ามีการแยกคุยเป็นเรื่องๆ ก็น่าจะดี เพราะคนเอาวามอย่างผม จะได้ตักตวงหาผลประโยชน์ จากสิ่งที่ผู้รู้ได้มีการนำเสนอ ให้ได้มากที่สุด

ขออัลลอฮ ซบ ทรงลบความบาดหมางระหว่างบรรดาผู้ศรัทธา ออกไป


ครั้งหนึ่งท่านมุอาวิยะห์ ได้รับสารจากอาณาจักรไปแซนติน เพื่อจะส่งกองทัพ มาช่วยท่านมุอาวิยะห์ ทำสงครามกับท่านอาลี

ท่านมุอาวิยะห์ ได้ตอบสารไปว่า " ถ้าหากพวกท่าน ได้ล้ำเข้ามาในเขตแดนของเรา เราและอาลีนี่แหละ จะรวมกัน แล้วทำสงครามกับท่าน"


ขออัลลอฮทรงตอบแทน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 4:36 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

อ้างอิงจากคุณ อิลยาส

รูปแบบการสวมใส่จัดอยู่ในเรื่อง อิบาหะฮฺ (บางคนเรียกว่า บิดอะฮฺมุบาฮฺ เพื่อสร้างความสับสนในศาสนา ซึ่งแท้จริงในทางศาสนาเรียกว่า ประดิษฐกรรม ดูการตอบโต้ในเรื่องนี้ ของ ชัยค์ มุนัญิด)

ตอบ

ไม่ได้เข้ามานาน เพราะว่าอีกเดือนกว่าๆก็ใกล้สอบแล้ว บังอัล-ฟารูก เลยลงทุนสละเวลาเข้ามาสนทนา ก็อัลหัมดุลิลลาห์ครับ สุดๆไปเลย คุณอิลยาสครับ ประเด็นที่คุณไออาเอฟ นำเสนอมานั้น ไม่ใช่เรื่อง "รูปแบบการสวมใส่" ที่เป็นเรื่องอาดัต ประเพณีทั่วๆไป แต่เป็นเรื่อง "สกรีนคำว่า เรารักนบี" เพื่อที่จะแสดงถึงความรักท่านนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) และการแสดงถึงความรักต่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) นี้ ก็ถือว่าเป็นผลบุญ เป็นอิบาดะฮ์ หรือว่าการสกรีนคำว่า เรารักนบี นั้น คือกระทำโดยไม่มีเป้าหมาย หรือไม่มีความหมาย ซึ่งหากว่ามีความหมายหรือมีเป้าหมายถึงการแสดงความรักนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) นั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องอิบาดะฮ์อีกรูปแบบหนึ่ง และ ผมก็เห็นด้วยกับบังอัล-ฟารูก ที่บอกว่าการสกรีนคำเรารักท่านนบี นั้น "เป็นบิดอะฮ์มุบาห์" คืออุตริกรรมที่อนุญาติให้กระทำขึ้นมาได้ ส่วนคุณอิลยาสจะใช้ศัพท์ว่า ประดิษกรรมก็ตาม มันก็อยู่ในความหมายของคำว่า "บิดอะฮ์" นั่นแหละครับ คุณอิลยาสก็อย่าไปสร้างความสับสนในศาสนาเลยครับ ทีไปแบ่งแยกระหว่าง ประดิษฐกรรม กับ อุตริกรรม เนื่องจากทั้งสองก็อยู่ในความหมาย "บิดอะฮ์" ตามหลักภาษาอาหรับ

การแสดงความรักท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ย่อมมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่นการประท้วง(เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีท่านนบีมุหัมมัด - แต่ผมก็ไม่รู้ว่าท่านนบีมุหัมมัดไปเสื่อมเสียศักดิ์กันตั้งแต่เมื่อใด ถึงต้องไปกอบกู้กัน ซึ่งไม่ว่าจะกล่าวอ้างอย่างใดก็ตาม ท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ยังคงมีเกียตริและทรงศักดิ์ที่ประเสริฐสุดแห่งปวงมักโลค) หรือการ สกรีน คำว่า เรารักท่านนบี แต่ทำไมการ ทำเมาลิด ด้วยการอ่านประวัติของท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การซ่อลาวาต การเชิญผู้คนมารับประทานอาหาร ทั้งคนจน และคนรวย ถึงเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงอย่างหนักไปได้ จนกระทั้งมีอุลามาอ์ วะฮาบีย์ บางท่านกล่าวว่า สัตว์ที่เชือดเลี้ยงอาหารเพื่อทำเมาลิดนบี นั้น ย่อมน่ารังเกียจมากกว่าเนื้อของสุกร ?? ได้อ่านแล้ว ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลยครับ เพราะผู้เขียน غلو เลยเถิดในทัศนะของตน และเท่าที่ผมสังเกตุดู ชาววะฮาบีย์ ชอบอ้างอิงถึง ท่าน มุนัจญิด เรื่อยๆเลยครับ สงสัยท่านคนนี้สำคัญสำหรับชาววะฮาบีย์

คุณอิลยาส และมิตรสหายวะฮาบีย์ทั้งหลายครับ ผมอยากถามท่านทั้งหลายสักเล็กน้อยนะครับว่า คำว่า "พิธีกรรม" มันหมายถึงอะไรหรือครับ ?

และเท่าที่ผมได้อ่านสิ่งที่ คุณไออาเอฟนำเสนอมานั้น มีช่วงโว่หลายจุดด้วยกัน ซึ่งหากเรานำมาวิจารณ์ในเชิงวิชาการนั้น ก็คงจะได้หลายหน้ากระดานเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ ความเป็น สะลัฟ ของคุณไออาเอฟนั้น น้อยมากเลยครับ แต่ความเป็นวะฮาบีย์มันจะหนักกว่า และบทความของ อ.ริฏอ สะมะดีย์ นั้น ผมได้อ่านแล้ว ก็ได้หลักการใหม่ๆของวะฮาบีย์เกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮ์นะครับ บังคนอยากรู้ และ บังอัล-ฟารูก ครับ ผมชักจะชอบกระทู้นี้แล้วซิครับ แต่นั่นแหละครับ ตอนนี้มันใกล้สอบ แต่ว่างๆจะเข้ามานะ

ขอความสันติสุข จงประสบแต่ท่าน ซัยยิดินาอลี และขออัลเลาะฮ์ทรงพอพระทัยแก่ท่าน มุอาวิยะฮ์

wassalam

อัล-อัซฮะรีย์

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 7:28 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม คุณอัลอัซฮารีย์ครับ

จากคำกล่าวของคุณที่ว่า

หรือการ สกรีน คำว่า เรารักท่านนบี แต่ทำไมการ ทำเมาลิด ด้วยการอ่านประวัติของท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การซ่อลาวาต การเชิญผู้คนมารับประทานอาหาร ทั้งคนจน และคนรวย

ผมว่าประเด็นนี้ พูดแค่นี้ มันดูสวยหรูเกินไป ในบ้านในเมืองเรา คุณรู้หรือไม่ว่า ในขณะที่ข้างบนสรรเสริญนบีกันนั้น ข้างล่างพวกชีอะห์ขายหนังสือประนามบรรดาซอฮาบะห์กัน

ยังมีอีกหลายเรื่องครับ แต่นั่นแค่สั้นๆ ถ้าไม่เคยทราบมาก่อน ก็ขอให้ทราบนะครับว่ามันเป็นแบบนั้นจริง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sun Apr 09, 2006 8:40 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ อัลฟารุกครับ

ไปที่ Link ด้านล่างนะครับ สำหรับลิงค์ทำบุญพรรคประชาธิปัตย์ ของเวป ผู้จัดการ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000046312
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า 1, 2, 3 ... 25, 26, 27  ถัดไป
หน้า 1 จากทั้งหมด 27

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.23 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ