ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - นี่หรือพี่น้องมสลิม
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
นี่หรือพี่น้องมสลิม
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 2:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

[B]อ้าว เป็นงั้นไป ยกอัลกุรอ่านมาอธิบาย ก็หาว่า มาโจมตี เอะแปลก ใจเย็นๆครับ อธิบายของคุณไปเถอะ ถ้าคุณคิดว่า คนเขายอมรับในบทความของคุณ แต่..คุณลองถามตัวเองด้วนว่า คุณตั้งกระทู้มาเพื่ออัลลอฮหรือเปล่า และลองอ่านคำถามที่คุณถามคุณ แมทข้างล่างนี้ คุณถามทำไม

3.การสนทนาเชิงศาสนาไม่ว่าเรื่องใดๆระหว่างบังฮะซันและพวกกับนักศึกษาจากไคโร
ที่ส่วนมากแล้วทางบังฮะซันและพวกจะชอบยกอัลฮาดีสต่างๆของท่านนบีมาอ้างหรือกล่าวเสียดสี และฮุกมว่าคณะของนักศึกษาจากไคโรเป็นผู้ทำบิดอะและต้องลงนรกนั้น คุณแมทคิดอย่างไรกับกรณีฮาดีสที่ยกมานี้ครับ


ผมมีหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับอิสลามให้ผู้อ่านเข้าใจ ว่า อะไรคือ เหตุแห่งความแตกแยก และผมก็รู้ว่า ที่คุณมุ่งเป้าไปที่กลุ่มใด เมื่อคุณกล่าวถึงสาเหตุแห่งความแตกแยก ผมกินข้าวนะครับ และผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บกับใคร ผมยังสบายดี และใจผมไม่อาฆาตพยาบาทด้วย ขอยืนยันด้วยพระนามของอัลลอฮ แต่..ผมมีหน้าที่ปกป้อง อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และผมรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และผมรู้ว่าอัลลอฮรู้ อัลลอฮเห็น [/B
............
หวังว่าอัลลอฮคงเปิดใจให้คุณ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 3:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ konyakroo กล่าวว่า
และขอให้ตอบมาด้วยว่า ในโองการนี้ลงมาเพื่อมุ่งสำทับหรือโจมตีฝ่ายที่ต่างทัศนะคือพวกเรา หรือผู้ที่ยืนอยู่บนแนวทางของผู้มีความรู้เช่น อีหม่ามทั้ง4

ตอบ
ดีมากมากครับ ท่านผู้ชมโปรดติดตามต่อไปนี้นะครับ

وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง

قال ابن عباس في قوله‏whistling#8207; ‏{‏ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله‏}‏ أمر اللّه المؤمنين بالجماعة ونهاهم عن الاختلاف والتفرقة، وأخبرهم أنه إنما هلك من كان قبلهم بالمراء والخصومات في دين اللّه، وقال الإمام أحمد بن حنبل عن عبد اللّه بن مسعود رضي اللّه عنه قال‏whistling#8207; خط رسول اللّه صلى اللّه عليه وسلم خطاً بيده ثم قال‏whistling#8207; ‏(‏هذا سبيل اللّه مستقيماً‏)‏، وخط عن يمينه وشماله ثم قال‏whistling#8207; ‏(‏هذه السبل ليس منها سبيل إلا عليه شيطان يدعو إليه‏)‏، ثم قرأ‏whistling#8207; ‏{‏وأن هذا صراطي مستقيماً فاتبعوه ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله‏}‏ ‏"‏رواه أحمد والحاكم والنسائي، وقال الحاكم‏whistling#8207; صحيح ولم يخرجاه‏

ท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวเกี่ยวกับคำดำรัสของอัลลอฮที่ว่า (และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์) ว่า อัลลอฮทรงบัญชาแก่มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ให้ความสำคัญกับหมู่คณะ และห้ามพวกเขาไม่ให้ขัดแย้งและแตกแยกกัน และทรงบอกพวกเขาว่า ประชาติก่อนพวกเขานั้น ได้รับความวิบัติ เพราะทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ในเรื่อง ศาสนาของอัลลอฮ และท่านอิหม่ามอะหมัด บุตร หัมบัล ได้รายงานจาก อับดุลลอฮ บุตรมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เขากล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่ง ด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ แนวทางของอัลลอฮ อันเที่ยงตรง” และท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวาและด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ หลายๆทาง ซึ่งไม่มีแนวทางใดจากหลายๆทางนั้น นอกจากมีชัยฏอน เชิญชวน ไปสู่แนวทางนั้น แล้วท่านก็อ่านอายะฮที่ว่า “ และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์” – รายงานโดย อะหมัด อัลหากิมและอัลนะสาอีย์ และอัลหากิม กล่าวว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ โดยที่อิหม่ามบุคอรีและมุสลิม ไม่ได้บันทึกมันไว้ – ดูมุคตะศอ็รตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอันอันอาม

.....................................
อายะฮนี่ แสดงให้เห็นว่า แนวทางแห่งศาสนาอิสลาม นั้นมีหนึ่งเดียว ไม่มีหลายๆแนวทาง เพราะการแตกเป็นหลายๆแนวทางนั้น เป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งและแตกแยก
และการแบ่งศาสนาป็นหลายนิกาย ก็เป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง และ อิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้เป็นตัวการแบ่งนิกาย นิกายคือ สิ่งที่พวกตะอัศศุบมัซฮับอุปโลกน์ขึ้นมา แล้วอ้างอีหม่ามทั้งสี่
.............
ผมขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อผมสอนศาสนา ผมก็อ้างอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เสมอ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 4:04 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ konyakroo กล่าวว่า
คุณเสือสมิงดำครับ ฉายานี้..เหมาะกับคูณในรูปภาพที่คุณส่งมาครับฮ้าๆๆๆ
.....................
และอายะฮข้างล่างนี้ อัลลอฮสอนว่าอย่างไรครับ


وَلَا تَنَابَزُوا بِالْأَلْقَابِ

และพวกเจ้าอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ - อัลหุญะรอต/11
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 4:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ konyakroo:


การที่ผมยกฮาดีษมานั้น พื่อที่ให้ผู้ที่เล่าเรียนวิชสฮทดีษมา ได้เห็นและเข้าใจว่า ในบรรดาสิ่งที่มีอยู่ใน ฮาดีษนั้น เมื่อศึกษาแล้วควรเลือกสิ่งที่ดี ที่แสดงถึง คุณภาพ ของศาสนาอิสลาม มาคิดแล ปฎิบัติตามบ้าง ไมใช่แต่เลือก เอาแต่สิ่ง ที่ทำให้อิสลามเสียภาพพจ์ มาใช้แต่เพียงอย่างเดียว
"อัลกุรอาน" เป้นสิ่งเดียว ที่ท่านรอซูลปฏิบัติตาม ไม่ใช่ หนังสืออื่นใด ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา

ก่อนที่จะตอบข้อแย้งของคุณ คุณตอบได้ไหมว่า ถ้าคุณเห็นข้อความนี้ อยู่ บน อกเสื้อ หรือ บนย่าม ของ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม คุณจะมีวิธี แก้ไขอย่างไรฦ และ คุณจะเจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่?

#1601;َأَجَابَ الْمَلاَكُ وَقَالَ لَهُ


" أَنَا جِبْرَائِيلُ الْوَاقِفُ قُدَّامَ اللهِ، وَأُرْسِلْتُ لأُكَلِّمَكَ وَأُبَشِّرَكَ بِهذَا"

“เทวฑูต ก็ตอบ อัลมาลักว่า, “ข้าคือ “ญิบริล”, ผู้ซึ่งยืนอยู่ต่อหน้า พระผู้ เป็นเจ้า (อัลลอฮุ) และข้าถูก(พระเจ้า) ส่งข้ามาพูดกับท่าน และนำข่าวดีนี้มาแจ้งต่อท่าน”


ถ้าคุณอธิบายความรู้สึกและวิธีแก้ไขแล้ว ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจว่า ทำไมผมจึง มีความรู้สึกอย่างที่คุณเข้าใจ (ผิด)

wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 4:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขอโทษเข้าผิดกระทู้ครับ

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 5:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณดัลดุลลา


---------------------ช่วงที่คุณกำลังบ่นพึมพำอยู่นั้นผมกำลังติดธุระครับ-------------------
คุณกล่าวว่า

---ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการอาบน้ำละหมาด และ ให้ลูบศรีษะ มีแต่ชาวบ้านเข้าใจว่า การลูบหัวเพียงโดนผม สามเส้นก็ใช้ได้ เคยมีใครไปอธิบาย ให้ชาวบ้านฟังบ้างว่า ลักษณะการลูบศรีษะของการอาบน้ำละหมาดเป็นอย่างไร ท่านนบีทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร และกรณีพิเศษเป็นอย่างไร ---

ตอบ..คุณดัลดุลลา
แหละนี้คือประเด็นของความไม่เข้าใจของผู้ที่ยืนในต่างทัศนะกับเรื่องการอาบน้ำละหมาด
... คุณดับดุลลาครับ กรุณาตั้งสมาธิและวางใจให้เป็นกลางสักครั้งนะครับแล้วเรามาทำความเข้าใจในประเด็นนี้พร้อมๆกับพี่น้องวะฮาบีย์อีกหลายคนที่ยังข้องใจเหมือนกับคุณ
ก่อนอื่นนคุณต้องเข้าใจว่า เรื่องการอาบน้ำละหมาดนั้นในทุกๆมัสหับทุกแนวทางรวมทั้งทัศนะของคุณเองก็อาศัยการวินิจฉัยของอุลามะทั้งสิ้นครับและการวินิจฉัยของอีหม่ามแต่ละท่านย่อมไม่เหมือนกันทั้งนี้ปัจัยหลายอย่างไม่ว่า ความรู้ความสามารถ หลักฐาน และที่สำคัญคือสติปัญญาที่อัลลอฮ์(วบ)ประทานมาให้แต่ละคนย่อมไม่เท่าเทียมกัน อันนี้คุณคงไม่ปฏิเสธ เรื่องความแตกต่างในคำวินิจฉัยหรือการมุตะญิดของผู้รู้นั้นย่อมไม่ตรงกันเสมอไปและเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นและก็ผ่านมานานแล้วเช่นกัน แต่สำหรับคนรุ่นหลังดังเช่นคุณและผมนั้นเป็นผ้ทีได้ชื่อว่า เป็นผู้ตามกันทั้งนั้นไม่มีสิทธในการออกความเห็นหรือวินิจฉัยตัวบทว่านั้นคือความบกพร่องหรือผิดพลาด
แต่ถ้าเราไปค้านหรือชี้ลงไปว่าอีหม่ามท่านนั้นวินิจฉัยผิดหรือเป็นคนไม่มีความรู้ นั้นเท้ากับว่าเรากำลังดูถูกอุลามะของอัลลอฮ์ (ซบ)โดยเฉพาะอย่าสงยิ่งคุณก็เคยผ่านฮาดีสบทหนึ่งที่กล่าวว่า
---แท้จริง คนมีความรู้หรืออุลามะนั้นของอัลลออ์นั้น มีมากมายและส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้าเปรียบเหมือนสายฝนที่โปรยลงมา...ไม่ขาดสาย---ฮาดีสนี้มันอาจจะไม่ซอเหียะในสายของคุณและคุณอาจจะถือว่าดออีฟก็แล้วแต่ผมไม่ค้าน แต่มนุษย์ทุกคนที่อัลลออ์(วบ)สร้างมาล้วนเป็นเจตนาและผลงานของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่มีใครสักคนที่พระองค์สร้างมาโดยไร้สาระและได้ให้สิติปัญญามาขับเคลื่อนเขา เพื่อมาใช้ชีวิตในดุนยา เพียงแต่ว่ามีมากหรือน้อยเท่านั้น
บางคนพระองค์ส่งลงมาด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง...ซึ่งเราไม่สามารถรู้เจตนาได้ เช่น เมื่อพระองค์ต้องการให้ใครคนหนึ่ง เป็นผู้ผลิตหรือสร้างอุปกรณ์โดยใช้เทคโนโลยี่ต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และเป็นบุคคลตัวอย่างหรือบุคคลแรกของมนุษย์ในกลุ่มๆนั้นหรือในโลกใบนี้ดว้ยสร้างชื่อเสียงของเขาที่พระองค์กำหนดมา โดยที่คนอื่นๆไม่มีความสามารถกระทำเช่นเขาได้และบางคนพระองค์มีพระประสงค์ให้เขาลงมาช่วยชี้แนะวิชาการต่าง ๆ ในกลุ่มๆหนึ่งด้วยสติปัญญาที่พระองค์ให้มาเช่นกัน ซึ่งคุณเองสามารถเห็นบุคคลตัวอย่างในอดีตที่มีชื่อเสียงวในด้านต่างๆก็มีมากมายแม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีเป็นช่วงๆ ซึ่งตัวคุณเองก็แอบภูมิใจกับบุคลเหล่านั้นไม่ใช่หรือครับ

ดังนั้นมันจะผิดตรงไหนละครับ เมื่อพระองค์จะสร้างบุคคลที่พระองค์ประสงค์ลงมาเพื่อเป็นผู้ชี้แจงหรืออธิบาย ในบัญญัติต่างๆของพระองค์เพื่อความง่ายดายในการปฏิบัติ..และบางสิ่งบางอย่างนั้น เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นใสมัยหลังท่านนบีและซอฮาบะนั้นมากมายที่ไม่เคยมีในสมัยของท่าน
เมื่อเป็นเช่นนั้นงานของอัลลออ์ไม่ได้หยุดอยู่ทแค่เมื่อท่านนบีสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น และมีซอฮาบะหลายท่านก็เคยชี้แจงหรืออธิบายอายะในอัลกรุอานและอัลฮาดีสหลังจากท่านจากไปแล้วมากมาย ความสามารถของพระองค์นั้นยังคงมีตลอดไม่ว่าพระองค์จะให้คนนั้นเป็นผู้ใกล้ชิดกับพระองค์เช่นคนวลียุลลออ์หรือคนการอมัต หรือคนที่มีความรู้ที่เก่งกล้า ถ้าพระประสงค์ก็อัลลอฮ์(ซบ)ตักดีร?มันเพียงแค่พระองค์กล่าวว่า กุ้น เท่านั้นทุกอย่างก็สามารถจะเกิดขึ้นได้โดยกุตดอรัตของพระองค์

นับประสาอะไรกับความรู้เล็กๆน้อยของท่านอีหม่ามทั้ง4 ที่มีจัดได้ว่าเป็นคุณต่ออัลอิสลามของเรามากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
--- ฉะน้นการวินิจฉัยสิ่งใดที่แตกต่างกันนั้นสำหรับท่านอีหม่าม ทั้ง4 นั้นไม่ใช่สาเหตุ ของความแบ่งแยก ไปจากแนวทางของพระองค์เลย ขอให้คุณเสือสมิงดำรับรู้ไว้ด้วยและอย่าพยายามสร้างความแตกแยกโดยยึดความคิดของตตนเองเป็นใหญ่
เรื่องการอาบน้ำละหมาดนั้น
--มีรายงานจากฮาดีสหลายบทด้วยกันผมจะนามาเป็นตัวอย่างสักบท
จากท่านหุมรอนผู้เป็นทาสของอุสมาน(รด) ซึ่งท่านได้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระท่านได้เล่าว่า
---ท่านอุสมาน(รด)นั้นได้ขอน้ำเพื่ออาบน้ำละหมาด ท่านได้เทน้ำจากภาชนะและได้ล้างมือทั้งสองข้างของท่าน สามครั้ง ต่อมาได้เอามือขวาจุ่มลงใน้และทำการบ้วนปาก สูดน้ำเข้าจมุกและสั่งออก หลังจากรนั้รนท่านได้ล้างหน้าของท่าน3 ครั้ง ล้างมือถึงข้อศอก 3 ครั้ง เช็ดศรีษะ ล้างเท้าทั้งสองของท่านสามครั้ง และท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านศานทูต ของอัลลออ์ อายน้ำละหมาดเช่นนี้
เหมือนกับการอาบน้ำละหมาดของข้าพเจ้านี้ และท่านกล่าวว่าท่านบีได้กล่าวว่า ผู้ใดอาบน้ำละหมาดเหมือนกับการอาบน้ำของข้าพเจ้า และทำการละหมาด2รอกะอัต โดยไม่ได้นึกอะไรอื่นตลอดใน2 รอกะอัตนั้น อัลลอฮ์(ซบ)จะทรงประทานอภัยแก่เขาในความผิดที่ผ่านมา
รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม

ผมไม่รู้ว่าฮาดีสนี้วะฮาบีย์จะถือเป็นซอเหี้ยะหรือไม่

นี่คือตัวอย่างทียกมาให้เห็นว่า ไม่มีใครสักคนโดยแม้กรทั้งผู้รายงานฮาดีสเองก็ไม่มีในเหตุการณ์ เพียงแต่ฟังการถ่ายทอดต่อๆกันมาเป็นช่วงๆ จนมาถึงยุคของอีหม่ามผู้ทรงธรรม การวินิจฉัยตัวบทของอุลามะที่มีความรู้เลยเกิดขึ้นทั้งนี้เพราะสายรายงานที่เข้ามานั้นมาเหมือนกันในสิ่งที่ได้รับนั้นเอง..ต่อไปผมจะเอาทัศนะของอีหม่ามแต่ละท่านให้คุณดัลดุลลาเห็น แดยงไปที่คำถามตอนแรกของคุณเรื่องความแตกต่าง
.........................เชิญน้องนักศึกษาไคโรเสวนาต่อครับ........................



wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Mar 31, 2006 10:15 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

บังคนอยากรู้ครับ ว่างๆเดี๋ยวผมจะเข้ามา สนทนาสานต่อสัจจะธรรม ครับ ขอตัวไปทำภาระส่วนตัวสักนิด

wassalam

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 6:07 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างจากบังอะสัน

อิสลามเป็นศาสนา ที่มุ่งเน้นให้ผู้นับถือ นำคำสอนมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง สิ่งที่เป็นพลังขับเคลื่อน ให้นำความรู้มาปฏิบัติ นั้น คือ อีหม่าน การอีม่านที่ถูกต้องย่อมส่งผลให้ผู้ปฏิบัตินั้น ปฏิบัติถูกต้องด้วย เพราะการปฏิบัติมาจากความเชื่อและความเข้าใจ อิสลามส่งเสริม

วิจารณ์

คำพูดของบังอะสันนี้ ผมเข้าใจดีว่า บังจะสื่อถึงอะไร หมายความง่ายๆว่า หากผู้ใดที่ทำ สิ่งที่ เป็น "บิดอะฮ์" ตามทัศนะของวะฮาบีย์นั้น อิหม่านของเขาต้องบิดอะฮ์ไปด้วย และในที่สุดอีหม่านก็ไม่ถูกต้อง?? คำๆนี้ บังอะสันเคยพูดกันมาแล้ว ซึ่งเป็นคำพูดที่ดูเหมือนว่าจะถูกต้อง แต่จุดมุ่งหมายของบังอะสันไร้ความถูกต้องอย่างสิ้นเชิง ปัญหาข้อปลีกย่อยนั้น ย่อมมีการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่า ผู้ที่มีทัศนะไม่เหมือนกับเรา เขาคือผู้ที่ทำบิดอะฮ์ แบบนี้เขาเรียกว่า ตะอัสศุบ และเป็นแนวทางคิดของพวกบิดอะฮ์ที่ไม่เคยมีในสมัยศะละฟุศศอลิหฺเลยแม้แต่น้อย เช่นเรื่องกุนูต บังอะสันหุกุ่มมันว่าบิดอะฮ์ ย่อมไม่ใช่หมายความว่า เมื่อพวกเราทำกุนูตแล้วเป็นบิดอะฮ์และส่งผลอีหม่านบิดอะฮ์ไปด้วยนั้น ย่อมไม่ถูกต้อง หรือเราทำการอ่านตัลกีน ก็ไม่ใช่หมายความว่า มันคือบิดอะฮ์ที่ต้องส่งผลถึงอีหม่านของเรา ซึ่งทางเราก็มีหลักฐาน แต่เผอิญว่า หลักฐานนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ สำหรับผู้ที่ทำการตะอัศศุบ ก็เลยไม่ยอมรับฟัง เพียงเพื่อจะต้องการหุกุ่มผู้อื่นทำบิดอะฮ์ตามที่ทัศนะของตนเองยึดมั่น แบบนี้เขาเรียกว่าตะอัศศับชัดๆ

ดังนั้น บังอะสันต้องแยกแยะระหว่างประเด็นข้อปลีกย่อย เช่นปัญหาเรื่องวินิจฉัยต่างๆ กับประเด็นหลักๆที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ เช่นเรื่องวายิบต้องละหมาด ต้องออกซะกาต ต้องถือศีลอด เรื่องอาบน้ำละหมาด ซึ่งเรื่องประเด็นหลักๆนี้ มันส่งผลถึงอีหม่านของคนเรา หากเราเชื่อว่าไม่วายิบต้องละหมาด ก็อีหม่านพังมลายเป็นแน่ หรือเชื่อว่า ไม่วายิบต้องออกซะกาต ก็ต้องประกาศสงครามกัน อย่างที่ท่านอบูบักร(ร.ฏ.) ได้เคยกระทำมา ดังนั้นปัญหาข้อปลีกย่อย ไม่มีนักปราชญ์ผู้ใดที่ทำการหุกุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าทำบิดอะฮ์ เนื่องมุสลิมผู้มีศรัทธานั้น เขาจะให้เกียตริซึ่งกันแหละกัน นอกจากพวกบิดอะฮ์เท่านั้น ที่คิดว่าแนวทางของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ส่วนแนวทางอื่นผิด.... วัลอิยาซุบิลลาห์

อ้างจากบังอะสัน

สาเหตุที่มุสลิมแตกแยก
1. ไม่ปฏิบัติตาม อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ

وَأَطِيعُواْ اللّهَ وَرَسُولَهُ وَلاَ تَنَازَعُواْ فَتَفْشَلُواْ وَتَذْهَبَ رِيحُكُمْ وَاصْبِرُواْ إِنَّ اللّهَ مَعَ الصَّابِرِينَ
[8.46] และจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย- อัลอัมฟาล/46

أَمَرَهُمْ أَنْ يُطِيعُوا اللَّه وَرَسُوله فِي حَالهمْ ذَلِكَ فَمَا أَمَرَهُمْ اللَّه تَعَالَى بِهِ اِئْتَمَرُوا . وَمَا نَهَاهُمْ عَنْهُ اِنْزَجَرُوا وَلَا يَتَنَازَعُوا فِيمَا بَيْنهمْ أَيْضًا فَيَخْتَلِفُوا فَيَكُون سَبَبًا لِتَخَاذُلِهِمْ وَفَشَلهمْ

พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาเชื่อฟังต่ออัลลอฮและศาสนทูตของพระองค์ ในสภาพดังกล่าวพวกเขาประสบอยู่(คือเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู) ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่อัลลอฮ(ซุบฮานะฮูวะตาอาลา)ทรงบัญชาแก่พวกเขา ก็ให้พวกจงยึดมั่น และสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงห้ามพวกเขา ก็ให้พวกเขาจงเชื่อฟัง และอีกทั้งพวกเขาจงอย่าโต้แย้งในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาขัดแย้งกัน แล้วมันก็จะเป็นสาเหตุ ให้พวกเขาทอดทิ้งซึ่งกันและกันและทำให้เกิดความอ่อนแอ – ดูตัฟสีรอิบนิกะษีร อธิบาย อายะฮที่ 46 ซูเราะฮอัลอัมฟาล
..........................
จากโองการข้างต้น จะเห็นได้ว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ทรงสอนให้มุสลิม เชื่อฟัง ต่ออัลกุรอ่าน และ อัสสุนนะฮ โดยให้ยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ทรงใช้และเชื่อฟังในสิ่งที่ทรงห้าม ทรงห้ามไม่ให้โต้แย้งกัน แล้วทำให้ขัดแย้งกัน จนเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกและความท้อแท้สิ้นหวัง

วิจารณ์

คำกล่าวของบังอะสันถูกต้องเลยครับ นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ อายะฮ์ดังกล่าวไม่ได้ห้ามการขัดแย้งในปัญหาวินิจฉัยเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากปัญหาการขัดแย้งข้อประเด็นปลีกย่อยนั้น มันมีมาตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ์แล้ว แต่การขัดแย้งในประเด็นข้อปลีกย่อยที่อายะฮ์ดังกล่าวตำหนินั้น ก็คือ การตะอัศศุบ โดยการทำให้ประเด็นข้อปลีกย่อย เป็นสาเหตุให้เกิดความแตกแยกในสังคม เช่น ใครอ่านกูนูต ฉันจะไม่ละหมาดตาม ใครที่อ่านตัลกีน ฉันจะไม่ยุ่งด้วย ต้องหลีกห่างให้ไกล เพราะว่าเขาทำบิดอะฮ์ กล่าวตำหนิว่า การกระทำดังกล่าวเป็นบิดอะฮ์ตกนรก จนกระทั้งมองหน้ากันไม่ติด แบบนี้แหละที่อายะฮ์ได้ห้ามเอาไว้ แล้วปัจจุบันนี้ ผู้ใดหรือครับที่ได้กระทำสิ่งดังกล่าวอยู่ครับ ??

อ้างจากบังอะสัน

2. แบ่ง ศาสนาของอัลลอฮ ให้เป็นนิกาย ให้เป็นมัซฮับ โดยแต่ละมัซฮับต่างก็มีหลักการของตนเอง และผู้ที่ถือมัซฮับ ก็ผูกขาดอยู่กับมัซฮับที่ตนสังกัดอยู่

إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً لَّسْتَ مِنْهُمْ فِي شَيْءٍ إِنَّمَا أَمْرُهُمْ إِلَى اللّهِ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُواْ يَفْعَلُونَ
[6.159] แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน- อันอันอาม/159

วิจารณ์

มัซฮับทั้งสี่ไม่ใช่ เป็นผู้ที่สร้างความแตกแยกในศาสนาเลยครับ เนื่องจากอายะฮ์นี้ พูดถึงการแตกแยกในเรื่องของอากิดะฮ์ และทุกมัซฮับก็มีหลักการที่กลับไปสู่อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) และการมีมัซฮับ ไม่ใช่เป็นการแตกแยกเหมือน ยิว และ นะซอรอ มันคนละประเด็นกัน และไม่มีอุลามาอ์ท่านใด ที่เข้าใจว่า อายะฮ์นี้ได้ห้ามการมีมัซฮับ และไม่มีอุลามาอ์ตัฟซีรท่านใดเลยสักคนเดียว ที่กล่าวหาว่า อายะฮ์นี้ ชี้ถึงการห้ามมีมัซฮับ นอกจาก พวกบิดอะฮ์เท่านั้น ที่เข้าใจอย่างนี้ เนื่องจากอายะฮ์นี้มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ที่ บังอะสันนำเสนอโดย

อ้างจากบังอะสัน

وَالظَّاهِر أَنَّ الْآيَة عَامَّة فِي كُلّ مَنْ فَارَقَ دِين اللَّه وَكَانَ مُخَالِفًا لَهُ فَإِنَّ اللَّه بَعَثَ رَسُوله بِالْهُدَى وَدِين الْحَقّ لِيُظْهِرهُ عَلَى الدِّين كُلّه وَشَرْعه وَاحِد لَا اِخْتِلَاف فِيهِ وَلَا اِفْتِرَاق فَمَنْ اِخْتَلَفَ فِيهِ وَكَانُوا شِيَعًا أَيْ فِرَقًا كَأَهْلِ الْمِلَل وَالنِّحَل وَالْأَهْوَاء وَالضَّلَالَات فَإِنَّ اللَّه تَعَالَى قَدْ بَرَّأَ رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِمَّا هُمْ فِيهِ وَهَذِهِ الْآيَة كَقَوْلِهِ تَعَالَى " شَرَعَ لَكُمْ مِنْ الدِّين مَا وَصَّى بِهِ نُوحًا وَاَلَّذِي أَوْحَيْنَا إِلَيْك " الْآيَة

และ เป็นที่ชัดเจนว่า แท้จริงอายะฮนี้ ครอบคลุมถึง ทุกๆผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของอัลลอฮและปรากฏว่าเขาเป็นผู้ที่ขัดแย้งมัน แท้จริง อัลลอฮ ได้ส่งศาสนทูตของพระองค์มาพร้อมด้วยทางนำและศาสนาที่ถูกต้อง เพื่อให้มันปรากฏเหนือ ศาสนาทั้งหลาย และ บัญญัติของพระองค์นั้นมีหนึ่งเดียว ไม่มีการขัดแย้งกันในนั้น ดังนั้น ผู้ใดขัดแย้งกันในมัน(ในศาสนาของอัลลอฮ) และพวกเขากลายเป็นนิกาย หมายถึง เป็นพวกๆ ดังเช่น ชาวลัทธิ และนิกายต่างๆ พวกตามอารมณ์และพวกงมงายต่างๆ ดังนั้น อัลลอฮซุบฮานะฮูวะตาอาลา ทรงให้ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นอิสระ(ไม่เกี่ยวข้อง)จากสิ่งที่พวกเขายึดถือในสิ่งนั้น และโองการนี้ ดังคำดำรัสของอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ว่า “ 42.13] พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นูห์ และที่เราได้วะฮีย์ยฺแก่เจ้า- จนจบอายะฮ - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร อธิบายอายะฮ 159 ซูเราะฮ อัลอันอาม

วิจารณ์

บังอะสันแปลคำว่า
وَالظَّاهِر أَنَّ الْآيَة عَامَّة فِي كُلّ مَنْ فَارَقَ دِين اللَّه وَكَانَ مُخَالِفًا لَهُ
"และ เป็นที่ชัดเจนว่า แท้จริงอายะฮนี้ ครอบคลุมถึง ทุกๆผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของอัลลอฮและปรากฏว่าเขาเป็นผู้ที่ขัดแย้งมัน"
ซึ่งความจริงแล้ว บังอะสันแปลผิด คือแปลโดยสนองอารมณ์ของตนเองมากกว่า โดยจะหมายความว่า "มัซฮับนั้น คือการแบ่งแยกศาสนา โดยที่ขัดแย้งกับศาสนา" ซุบหานัลลฮ์ !! ไม่มีใครในโลกเข้าใจอย่างนี้เลย นอกจากพวกบิดอะฮ์ ทั้งที่ความหมายที่ถูกต้องของคำว่า مَنْ فَارَقَ دِين اللَّه وَكَانَ مُخَالِفًا لَهُ นั้น แปลว่า "ผู้ที่แยกตัวออกจากศาสนาและขัดแย้งกับศาสนา" ซึ่งหมายถึง ตกมุรตัดออกจากศาสนาอิสลามแล้วแยกตัวเป็นกลุ่มๆ ลัทธิ แต่บังอะสันกลับเอามัซฮับทั้งสี่ ไปอยู่ในความหมายนี้ด้วยกระนั้นหรือ? แล้วที่บังสอนคนทั่วไปโดยชอบยกอายะฮ์และหะดิษนั้น คงจะยกอายะฮ์แบบนี้และเข้าใจเอาเองแบบนี้ใช่ใหมครับ เฮ้อ.. ผมสงสารคนที่บังอะสันสอนจัง ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับหลักการอะไรบ้างจากคนที่ประกาศว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์และอธิบายโดยสนองอารมณ์ของตนเอง

อ้างจากบังอะสัน

3. การประนีประนอมกับความไม่ถูกต้อง โดยอ้าง เรื่อง ความสามัคคี ในที่สุด ชาวบ้านก็ตกอยู่ในความขัดแย้งโดยไม่รู้จักจบ เพราะใครมาพูดความจริง ก็ถูกประณามว่า “สร้างความแตกแยก” จึงไม่มีใครกล้ามาบอกความจริงว่า ฝ่ายใดถูก ฝ่ายใดผิด

วิจารณ์

บังอะสันกล่าวว่า" ความไม่ถูกต้อง" นั้นหมายถึงอะไรหรือครับ? หมายถึง สิ่งที่ไม่ตรงกับทัศนะของวะฮาบีย์ใช่ไหมครับ?? คนพูดความจริงนั้น เป็นผู้ที่ได้รับการส่งเสริมครับ แต่ผู้ที่คิดว่าปัญหาของปลีกย่อยนั้น ตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง คนอื่นผิดทำบิดอะฮ์ แบบนี้ไม่ใช่คนที่พูดความจริง และไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในสัจจะธรรมนะครับ และยิ่งไปกว่านั้น เขาก็คือ "ผู้ที่สร้างความแตกแยกในสังคัม" พอเราพยายามชี้แจงและบอกความจริง กลับพยายามปกปิด ไม่อยากให้คนอื่นอ่าน เนื่องจากกลัวว่า มีผู้อื่นจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองหุกุ่มเขาอยู่นั้น "มันผิด" และเพื่อให้ผู้อื่นยึดตะอัศศุบแนวทางของตนอยู่อย่างนั้น บังอะสันลองยกหลักฐานที่บอกว่าตัลกีนบิดอะฮ์มาหน่อยซิครับ เพื่อจะได้บอกความจริงคนอื่นรู้ยังไงล่ะครับ ว่าใครผิด ใครถูก ?? แต่หลักฐานเรื่องตัลกีนที่ผมยกไปนั้น ถูกลบครับ แฮะๆ...

อ้างจากบังอะสัน

เพราะฉะนนั้น การใจกว้างกับสิ่งไม่ถูกนั้น ไม่ใช่นโยบายของอิสลาม พึงเข้าใจด้วยนะครับ

วิจารณ์

บังอะสันต้องพูดไหม่ว่า "เพราะฉะนั้น การใจกว้างกับสิ่งที่ไม่ใช่แนวทางของวะฮาบีย์นั้น ไม่ใช่นโยบายของฉัน พึงเข้าใจด้วยนะครับ"

อ้างจากบังอะสัน

หากการสังกัดมัซฮับ มีบัญญัติไว้ในศาสนา แล้วตอนนี้ไม่ทราบว่า แล้วตอนนี้ทำไม มัซฮับอิบนุมัสอูด มัซฮับอิบนุอุมัร และมัซฮับอิบนุอับบาส ไปอยู่เสียที่ใหน ทำไมจึง หรือ ว่า มัซฮับทั้งสี่ มายกเลิก มัซฮับของเหล่าเศาะหาบะฮ

วิจารณ์

ฮาๆ ถามมาได้อย่างไรเนี่ยครับ ? มัซฮับของบรรดาซอฮาบะฮ์ ก็ยังคงอยู่พร้อมกับมัซฮับทั้งสี่ นั่นแหละครับ ไม่มีใครไปยกเลิกหรอกครับ มัซฮับท่านอิบนุอับบาสมีทัศนะว่า กระทบผิวหนังสตรีนั้นไม่เสียน้ำละหมาด นอกจากร่วมประเวณี มัซฮับของอบูหะนีฟะฮ์ก็สอดคล้องกับมัซฮับของท่านอิบนุบาสโดยท่านอบูหะนีฟะฮ์อ้างหลักฐานจากมัซฮับท่านอิบนุอับบาส มัซฮับของท่านอิบนุอุมัรมีทัศนะว่า กระทบผิวหนังสตรีที่หะรอมนิกะฮ์นั้น เสียน้ำละหมาด และมัซฮับอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ก็มีทัศนะสอดคล้องกับท่านอิบนุอุมัรด้วยนะครับ

มัซฮับท่านอุมัร มัซฮับท่านอลี มัซฮับท่านอิบนุอับบาส และมัซฮับท่านอิบนุอุมัร มีทัศนะว่า ไม่อนุญาติให้ตัดมือผู้ขโมย นอกจากจะครบพิกัด(ที่ถูกกำหนดไว้) และนั่นก็เป็น มัซฮับของอิมามทั้งสี่ด้วย แต่มัซฮับของ ท่านอิบนุ อัลมุซัยยับ และมัซฮับของท่านดาวูด อัซซอฮิรีย์ มีทัศนะว่า แม้ไข่ฟองเดียวก็ตัดมือได้แล้ว และประเด็นข้อปลีกย่อยอื่นๆอีกมากมาย ก็ได้ระบุมัซฮับของบรรดาซอฮาบะฮ์เอาไว้ และบรรดาอิมามทั้งสี่ ก็นำทัศนะของพวกเขามาอ้างเป็นหลักฐาน โดยมีเงื่อนไขตามแต่หลักการวินิจฉัยของแต่ละอิมาม ดังนั้น บรรดามัซฮับของซอฮาบะฮ์ ก็อยู่ในมัซฮับทั้งสี่ และมัซฮับอื่นๆจากทั้งสี่ด้วย โดยที่ได้บันทึกเอาไว้แล้วในตำราต่างๆ บังอะสันก็กลับไปดูนะครับ

อ้างจากบังอะสัน

แล้วหรือ เห็นคนสมัยนี้ไม่นิยม แต่..ที่น่าสังเกตคือ คนสมัยเศาะหาบะฮ คงจะไม่ยึดติดกับมัซฮับ หรือผูกขาดมัซฮับ เหมือนสมัยนี้อย่างแน่นอน แต่เท่าที่สังเกต ความแตกแยก..เกิดจากการยึดเอาความเห็นของบุคคล มาเป็นศาสนามากกว่า คนที่ตะอัศศุบกับผู้นำจนกระทั้ง ไม่ยอมรับอัล-กรอ่านและหะดิษเศาะเฮียะที่ไม่ตรงกับความเห็นของผู้นำ อันนี้ อันตรายมาก

วิจารณ์

บังอะสันต้องแยกแยะระหว่าง ซอฮาบะฮ์ที่เป็นนักมุจญฺฮิด ที่มีประมาณ 130 คน และบรรดาซอฮาบะฮ์อื่นๆอีกเป็นแสนที่เป็นคนเอาวาม การที่คนซอฮาบะฮ์เอาวามจะเลือกปฏิบัติตามทัศนะของซอฮาบะฮ์คนหนึ่งนั้นย่อมกระทำได้ เช่นชาวกูฟะฮ์เลือกตามมัซฮับของท่านอิบนุมัสอูดเป็นต้น แต่หากมีคนหนึ่งเชื่อว่า วายิบต้องตามท่านอิบนุมัสอูดเท่านั้น แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง การตามมัซฮับอัชชาฟิอีย์เพียงอย่างเดียว นั้นถือว่ากระทำได้ แต่ต้องไม่เอี๊ยะติก๊อตว่าเป็นสิ่งที่วายิบ และต้องไม่เอี๊ยะติก๊อตว่า มัซฮับอัช-ชาฟิอีย์เท่านั้นที่ถูก ซึ่งดังกล่าวถือว่าเป็นการตะอัศศุบและตั้งเงื่อนไขให้กับตัวเองโดยที่ กิตาบุลลอฮ์ไม่ได้วางเงื่อนไขไว้อย่างนั้น และหากว่ามีหะดิษที่ซอฮิหฺมาระบุอย่างชัดเจนและเด็ดขาด قطعى แล้วเราต้องละทิ้งจากทัศนะของอิมามในประเด็นนั้นๆ และนั่นก็คือ คุณลักษณะของผู้ที่มีมัซฮับ แต่ผู้ที่กล่าวว่า ผู้ที่มีมัซฮับนั้นคือผู้ที่ยึดความเห็นของบุคคลมาเป็นศาสนามากกว่านั้น เขาจะไม่กล่าว นอกเสียจากพวกบิดอะฮ์เท่านั้น

อ้างจากบังอะสัน

ดังอัลกุรอ่านระบุว่า

يَوْمَ تُقَلَّبُ وُجُوهُهُمْ فِي النَّارِ يَقُولُونَ يَا لَيْتَنَا أَطَعْنَا اللَّهَ وَأَطَعْنَا الرَّسُولَا
[33.66] วันที่ใบหน้าของพวกเขาจะถูกพลิกกลับไปกลับมาในไฟนรก พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้ความระทมทุกข์ของเรา ! หากเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์ และเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซู้ลก็จะดีหรอก !!

وَقَالُوا رَبَّنَا إِنَّا أَطَعْنَا سَادَتَنَا وَكُبَرَاءنَا فَأَضَلُّونَا السَّبِيلَا
[33.67] และพวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามบรรดาหัวหน้าของเรา และบรรดาผู้นำของเรา ดังนั้นพวกเขาได้ทำให้พวกเราหลงทาง

رَبَّنَا آتِهِمْ ضِعْفَيْنِ مِنَ الْعَذَابِ وَالْعَنْهُمْ لَعْناً كَبِيراً
[33.68] ข้าแต่พระเจ้าของเรา ได้โปรดลงโทษพวกเขาสองเท่าเถิด และทรงสาปแช่งพวกเขาซึ่งการสาปแช่งอันยิ่งใหญ่
………………..
ในวันกิยามะฮ พวกตะอัศศุบผู้นำ จนยอมทิ้งคำสอนของอัลลอฮและรอซูล นั้น เมื่อรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ได้แต่รำพึงรำพันว่า “ว่า ถ้าเราเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลก็จะดี” เลยพาลโกรธผู้นำที่พาให้พวกเขาหลงผิด และของให้อัลลอฮลงโทษผู้นำที่ทำให้พวกเขาหลงผิดสองเท่า แต่ขอเรียนให้ทราบว่า ท่านอิหม่ามทั้งสี่ ท่านเหล่านี้ สอนให้ตามอัลลอฮและรอซูล ไม่ให้ยึดติดกับความเห็นของท่าน

วิจารณ์

บังอะสันนี้มีฉลาด พยายามยกอายะฮ์เพื่อมาตบตาผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่า การตามอิมามทั้งสี่นั้น เหมือนกับการตาม นักบวช และบาตรหลวงพวกอะฮ์ลุลกิตาบ ซึ่งความจริงแล้ว มันแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน โปรดอย่าเอาอิมามทั้งสี่ไปเทียบกับ นักบวชและบาทหลวงของพวกอะฮ์ลุลกิตาบซิครับอะสัน เนื่องจากว่ามันจะเป็นการยกอายะฮ์เพื่อสนองหลักการของตน ไม่ใช่สนองหลักการของอิสลาม ซึ่งประเด็นนี้ เราได้อธิบายอย่างละเอียดแล้วในเรื่องของมัซฮับ (ภาคที่ 1) ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ โดยเฉพาะท่านอิบนุก๊อยยิมก็อธิบายประเด็นนี้ไว้เรียบร้อยแล้วว่า การตามบรรดาอิมามมุจญฮิดนั้น เป็นส่งที่น่าสรรญเสริญ ผู้ใดต้องการจะทราบรายละเอียด โปรดกลับไปทบทวนครับ แล้วอัลเลาะฮ์จะชี้นำ อามีน...

อ้างจากบังอะสัน

((وَلاَ تَكُونُواْ مِنَ ٱلْمُشْرِكِينَ (31) مِنَ ٱلَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً كُلُّ حِزْبٍ بِمَا لَدَيْهِمْ فَرِحُونَ)) (الروم:31-32)
และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี (31) (คือ) ในหมู่ผู้แบ่งแยกศาสนาของพวกเขาออกเป็นนิกายต่าง ๆ และแต่ละหมู่คณะก็พอใจต่อสิ่งที่พวกเขามีอยู่(*1*)
....................
(1) แต่ละคณะแต่ละนิกายก็ยึดมั่นในสิ่งที่ตนประดิษฐ์คิดขึ้นมา เช่น พวกนะศอรอ ยะฮูด มะญูซ และพวกบูชารูปปั้น
.............
ตราบใดที่อ้างว่า ท่านนิกายนั้น ฉันนิกายนี้ แล้วต่างก็พอใจนิกายตัวเองว่าถูก กล่าวหาของคนอื่นผิด นี่คือ ตัวปัญหาทำให้แตกแยก ศาสนาอิสลามไม่มีนิกายและศาสนาอิสลามไม่มีมัซฮับ ที่มีบัญญัติให้เลือกกันนับถือ

วิจารณ์

ไม่มีใครในโลก เข้าใจว่าอายะฮ์นี้ ชี้ถึงการมีมัซฮับไม่ได้ และไม่มีผู้ใดที่ยกอายะฮ์นี้ ต่อต้านมัซฮับทั้งสี่ นอกจากพวกมีความเข้าแบบบิดอะฮ์เท่านั้น

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 6:10 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างจาก บังอะสัน

ดีมากมากครับ ท่านผู้ชมโปรดติดตามต่อไปนี้นะครับ

وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
ท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวเกี่ยวกับคำดำรัสของอัลลอฮที่ว่า (และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์) ว่า อัลลอฮทรงบัญชาแก่มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ให้ความสำคัญกับหมู่คณะ และห้ามพวกเขาไม่ให้ขัดแย้งและแตกแยกกัน และทรงบอกพวกเขาว่า ประชาติก่อนพวกเขานั้น ได้รับความวิบัติ เพราะทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ในเรื่อง ศาสนาของอัลลอฮ และท่านอิหม่ามอะหมัด บุตร หัมบัล ได้รายงานจาก อับดุลลอฮ บุตรมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เขากล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่ง ด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ แนวทางของอัลลอฮ อันเที่ยงตรง” และท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวาและด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ หลายๆทาง ซึ่งไม่มีแนวทางใดจากหลายๆทางนั้น นอกจากมีชัยฏอน เชิญชวน ไปสู่แนวทางนั้น แล้วท่านก็อ่านอายะฮที่ว่า “ และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์” – รายงานโดย อะหมัด อัลหากิมและอัลนะสาอีย์ และอัลหากิม กล่าวว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ โดยที่อิหม่ามบุคอรีและมุสลิม ไม่ได้บันทึกมันไว้ – ดูมุคตะศอ็รตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอันอันอาม

วิจารณ์

ผมไม่ทราบว่า สิ่งที่มุจญฺฮิดทั้งสี่ไม่รู้มาก่อนนั้น หากทำแล้วเป็นบิดอะฮฺ มัซฮับทั้งสี่นั้น ต่างก็มีแนวทางที่เที่ยงตรงเดียวกัน คือยึดอัลกุรอานและซุนนะฮฺ จะเอาไปเทียบกับพวกยาฮูดีและนะซอรอไม่ด้อย่างเด็ดขาด หากผู้ใดนำมัซฮับทั้งสี่ไปเปรียบกับพวกยาฮูดีและนะซอรอนั้น แสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นคนที่มีคลั้งในแนวคิดของตัวเอง โดยแยกแยะสัจจะธรรมไม่ออก

เช่น ท่าน อิบนุอับบาส มีทัศนะว่า "การถูกผิวหนังสตรีที่แต่งงานได้นั้น ไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด นอกจากร่วมประเวณี แต่ท่าน อิบนุอุมัรมีทัศนะว่า "การกระทบผิวหนังสตรีที่แต่งงานได้นั้น ทำให้เสียน้ำละหมาด" สงสัยท่าน อิบนุอับบาส เป็นคนที่อธิบายเพื่อหุกุ่มตัวท่านเอง เนื่องจากท่านได้ขัดแย้งในเรื่องของศาสนากับท่านอิบนุอุมัร !!!

ท่านอิบนุมัสอูด ได้ใช้ให้มีการเล่าเรื่องราวต่างๆที่เป็นสิ่งที่สอนใจ ในทุกๆวัน พฤหัส และทำการเพิ่มตะชะฮุด ผมไม่ทราบว่า ท่านอิบนุมัสอูดอยู่ในหนทางของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีหรือเปล่า?

สายรายงานดังกล่าว ได้รายงานโดยท่านอิมามอะหฺมัด ซึ่งท่านอะหฺมัดนั้น อนุญาติให้ทำการอ่านตัลกีนมัยยิด ผมสงสัยว่าท่านอะฮ์หมัด เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางของอิสลาม ตามทัศนะของวะฮาบีย์หรือเปล่า??

สายรายงานดังกล่าว ได้รายงานโดยท่าน อัล-หากิม ซึ่งท่านหากิมนั้น ทำการอ่านกุนูต ในซุบหฺ แล้วท่านหากิม เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางของอัลเลาะฮ์ ตามทัศนะของวะฮาบีย์หรือเปล่า?

ท่านอิมามอัล-บุคอรีย์ จะทำการละหมาด สองร่อกะอัตที่กุบูรของท่านนบี(ซ.ล.) เมื่อได้รายงานหะดิษใดหะดิษหนึ่ง แล้วท่านอิมามอัล-บุคคอรีย์ เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในหนทางของอัลเลาะฮ์ ตามทัศนะของวะฮาบีย์หรือไม่?

อิมาม อัล-บุคอรีย์ ได้ตีความคำว่า "หัวเราะของอัลเลาะฮ์" โดยมีความหมายว่า "ความเมตตา" ไม่ทราบว่า ท่านอิมามอัล-บุคคอรีย์ เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีย์หรือเปล่า?

ดังนั้น ในเรื่องมัซฮับนั้น มันเกี่ยวข้องกับอายะฮ์ดังกล่าวนี้หรือไม่ ?


ปัจจุบันนี้ ถือว่าความน่าเป็นห่วงอย่างมาก ที่มีบางกลุ่ม พยายามอธิบายอัลกุรอาน เพื่อตอบสนองแนวทางของตน โดยที่บรรดาปวงปราชญ์นักอธิบายอัลกุรอาน ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เราสมควรที่จะเชื่อในอัลกุรอานก่อน แล้วก็นำมันมาอธิบายให้ตรงกับเป้าหมายของอายะฮ์ต่างๆเหล่านั้น หากว่าเราเอาอุดมการณ์ของตนเป็นที่ตั้ง แล้วยกอัลกุรอานมาสมบทและสนองกับแนวทางของตนนั้น ย่อมเป็นความไม่ถูกต้องและขัดแย้งกับความเป็นจริง

อายะฮ์ดังกล่าวที่บังอะสันยกอ้างอิงมานี้ ไม่มีนักปราชญ์ท่านใดของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ที่กล่าวว่า อายะฮ์ดังกล่าว ชี้ถึงการมีมัซฮับ และชี้ถึงการห้ามมัซฮับ ผู้ที่เอาอายะฮ์ดังกล่าวมาหักล้างหรือคัดค้านเรื่องมัซฮับ เขาย่อมทำการตำหนิบรรดาปวงปราชญ์ของอิสลามเป็นล้านๆ อย่างอุกอาจโดยไม่รู้ และเขาก็สามารถกล่าวได้ว่า บรรดาอุลามาอ์มากมายนักไม่ถ้วนที่มีมัซฮับนั้น ย่อมเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในหนทางที่เที่ยงตรง ซึ่งเป็นหนทางของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)


ดังนั้น หนทางที่เที่ยงตรง ในอายะฮ์ คือ "เรื่องของอากิดะฮ์" ไม่ใช่เรื่องของ "ฟิกห์" หากมันประมวลถึงเรื่องฟิกห์ด้วย ก็แสดงว่า บังอะสันผู้อ้างอายะฮ์ดังกล่าวนี้ ก็จะกล่าวได้ว่า บรรดาอุลามาอ์ในอดีตจากอุมมะฮ์อิสลาม คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในหนทางของอัลเลาะฮ์ ซึ่งคำกล่าวอย่างนี้ ไม่มีผู้ใดพูดและเข้าใจ นอกจาก พวกมุบตะดิอะฮ์ (พวกทำบิดอะฮ์ในขึ้นอิสลามเท่านั้น)
ท่านวะลียุลเลาะฮฺ อัตดะฮฺละวีย์ไว้ ณ ที่นี้เลย ท่านอัดดะฮฺละวีย์กล่าวว่า

إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا ، وفى ذلك من المصالح مالا يخفى ، لا سيما فى هذه الأيام التى قصرت فيها الهمم جدا وأشربت النفوس الهوى وأعجب كل ذى رأى برأيه

ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าวเป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปฏิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุกๆผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าดีด้วยความเห็นของเขา " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮฺ

ดังนั้น อุมมะฮ์อิสลามียะฮ์ ได้ยอมรับในบรรดามัซฮับทั้ง 4 ก่อนที่จะมีแนวทางของวะฮาบีย์ขึ้นมาเสียอีก โดยที่ประชาชาติอิสลามไม่ได้เข้าใจว่า อายะฮ์ดังกล่าวนั้น ได้ทำาการตำหนิถึงการมีมัซฮับ ซึ่งหากวะฮาบีย์คิดว่า อายะฮ์นี้หมายถึงการมัซฮับ ก็หมายความว่า อุมมะฮ์อิสลามก่อนจากแนวทางวะฮาบีย์เกิดขึ้นมานั้น ย่อมอยู่ในความหลงผิดทั้งสิ้น ซุบหานัลลอฮ์ !!! ขออัลเลาะฮ์ทรงปกป้องจากแนวทางของวะฮาบีย์ด้วยเถิด

และอายะฮ์ดังกล่าว ที่กล่าว "แนวทางของฉัน " นี้ ไม่ใช่เรื่องฟิกห์ แต่มันเป็นเรื่องอากิดะฮ์ เหมือนที่ ท่านอัช-ชาฏิบีย์ได้กล่าวรายงานไว้ว่า " ท่านอิบนุบัฏฏอนได้เล่ารายงานไว้ในชัรหฺซ่อเฮี๊ยะหฺอัล-บุคคอรีย์ จากอบูหะนีฟะฮ์ ท่านกล่าวว่า "ฉันได้พบกับ อะฏออฺ บิน อบีร่อบาหฺ ที่มักกะฮ์" ฉันจึงถามเขาจากเรื่องหนึ่ง แล้วท่านอะฏออฺกล่าวว่า "ท่านมาจากใหน ?" ฉันตอบว่า "มาจากกูฟะฮ์" ท่านอะฏอกล่าวว่า "ท่านมาจากหมู่บ้านที่ทำให้แตกแยกกับศาสนาของพวกเขา แล้วพวกเขาแยกเป็นพวกเป็นกลุ่ม ? " ฉันตอบว่า "ใช่" ท่านอะฏออฺถาม "ท่านมาจากจำพวกใหนละ? " ฉันตอบว่า "มาจากผู้ที่ไม่ด่าทอสะลัฟ ฉันศรัทธาด้วยก่อดัร(การกำหนดสภาวะของอัลเลาะฮ์) และไม่กล่าวกุฟุรกับผู้ใด เนื่องจากการทำบาปของเขา" ดังนั้น ท่านอะฏออฺกล่าวว่า "ท่านเป็นที่รู้จักแล้ว ฉะนั้น ท่านจงดำรงมั่นมันไว้"

และที่แบ่งออกเป็น 73 พวกนั้นคือเรื่องอากิดะฮ์ ไม่ใช่เรื่องฟิกห์ และไม่มีนักปราชญ์ท่านใด นำมัซฮับทั้ง 4 เข้าไปอยู่ใน กลุ่มผู้ที่ลงนรกเลยแม้แต่น้อย แล้วบังอะสันเอาอายะฮ์ดังกล่าวมาโจมตีเรื่องการมีมัซฮับได้อย่างไร และเอามาตรฐานใดมาตัดสินว่า มันชี้ถึงการห้ามมีมัซฮับ และหากการขัดแย้งในวิชาฟิกห์นั้น เป็นการขัดแย้งที่อัลกุรอานได้ห้ามให้มีการขัดแย้ง แน่นอนว่า ผู้ที่เป็นบุคคลแรกที่ขัดกับอายะฮ์ดังกล่าวนี้ คือ บรรดาซอฮาบะฮ์ (ร.ฏ.)

เช่นท่าน อุมัร มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ท่าน อลี ก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ท่านอิบนุอับบาสมีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ อุมัร ก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งพวกเขามีความเห็นที่ขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาแต่ประการใดเลยแม้แต่น้อย

เช่น ท่าน อิบนุอับบาส มีทัศนะว่า "การถูกผิวหนังสตรีที่แต่งงานได้นั้น ไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด นอกจากร่วมประเวณี แต่ท่าน อิบนุอุมัรมีทัศนะว่า "การกระทบผิวหนังสตรีที่แต่งงานได้นั้น ทำให้เสียน้ำละหมาด" ผมอยากถามว่า การขัดแย้งในประเด็นฟิกห์ของทั้งสองท่านนี้ ทำให้เกิดความแตกแยกกันหรือไม่? และเป็นมูลเหตุทำให้เกิดความแตกแยกกันหรือไม่? ตอบ ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าการขัดแย้งทางด้านฟิกห์นี้ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกแต่ประการใด นอกจากวะฮาบีย์

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์มีความเห็นพร้องกับท่านอิบนุอุมัร และท่านอบูหะนีฟะฮ์มีความเห็นพร้องกับท่านอิบนุอับบาส ผมอยากถามว่า การขัดแย้งประเด็นของฟิกห์นี้ ทำให้เกิดความแตกแยกหรือไม่ ? และพวกเขาได้ชื่อว่า อยู่นอก"แนวทางของอัลเลาะฮ์ที่เที่ยงตรง"หรือไม่? หากบังอะสัตอบว่าไม่ ผมก็อยากถามว่า แล้วคนเอาวามที่ตักลีดมัซฮับของท่านทั้งสองนั้น คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลเลาะฮ์กระนั้นหรือ?

ท่านอุมัรมีทัศนะว่า "ชายใดที่ทำการแต่งงานกับหญิงผู้หนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงอิดดะฮ์นั้น" เขาจะถูกห้ามแต่งงานกับผู้คนนั้นตลอดไป "เพราะผู้ใดที่ทำการสิ่งหนึ่งก่อนถึงเวลาของมันนั้น เขาย่อมถูกลงโทษด้วยการห้ามกับมันตลอดไป" เช่นลูกฆ่าพ่อเพื่อได้รับมรดก เป็นต้น แต่ท่าน อลี กล่าวว่า ต้องแยกทั้งสองออกจากกัน และเมื่อหมดอิดดะฮ์แล้ว ก็สามารถแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมอยากถามบังอะสันว่า การขัดดังกล่าว ต้องทำให้อุมมะฮ์อิสลามต้องแตกแยกหรือไม่? และมันเป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือไม่?

ท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์ มีทัศนะว่า วายิบต้องอ่านบิสมิลลาห์ ในซูเราะฮ์อัล-ฟาติหะฮ์ ในละหมาด แต่อิมาม อบูหะนีฟะฮ์มีทัศนะว่า ไม่วายิบ ซึ่งการขัดแย้งของอิมามทั้งสองนี้ เป็นมูลเหตุของการทำให้แตกแยกหรือไม่?

อิมามอัช-ชาฟิอีย์มีทัศนะว่า ในละหมาดที่อิมามอ่านเสียงดังนั้น มะมูมต้องอ่านอัลฟาติหะฮ์ในทุกๆร่อกะอัต แต่อิมามอบูหะนีฟะฮ์กล่าวว่า มะมูมไม่ต้องอ่าน ผมอยากทราบว่า การขัดแย้งทั้งสองทัศนะนี้ มันเป็นมูลเหตุให้เกิดความแตกแยกหรือไม่?

ตัวอย่างที่ผมกล่าวมานี้ คือการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์ และการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยก หากการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์เป็นมูลเหตุทำให้เกิดความแตกแยกนั้น แน่นอนว่า ผู้ที่กระทำผิดต่ออายะฮ์ดังกล่าว คือ บรรดาซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิหฺ ซึ่งดังกล่าวนี้ การกล่าวว่าการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์เป็นมุลเหตุทำให้เกิดความแตกนั้น จะไม่มีผู้ใดกล่าวอย่างนี้ นอกจาก ผู้บิดอะฮ์เท่านั้น


แล้วผู้ใดบอกครับ ว่าแนวทางการวินิจฉัยของอิมามทั้งสี่นั้นไม่ใช่มัซฮับ หรือไม่เรียกว่ามัซฮับ อิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวคำที่เลื่องลือของท่านว่า

إذا صح الحديث فهو مذهبى

ความว่า "เมื่อหะดิษซอฮิหฺ มันย่อมเป็นมัซฮับของฉัน"

พิจารณาซิครับบังอะสัน อิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า "มัซฮับของฉัน" นั่นก็ย่อมหมายความว่า การวินิจฉัยของอิมามอัช-ชาฟิอีย์ที่มาจากตัวบทของศาสนานั้น ก็คือ "มัซฮับ" นั่นเอง แล้วทำไมเราจะตามมัซฮับที่อุมมะฮ์อิสลามยอมรับไม่ได้ ดังนั้น มัซฮับทั้ง 4 เป็นที่ยอมรับของอุมมะฮ์อิสลาม นอกจาก วะฮาบีย์ เท่านั้น ที่กล่าวว่า มัซฮับ เป็นบิดอะฮ์

อ้างจาก บังอะสัน

อายะฮนี่ แสดงให้เห็นว่า แนวทางแห่งศาสนาอิสลาม นั้นมีหนึ่งเดียว ไม่มีหลายๆแนวทาง เพราะการแตกเป็นหลายๆแนวทางนั้น เป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งและแตกแยก

วิจารณ์

อายะฮ์แสดงให้เห็นว่า แนวทางแห่งศาสนาอิสลาม ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ก็คือ ในเรื่อง "อากิดะฮ์" ไม่ใช่เรื่องฟิกห์ ที่เป็นข้อปลีกย่อย จนเกิดมัซฮับขึ้นมา เช่นเรื่อง การอาบน้ำละหมาด ไม่มีมัซฮับใดที่กล่าวว่า ไม่วายิบต้องอาบน้ำละหมาด เนื่องจากว่า มันเป็นประเด็นหลักฐาน แต่พวกเขาขัดแย้งกันเรื่องการการเสียน้ำละหมาดเท่านั้นเอง การประเด็นเรื่องการเสียน้ำละหมาดนั้น มันเป็นประเด็นข้อปลีกย่อยเท่านั้น ซึ่งเป็นใช่เป็นมูลเหตุในการทำให้เกิดการแตกแยกแต่ประการใด

เรื่องการละหมาด บรรดามัซฮับต่างๆ บอกว่าฟัรดูต้องละหมาด แต่รุกุ่นละหมาดมีอะไรบ้าง และอะไรบ้างของละหมาดที่เป็นวายิบ เป็นสุนัต เป็นสิ่งที่ทำให้เสีย สิ่งเหล่านี้ย่อมมีความขัดแย้งกันในรายละเอียด ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดการขัดแย้งแต่ประการใด

ดังนั้น อายะฮ์ดังกล่าวนี้ ย่อมตำหนิเกี่ยวกับ การแตกแยกในเรื่องของ "อากิดะฮ์" ไม่ใช่ในเรื่องของฟิกห์ ซึ่งหากการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์เป็นมูลเหตุของการขัดแย้งแล้ว บรรดาซอฮาบะฮ์คือกลุ่มแรกที่ขัดต่ออายะฮ์ 6.153 ดังกล่าวอย่างแน่นอน และไม่มีผู้ใดพูดหลักการอย่างนี้ นอกจาก พวกบิดอะฮ์

อ้างจากบังอะสัน

และการแบ่งศาสนาป็นหลายนิกาย ก็เป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง

วิจารณ์

การแบ่งนิกายในเรื่องอากิดะฮ์ ย่อมเป็นมูลเหตุของการขัดแย้งอย่างแน่นอน แต่การมีมัซฮับย่อมไม่ใช่เป็นมูลเหตุแห่งการขัดแย้ง ซึ่งทัศนะของบรรดาอิมามทั้งสี่นั้น ก็คือ มัซฮับ อย่างเช่นอิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า "มัซฮับของฉัน " คือ เมื่อมีหะดิษที่ซอฮิหฺ นั่นคือ มัซฮับของฉัน" หากการมีมัซฮับเป็นมูลเหตุที่นำไปสู่การแตกแยกแล้ว แน่นอนเหลือเกินว่า อิมามทั้งสี่ ย่อมเป็นชนกลุ่มแรกที่เป็นมูลเหตุในการสร้างความแตกแยกไปประชาชาติอิสลาม ซึ่งดังกล่าวนี้ ย่อมไม่มีผู้พูดอย่างนั้น นอกจากพวกบิดอะฮ์

แล้วอะไรคือมูลเหตุการของแตกแยกครับ ตอบ มูลเหตุของการแตกแยกนั้น คือ "การตะอัศศุบ" " ความคลั่งใคล้" ในแนวทางของตน หรือ ในทัศนะใดทัศนะหนึ่งของตน ความตะอัศศุบ นี้เช่น เชื่อว่าแนวทางของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ส่วนทัศนะหรือแนวทางอื่นนั้นผิด เป็นบิดอะฮ์ ตกนรก เช่นกล่าวว่า อ่านอ่านกุนูตนั้นเป็นบิดอะฮ์ตกนรก เนื่องจากแนวทางของฉันที่ไม่อ่านกูนูตผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง การอ่านตัลกีนมัยยิดเป็นบิดอะฮ์ตกนรก ซึ่งจากแนวทางของฉันที่ไม่อนุญาติให้อ่านตัลกีนเท่านที่ถูกต้อง ผู้อื่นจากพวกเราที่กระทำย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่เป็นบาป นี่แหละคือความหมายของพฤติกรรมที่ตะอัศศุบ และไม่มีความหมายที่ชี้ถึงตะอัสศุบนอกจาก พฤติกรรมเฉกเช่นดังกล่าวนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความแตกแยกในสังคมจึงเกิดขึ้น เนื่องจาก มีกลุ่มหนึ่ง ตะอัศศุบ คลั่งใคล้ เชื่อว่า แนวทางของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง แนวทางอื่นๆเป็นบิดอะฮ์ตกนรก และแนวทางที่ตะอัศศุบนี่แหละที่เขาเรียกว่า "นิกาย" เช่ น "นิกาย......??"(คือนิกายที่กล่าวว่าแนวทางของกูเท่านั้นที่ถูกแนวทางอื่นบิดอะฮ์ตกนรก)


อ้างจากบังอะสัน

และ อิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้เป็นตัวการแบ่งนิกาย นิกายคือ สิ่งที่พวกตะอัศศุบมัซฮับอุปโลกน์ขึ้นมา แล้วอ้างอีหม่ามทั้งสี่

วิจารณ์

ฮ้าๆๆ ไม่นึกว่า บังอะสันจะพูดออกมาอย่างไร้ความเข้าใจอย่างนี้ บรรดาอิมามทั้งสี่ เช่น อิมามอัช-ชาฟิอีย์ ก็ได้บอกว่า "มันคือมัซฮับของฉัน" ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ได้ทำการวินิจฉัยหุกุ่มจากบทบัญญัติของศาสนา และการวินิจฉัยของอิมามทั้งสี่เหล่านั้น เขาเรียกว่า "มัซฮับ" และบรรดาสานุศิษย์ของบรรดาอิมามเหล่านั้น ก็ไม่ได้อุปโลกน์หุกุ่มขึ้นมาแล้ว อ้างถึงอิมามทั้งสี่ ซึ่งบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้น ได้ทำการรายงานบันทึกคำกล่าวของบรรดาอิมามเหล่านั้น และได้ถ่ายทอดจนมาถึงปัจจุบัน และบรรดาอิมามทั้งสี่เอง ก็ได้บันทึกหรือบอกให้บันทึกกับมัซฮับของท่านเป็นตำราขึ้นมา แล้วสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน เช่นหนังสือ อัล-อุม หนังสือ อัรริซาละฮ์ ของอิมามอัช-ชาฟิอีย์ เป็นต้น

คำว่า "มัซฮับ" หมายถึง ทางหรือแนวทางที่นำมาใช้เพื่อเข้าไปสู่การวินิจฉัยตัวบทได้ หรืออีกความหมายถึงในเชิงวิชาฟิกห์ หมายถึง หลักการหรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ทำการวินิจฉัย วิจัยและทำความเข้าใจกับตัวบทอัลกุรอานและอัลหะดิษ เช่นหลักการในการวินิจฉัยพื้นฐานวิชาฟิกห์ (ผมจะกล่าวแบบสรุปนะครับ) คือ อิมามชาฟิอีย์ ถือว่า มัฟฮูมอัลมุคอละฟะฮฺ (مفهوم المخالفة )(ความเข้าใจในมุมกลับ)ใช้มาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตัวบทได้ อิมามหะนะฟีย์ไม่ถือว่ามาเป็นหลักฐาน อิมามชาฟิอีย์ถือว่าการคำสั่งใช้นั้น ให้กับการล้าช้าได้ แต่หะนะฟีย์กล่าวว่า ต้องรีบ อิมามชาฟิอีย์ถือว่าการกระทำของชาวมะดีนะอฺนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ แต่อิมามมาลิกนั้นได้ และอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับหลักพื้นฐานของฟิกห์ ที่เป็นแนวทางหรือมัซฮับของแต่ละอิมามในการวินิจฉัยหุกุ่ม และแนวทางแบบนี้หรือมัซฮับของอิมามทั้งสี่เหล่านี้ ที่เกี่ยวกับหลักพื้นฐานของฟิกห์ในการวินิจฉัยหุกุ่มนั้น บรรดาสานุศิษย์ของพวกเขา ก็ทำการวินิจฉัยหุกุ่มต่างๆที่เกิดขึ้นมาใหม่มากมายหลังจากอิมามทั้งสี่ โดยพวกเขาใช้หลักการวินิจฉัยของอิมามทั้งสี่ โดยเป็นมัซฮับขึ้นมา

เช่น อิมามนะวาวีย์ได้ยึดนำมาเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัยของอิมามชาฟิอีย์ ฉะนั้นอิมามนะวาวีย์จึงเป็นอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอีย์ และได้แต่งหนังสือมากมายเกี่ยวกับฟิกห์มัซฮับชาฟิอีย์ เช่นหนังสือ อัลมินฮาจญฺ หนังสือ เราเฏาะตุฏฏอลิบีน และหนังสืออัลมัจญฺมั๊วะ ดังนั้น อาจารย์อะสันเข้าใจคำว่ามัซฮับหรือยังครับ หากอิมามชาฟิอีย์เข้าใจแล้ว ทีหลังก็อย่าไปบอกว่า เราสังกัดมัซฮับนบีมุหัมมัด(ซ.ล.)นะครับ จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียใจ ที่มีอุลามาอฺสะละฟีย์พยายามบอกคนเอาวามทั่วไปและเก็บเกี่ยวจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนเอาวามว่า เราต้องสังกัดมัซฮับนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) ซึ่งทำให้คนทั่วไปหลงเข้าใจผิด และหลังเข้ามาอยู่มัซฮับสะละฟีย์ที่อุตริกรรมขึ้นมาใหม่

คำพูดของอาจารย์ชาฟิอีย์นี้ ชี้ให้เห็นว่าบรรดามัซฮับนั้น ต่างมีความการแข่งขันกัน จนต้องบันทึกเขียนตำราขึ้นเพื่อสนับสนุนแนวทางของตน จนกระทั้งอาจารย์อะสันเคยกล่าวว่า มัซฮับเกิดขึ้นเพราะการเมือง!! ผมไม่ทราบว่าเอาหลักฐานมาจากใหน ? หรือว่าพูดขึ้นมาเพราะตามอุลามาอฺมัซฮับสะละฟีย์ที่บิดอะฮฺอุตริกรรมขึ้นมาใหม่ ด้วยความอัคติกับมัซฮับทั้งสี่ หรือผู้ที่สังกัดมัซฮับทั้งสี่

ความจริงมัซฮับนั้น ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยซอฮาบะฮฺแล้ว คือมัซฮับ อะฮฺลุลหะดิษ และมัซฮับอะฮฺลุรเราะอฺ มัซฮับอะฮฺลุลหะดิษนั้นจะอยู่ที่หิยาซ คือที่มักกะฮฺและนครมะดีนะฮฺเป็นต้น ที่มะดีนะฮฺก็มีท่าน ซัยดฺ บิน ษาบิต และท่านอิบนุอุมัร เป็นต้น บรรดาสานุศิษย์ของพวกเขา ก็เช่น สะอีด บิน อัลทุซัยยับ อุรวะฮฺ บิน อัซซุบัยรฺ กอซิม บิน มุหัมมัด บิน อบีบักร เป็นต้น ที่มักกะฮฺก็จะมีท่าน อิบนุ อับบาส สานุศิษย์ของท่านก็คือ อัลอิกริมะฮฺ ท่านอะฏออฺ บิน อบีริบาหฺ เป็นต้น และมัซฮับอะฮฺลุรเราะอฺนั้น จะอยู่ที่ กูฟะฮฺ อิรัก ก็มีท่าน อิบนุมัสอูด ท่านมีสานุศิษย์ก็คือ อัลเกาะมะฮฺ บิน กัยสฺ มัสรูก บิน อัจญฺดะอฺ อัลอัสวัด บิน ยะซีด เป็นต้น เป็นที่ทราบดีว่า บรรดาซอฮาบะฮฺนั้น พวกเขาไม่ใช่นักฟัตวา หรือนักมุจญฺฮิดไปหมดทุกคน และในเรื่องศาสนานั้น ไม่ใช่ว่าจะเอามาจากบรรดาซอฮาบะฮฺทั้งหมดไปเสียทุกคนเช่นกัน ดังนั้นบรรดาซอฮาบะฮฺทั่วไปที่ไม่ถึงขั้นวินิจฉัยได้ ก็จะตักลีดตามบรรดาซอฮาบะฮฺที่ทรงความรู้และสามารถฟัตวาและวินิจฉัยได้

ชาวนครมะดีนะฮฺก็จะตักลีดตามท่านซัยดฺบินษาบิตและท่านอิบนุอุมัร เป็นต้น ชาวมักกะฮฺก็ตักลีดตามหุกุ่มของท่านอิบนุอับบาส เป็นต้น และชาวกูฟะฮฺอิรักก็ตักลีดตามท่านอิบนุมัสอูด เป็นต้น การที่เรียกว่า มัซฮับอะฮฺลุลหะดิษนั้น เนื่องจากว่า ในบริเวนแถบหิยาซฺ คือมักกะฮฺและมะดีนะฮฺนั้น จะสามารถรับหะดิษได้มากกว่าที่กูฟะฮฺอิรัก เนื่องจากเป็นสถานที่ลงวะหฺยู และบรรดาซอฮาบะฮฺอาศัยอยู่นั่นมาก ซึ่งแตกต่างกับที่กูฟะฮฺอิรัก ที่ได้รับหะดิษน้อยกว่าที่นครมะดีนะฮฺ และมีพวกบิดอะฮฺที่ชอบกุหะดิษมากกว่า ด้วยเหตุเช่นนี้ พวกเขาจึงมีความเข้มงวดในการรับหะดิษ เมื่อปัญหาหนึ่งไม่มีตัวบทหะดิษมายืนยัน พวกเขาก็จะทำการกิยาสให้ความเห็น พวกเขาจึงถูกเรียกว่า อะฮฺลุลเราะอฺ แต่ก็นครมะดีนะฮฺก็ใช้กิยาสเช่นเดียวกันแต่ก็จะน้อยมาก

คนเอาวามทั่วไปที่ไม่มีความสามารถเข้าใจหลักการในการวินิจฉัยและเข้าใจอัลกุรอานและหะดิษนั้น ก็ให้เขาตามอุลามาอฺมุจญฺฮิดผู้ทรงความรู้ ก็เท่ากับว่าเขาได้ตามอัลกุรอานและซุนนะฮฺแล้วครับ ในสิ่งดังกล่าวนั้น ท่านอัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวไว้ว่า

فتاوى المجتهدين بالنسبة إلى العوام ، كالأدلة الشرعية بالنسبة إلى المجتهدين والدليل عليه أن وجود الأدلة بالنسبة الى المقلدين وعدمها إذا كانوا لا يستندون منها شيئا . فليس النظر فى الأدلة والإستنباط من شأنهم ولا يجوز ذلك لهم البتة ، وقد قال تعالى فأسألوا أهل الذكر إن كنتم لا تعلمون) والمقلد غير عالم فلا يصح له إلا سؤال أهل الذكر، وإليهم مرجعه فى أحكام الدين على الإطلاق، فهم إذاً القائمون له مقام الشرع، وأقوالهم قائمة مقام الشارع

ความว่า " บรรดาฟัตวาของบรรดาอุลามาอฺมัจญฺตะฮิด โดยคำนึงของคนเอาวามทั่วไปนั้น เปรียบเสมือนบรรดาหลักฐานตามหลักศาสนา โดยพาดพิงไปยังอุลามาอฺมุจญฺติฮิดีน หลักฐานยืนต่อมัน(สิ่งดังกล่าว) คือ การมีหลักบรรดหลักฐานหรือไม่มี โดยคำนึงถึงคนบรรดามุก๊อลลิดนั้น เมื่อพวกเขาไม่สามารถอ้างอิงหลักฐานอะไรได้ (คือไม่สามารถอ้างอิงหลักฐานถึงหุกุ่มนั้นได้) ดังนั้นการพิจารณาในหลักบรรดาหลักฐานและการวินิจฉันหุกุ่มนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของพวกเขา และไม่อนุญาติสิ่งดังกล่าวให้กับพวกเขาโดยเด็ดขาด โดยที่อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า " ดังนั้น พวกเจ้าจงถามผู้มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ " และคนมุก๊อลลิดคือคนที่ไม่มีความรู้ ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องสำหรับเขา นอกจากถามบรรดาผู้รู้มุจญฺฮิดเท่านั้น และไปยังพวกเขานั้น(คือมุจญฺตะฮิด) ย่อมสิ่งที่อ้างอิงของเขา(มุก๊อลลิด) ในบรรดาหุกุ่มต่างๆของศาสนาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ดังนั้นพวกเขา(มุจญฺติฮิด) คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งของหลักการศาสนาสำหรับคนมุก๊อลลิด และบรรดาคำพูดของพวกเขานั้น(อุลามาอฺมุจญฺฮิด)อยู่ในตำแหน่งของผู้บัญญัติศาสนา(สำหรับคนมุก๊อลลิด)" ดู หนังสือ อัล-มุวาฟิก๊อด เล่ม 4 หน้า 290 - 292

ท่านอิมาม อัลเกาะรอฟีย์ ได้กล่าวในหนังสือ ชัรหฺ ตันกีหฺ อัลฟุซูล ของท่าน ในบทที่ 19 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง อัลอิจญฺฮาด ท่านกล่าวว่าไว้ว่า

مذهب مالك وجمهور العلماء رضى الله عنه وجوبه وإبطال التقليد لقوله تعالى (فاتقوا الله ما استطعتم)
وقد إستثنى مالك رحمه الله من ذلك أربع عشر صورة لأجل الضرورة الأولى : قال إبن القصار قال مالك : يجب على العوام تقليد المجتهد فى الأحكام كما يجب على المجتهدين الإجتهاد فى أعيان الأدلة وهو قول جمهور العلماء خلافا لمعتزلة بغداد

ความว่า " มัซฮับของอิมามมาลิก และอุลามาอฺส่วนมาก (ร.ฏ.) นั้น วายิบต้องอิจญฺฮาด และห้ามการตักลีด เพราะอัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า " ดังนั้น สูเจ้าจงยำเกรงต่อพระองค์เท่าที่สุดความสามารถ " โดยที่แท้จริง อิมามมาลิก (ร.ห.) ได้ยกเว้นจากสิ่งดังกล่าว ถึง14รูปแบบด้วยกัน อันเนื่องจากความจำเป็น คือประการที่หนึ่ง ท่านอิบนุ อัลก๊อซซอรกล่าวว่า อิมามมาลิกได้กล่าวว่า จำเป็นต่อคนเอาวามทั่วไป ทำการตักลีดมุจญฺฮิด ในบรรดาหุกุ่มต่างๆ ซึ่งเฉกเช่นเดียวกันกับการจำเป็นต่อบรรดานักมุจญฺฮิด โดยการวินิจฉัยจากบรรดาตัวหลักฐานต่างๆ และมันก็คือคำกล่าวของอุลามาอฺส่วนใหญ่ โดยที่ขัดแยังกับ กลุ่มมั๊วะตะซิละฮฺ ที่บุฆดาด " ดู หน้า 337 ตีพิมพ์ที่ ดารฺ อัลฟิกรฺ ปีที่ 2003 - 1424 และหน้า 430 ตีพิมพ์ ที่บริษัท เฏาะบาอะฮฺ อัลอาละมียะฮฺ
อิบนุ อัลก๊อยยิม กล่าวอีกเช่นกันว่า

الفائدة العشرون: لا يجوز للمقلد أن يفتي في دين الله بما هو مقلد فيه و ليس على بصيرة فيه سوى أنه قول من قلده دينه و هذا إجماع من السلف كلهم و صرح به الإمام أحمد و الشافعي رضي الله عنهما،

ความว่า " ผลประโยชน์ที่20 ไม่อนุญาติให้กับคนมุก๊อลลิดทำการฟัตวาในศาสนาของอัลเลาะฮฺ ด้วยกับสิ่งที่เขาตักลีดตามอยู่โดยที่เขาไม่มีความรู้เห็นแจ้งในมัน นอกเสียจากมันเป็นคำพูดของอุลามาอฺผู้ที่เขาได้ตักลีดตามเกี่ยวกับศาสนาของอัลเลาะฮฺ และนี้ก็คือมติเอกฉันท์จากอุลามาอฺสะลัฟทั้งหมด และอิมามอะหฺมัดและอิมามชาฟิอีย์(ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 175 ตีพิมพ์ที่ อัสสะอาดะฮฺ

อ้างจากบังอะสัน

ผมขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อผมสอนศาสนา ผมก็อ้างอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เสมอ

วิจารณ์

ผมอ้างมากบังอะสันเสียอีก ฮ้าๆๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า อ้างอัลกุรอานและหะดิษ แล้วอธิบายโดยสนองอุดมการณ์ของตนเองนั่นซิครับ มันผิดหลักการของศาสนา

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 10:54 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากน้อง al-farook
ท่านอัดดะฮฺละวีย์กล่าวว่า

إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا ، وفى ذلك من المصالح مالا يخفى ، لا سيما فى هذه الأيام التى قصرت فيها الهمم جدا وأشربت النفوس الهوى وأعجب كل ذى رأى برأيه

ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าวเป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปฏิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุกๆผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าดีด้วยความเห็นของเขา " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮฺ
……………………….
ตอบ
น้องบ่าวครับ คำว่า “แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว” อยากจะถามว่า ได้บันทึกไว้ในอัลกุรอ่าน หรือ อัสสุนนะฮ หรือเปล่า แล้วสิ่งที่บันทึกที่ว่า วาญิบจะต้องสังกัดหรือเปล่า ? เพราะถ้าเป็นศาสนาบัญญัติ ว่า ศาสนาอิสลาม แบ่งออกเป็น สี่มัซฮับ แน่นอนสิ่งนี้ต้องมาจาก อัลลอฮและรอซูล (ศอลฯ) คำว่า “มัซฮับ”คือ แนวคิด หรือ ทัศนะของอุลามาอ ที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวกับศาสนา การมีมุมมองหรือทัศนะในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ที่เกี่ยวกับศาสนาที่ต่างกันนั้นเป็นเรื่องปกติวิสัยของมนุษย์ แต่การปฏิบัติตามในเรื่อง ศาสนาในทุกประเด็นนั้น ต้องมีหลักฐาน เพราะแนวคิดหรือ มัซฮับ ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับสิทธิพิเศษจากอัลลอฮและรอซูล ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะมาแบ่งศาสนา เป็น 4 นิกาย
และอัลลอฮซุบฮานะฮูวะตาอาลา ก็ทรงแจ้งให้ทราบว่า ชาวยะฮูดีและนะศอรอนั้น พวกเขาได้แยกออกเป็นนิกาย จนเป็นเหตุให้เกิดการขัดแย้งและแตกแยกกัน ดังโองการข้างล่าง

إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً لَّسْتَ مِنْهُمْ فِي شَيْءٍ إِنَّمَا أَمْرُهُمْ إِلَى اللّهِ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُواْ يَفْعَلُونَ
[6.159] แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน- อันอันอาม/159
และอีกโองการหนึ่งคือ

وَلاَ تَكُونُواْ مِنَ ٱلْمُشْرِكِينَ (31) مِنَ ٱلَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً كُلُّ حِزْبٍ بِمَا لَدَيْهِمْ فَرِحُونَ)) (الروم:31-32)
และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี (31) (คือ) ในหมู่ผู้แบ่งแยกศาสนาของพวกเขาออกเป็นนิกายต่าง ๆ และแต่ละหมู่คณะก็พอใจต่อสิ่งที่พวกเขามีอยู่

และโองการข้างต้นอัลลอฮประทานมาก็เพื่อเตือนมุสลิมทั้งหลายไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างพวกยะฮูดีและนะฮศอรอ และพวกมุชริกีน เพื่อไม่ให้มุสลิมแบ่งศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ ดังพวกนั้น และพระองค์ทรงให้ท่านนบีประกาศว่า อิสลามนั้นมีแนวทางเดียว คือ แนวทางของอัลลอฮ ดังโองการข้างล่าง

وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง

และเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮูอะลัยฮิวะศอ็ลลัม ก็อธิบาย เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยการวาดรูปให้เห็นเด่นชัดขึ้นดังหะดิษ

وقال الإمام أحمد بن حنبل عن عبد اللّه بن مسعود رضي اللّه عنه قال‏#8207; خط رسول اللّه صلى اللّه عليه وسلم خطاً بيده ثم قال‏#8207; ‏(‏هذا سبيل اللّه مستقيماً‏)‏، وخط عن يمينه وشماله ثم قال‏#8207; ‏(‏هذه السبل ليس منها سبيل إلا عليه شيطان يدعو إليه‏)‏، ثم قرأ‏#8207; ‏{‏وأن هذا صراطي مستقيماً فاتبعوه ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله‏}‏ ‏"‏رواه أحمد والحاكم والنسائي، وقال الحاكم‏#8207; صحيح ولم يخرجاه‏

ท่านอิหม่ามอะหมัด บุตร หัมบัล ได้รายงานจาก อับดุลลอฮ บุตรมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เขากล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่ง ด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ แนวทางของอัลลอฮ อันเที่ยงตรง” และท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวาและด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า “นี้คือ หลายๆทาง ซึ่งไม่มีแนวทางใดจากหลายๆทางนั้น นอกจากมีชัยฏอน เชิญชวน ไปสู่แนวทางนั้น แล้วท่านก็อ่านอายะฮที่ว่า “ และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์” – รายงานโดย อะหมัด อัลหากิมและอัลนะสาอีย์ และอัลหากิม กล่าวว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ โดยที่อิหม่ามบุคอรีและมุสลิม ไม่ได้บันทึกมันไว้ – ดูมุคตะศอ็รตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอันอันอาม
........................................
หลักการพิจารณาบทเรียนจากอัลกุรอ่านนั้น น้องเคยอ้างไม่ใช่หรือว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

การพิจารณาบทเรียน นั้น โดยอาศัยความหมายของถ้อยคำโดยรวม ไม่ใช่ด้วยการจำกัดที่สาเหตุ
………….

…………….
ถึงบังอะสันจะเป็นเด็กชนบท และเรียนมาจากปอเนาะบ้านนอก ไม่จบปริญญาโทจากนอก บังคิดว่า เรื่องอย่างนี้ หากไม่มีหมอกมาบังตาใจ มันเข้าใจไม่ยากหรอกครับ
.....................
วัสสลาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 1:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้องอัล-ฟารุกกล่าวว่า

บังอะสันแปลคำว่า
وَالظَّاهِر أَنَّ الْآيَة عَامَّة فِي كُلّ مَنْ فَارَقَ دِين اللَّه وَكَانَ مُخَالِفًا لَهُ
"และ เป็นที่ชัดเจนว่า แท้จริงอายะฮนี้ ครอบคลุมถึง ทุกๆผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของอัลลอฮและปรากฏว่าเขาเป็นผู้ที่ขัดแย้งมัน"
ซึ่งความจริงแล้ว บังอะสันแปลผิด คือแปลโดยสนองอารมณ์ของตนเองมากกว่า โดยจะหมายความว่า "มัซฮับนั้น คือการแบ่งแยกศาสนา โดยที่ขัดแย้งกับศาสนา" ซุบหานัลลฮ์ !! ไม่มีใครในโลกเข้าใจอย่างนี้เลย นอกจากพวกบิดอะฮ์ ทั้งที่ความหมายที่ถูกต้องของคำว่า مَنْ فَارَقَ دِين اللَّه وَكَانَ مُخَالِفًا لَهُ นั้น แปลว่า "ผู้ที่แยกตัวออกจากศาสนาและขัดแย้งกับศาสนา" ซึ่งหมายถึง ตกมุรตัดออกจากศาสนาอิสลามแล้วแยกตัวเป็นกลุ่มๆ ลัทธิ แต่บังอะสันกลับเอามัซฮับทั้งสี่ ไปอยู่ในความหมายนี้ด้วยกระนั้นหรือ? แล้วที่บังสอนคนทั่วไปโดยชอบยกอายะฮ์และหะดิษนั้น คงจะยกอายะฮ์แบบนี้และเข้าใจเอาเองแบบนี้ใช่ใหมครับ เฮ้อ.. ผมสงสารคนที่บังอะสันสอนจัง ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับหลักการอะไรบ้างจากคนที่ประกาศว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์และอธิบายโดยสนองอารมณ์ของตนเอง
.................................
ตอบ
มาสไตล์เดิมอีกนะ...แต่ไม่เป็นไร คำว่าที่ว่า “บังอะสันแปลผิด คือแปลโดยสนองอารมณ์ของตนเองมากกว่า โดยจะหมายความว่า "มัซฮับนั้น คือการแบ่งแยกศาสนา โดยที่ขัดแย้งกับศาสนา" ซุบหานัลลฮ์ !!”
..........................
แปลไม่ผิดหรอกครับ เพราะแปลโดยอาศัย คำแปลของตัวบทที่ว่า

إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً لَّسْتَ مِنْهُمْ فِي شَيْءٍ إِنَّمَا أَمْرُهُمْ إِلَى اللّهِ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُواْ يَفْعَلُونَ

[6.159] แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน- อันอันอาม/159
คือ พวกเขาไม่ได้แยกตัวออกจากศาสนาของพวกเขา แต่ พวกเขาแบ่งแยกศาสนาของพวกเขา ออกเป็นนิกาย เช่น โรมันแคธอลิค โปรเตสแตนต์ ออร์โธดอกส์ เป็นต้น

ในตัฟสีรอัสสะอดีย์ ได้อธิบายอายะฮข้างต้นว่า

ودلت الآية الكريمة أن الدين يأمر بالاجتماع والائتلاف، وينهى عن التفرق والاختلاف في أهل الدين، وفي سائر مسائله الأصولية والفروعية

อายะฮอันทรงเกียรตินี้ แสดงให้รู้ว่า แท้จริง ศาสนา ใช้ให้ร่วมกัน และมีความสมานฉันท์ และห้ามการแตกแยกและขัดแย้งกัน ในบรรดาผู้ที่นับถือ ศาสนา ในในบรรดาประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับศาสนา ทั้งที่เป็นหลักการศาสนาและข้อปลีกย่อย - ดูตัฟสีร อัสสะอดีย เล่ม 8 อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
ในตัฟสีรอัลบัฆวีย อธิบายอายะฮข้างต้นว่า
أي: جعلوا دين الله وهو واحد-دين إبراهيم عليه السلام الحنفية-أدياناً مختلفة، فتهود قوم وتنصر قوم، يدل عليه قوله عز وجل: وكانوا شيعا ً، أي: صاروا فرقاً مختلفة وهم اليهود والنصارى في قول مجاهد و قتادة و السدي .

กล่าวคือ พวกเขา ทำให้ ศาสนาของอัลลอฮ ซึ่งเป็นศาสนาหนึ่งเดียว -คือ ศาสนาอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ที่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ให้กลายเป็นศาสนาต่างๆที่แตกต่างกัน แล้ว พวกหนึ่ง เป็นยะฮูดี และพวกหนึ่งเป็นนะศอรอ ซึ่งคำดำรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงสูงส่ง ได้แสดงบอกมันไว้ คือ “และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่างๆ กล่าวคือ พวกเขากลายเป็น พวกที่แตกต่างกัน และพวกเขาคือ พวกยะฮูดี และ นะศอรอ ในทัศนะของ มุญฮิด เกาะตาดะฮและอัสสุดดีย – ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
......................
ผมไม่ได้มีเจตนาว่า อิหม่ามทั้งสี แบ่งแยกนิกาย หรอกครับ ผมต้องการชีให้เห็นว่า การแบ่งแยกศาสนาเป็นนิกายหรือมัซฮับ แล้วพวกนั้นสังกัดนิกายนั้น พวกนี้สังกัดนิกายนี้ นี้มันเป็นพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกับ พวกยะฮูดีและนะศอรอ ที่อัลลอฮกล่าวไว้
และมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากตัฟสีรข้างต้นว่า

وقيل: هم أصحاب البدع والشبهات من هذه الأمة. وروي عن عمر بن الخطاب رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال لعائشة: يا عائشة إن الذين فارقوا دينهم وكانوا شيعاً هم أصحاب البدع والشبهات من هذه الأمة .

มีผู้กล่าวว่า พวกเขาคือ ชาวบิดอะฮ และ พวกที่มีความคลุ่มเครือ(ในศาสนา ) จากประชาชาตินี้ และมีรายงานจากอุมัร บุตร อัลคอ็ฏฏอ็บ(ร.ฏ)ว่า แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิฉะฮว่า แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้น พวกเขาคือ ชาวบิดอะฮและผู้ที่มีความคลุมเครือ(ในศาสนา)จากประชาตินี้
- – ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
และน้อง al-farook อ้างว่า

แล้วผู้ใดบอกครับ ว่าแนวทางการวินิจฉัยของอิมามทั้งสี่นั้นไม่ใช่มัซฮับ หรือไม่เรียกว่ามัซฮับ อิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวคำที่เลื่องลือของท่านว่า

إذا صح الحديث فهو مذهبى

ความว่า "เมื่อหะดิษซอฮิหฺ มันย่อมเป็นมัซฮับของฉัน"
...............
ตอบ
น้องไม่ควรนำท่านอิหม่ามชาฟิอีมาอ้าง เพื่อให้ผู้อ่านเห็นว่า บังอะสัน กำลังกล่าวหา ว่า “ อิหม่ามชาฟิอี แบ่งแยกศาสนา เป็นมัซฮับ”
คำพูดของท่านอิหม่ามชาฟิอีข้างต้น นั้น ท่านต้องการจะบอกว่า แนวทางในการพิจารณาประเด็นปัญหาศาสนา ของท่านคือ หะดิษที่เศาะเฮียะ ไม่ได้หมายความว่า ท่านบอกว่า ท่านอิหม่ามชาฟิอี คือ ผู้ก่อตั้นนิกายหรือ มัซฮับชาฟิอี แล้วเรียกร้องเชิญชวนให้คนมาสังกัดและปฏิบัติตาม อย่างที่ น้องอัล-ฟารุกเข้าใจ
..............................
ขอให้นำเสนอวิชาการมาดีกว่า ที่จะมากล่าวหาผม ขอให้จำไว้ว่า ถ้าผมจะหาประโยชน์เข้าปาก ผมยอมทำตามอารมณ์คนหมู่มากไม่ดีกว่าหรือ ขอย้ำว่า บังอะสันไม่ได้โจมตีเรื่องมัซฮับ หรือ แนวคิดต่างๆที่มีต่อศาสนา บังเพียงแต่ไม่ยอมรับ ว่า ศาสนาอิสลาม แบ่งออกเป็น 4 มัซฮับ แล้วต่างคนต่างก็สังกัด มัซฮับใคร มัซฮับมัน ตามที่ปรากฏให้เห็นในสังคมบ้านเรา พวกคุณไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ยอมแก้ไข แต่กลับมาต่อต้าน กล่าวหา ว่า เป็นสลัฟปลอมอีก
........................
สักวันหนึ่งน้องจะเข้าใจ อินชาอัลลอฮ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 3:28 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณเสือสมิงดำครับ ฉายานี้..เหมาะกับคูณในรูปภาพที่คุณส่งมาครับฮ้าๆๆๆ
.....................
และอายะฮข้างล่างนี้ อัลลอฮสอนว่าอย่างไรครับ


وَلَا تَنَابَزُوا بِالْأَلْقَابِ

และพวกเจ้าอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ - อัลหุญะรอต/11

ถ้าเช่นนั้นคุณก็อย่าเข้ามาสร้างฟิตนะสิ่งที่ผมกำลังนำเสนอซิครับ เพราะคุณเคยห้ามผมก่อนในกระทู้บิดอะฮ์ที่ผมเล่นเจาะจุดอ่อนคุณ คุณเลยขอรน้องผมไม่ให้เข้าไปสนทนา..ฮ้า

อีกอย่างฉายาที่ตั้งนั้น ช่วยไม่ได้ครับ มันเกิดจากการคุณเองที่สร้างฟิตนะด้วยรูปภาพพร้อมกับที่ส่อให้เห็นว่า นั้นคือสัญลักษณ์ที่แท้จริงของคุณ...

คุณก็บอกผมมาซิว่าคุณนั้นไม่ชอบ เพราะโองการนี้ เป็นการห้ามปรามด้วยฉายาที่หยาบคาเท่านั้น...
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 3:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณเสือสมิง

ทุกอย่างที่คุณถามผมหรือด้วยการยกอายะกรุอานมาเพื่อกล่าวสำทับนั้น
----- น้องอัลฟารุก นักศึกษาปริญญาโทรจากอิยิปต์ ได้ตอบและเคลียร์ด้วยการชำระจนขาวสะอาดและครับในสิ่งที่คุณไม่ยอมเข้าใจ..ผมนั้นจะตอบคุณในกรณีคุณตอบคำถามของผมก่อนข้างบนเท่านั้น...
เพราะคุณไม่เคยตอบให้ผมเคลียร์เลยสักที...................
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 3:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณเสื่อสมิงดำ
จากอายะข้างล่าง
ที่คุณยกมาคุณยังไม่ตอบผมเลย

وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ

[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง[/font">
ขอถามคุณเสือสมิงดำเป็นข้อๆ

1..สิ่งที่ยกมานี้มันตรงกับพระประสงค์ของอัลลอฮ์(ซบ)ที่ดำรัสไว้ในอัลกรุอานกับสิ่งที่คุณยัดเยียดหรือกล่าวประนาฌให้กับฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นแบบนั้นโดยเฉพาะในประชาชาติยุคของเรานี้..
..
----ตอบมาด้วยหลักฐานและที่คุณยกมาครับ...ห้ามเอาความคิดตัวเองมาตัดสินครับ

2.คุณเข้าใจเนื้อหาหมดอย่างท่องแท้ในความหมายของอายะที่คุณยกมา ทั้งหมดหรือไม่

-----ตอบมาด้วยอย่าเบี่ยงเบนและเฉไฉอีกละ...

3.ในโองการนี้ลงมาเพื่อมุ่งสำทับหรือโจมตีฝ่ายที่ต่างทัศนะคือพวกเรา หรือผู้ที่ยืนอยู่บนแนวทางของผู้มีความรู้เช่น อีหม่ามทั้ง4 ..


ถ้าตอบไม่ได้ก็ขอให้ยุติการก่อกวนที่มุ่งแต่จะ
สร้างความแตกแยกที่ทัศนะของคุณถนัดนักครับ....ครับ [/font]

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Apr 01, 2006 3:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โทษที..พอดี ยางลมรถมันอ่อนไปนิด...ภาษาเลยเพี้ยน...


คุณเสือสมิงดำ


จากอายะข้างล่าง
ที่คุณยกมาคุณยังไม่ตอบผมเลย

وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ

[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง[/font">
ขอถามคุณเสือสมิงดำเป็นข้อๆ

1สร้างความแตกแยกที่ทัศนะของคุณถนัดนักครับ....ครับ [/font]

wassalam[/quote][/font]
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
หน้า 2 จากทั้งหมด 5

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.17 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ