ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 3)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 3)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 11:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

น้อง al-azhary อ้างว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) เคยท่านถาม มุอาซฺ ในขณะที่ส่งไปเยเมนว่า "ท่านจะทำการตัดสินอย่างไร ? มุอาซกล่าวว่า "ฉันจะตัดสินด้วยกิตาบุลลอฮ์" ท่านร่อซุลกล่าวว่า แล้วท่านไม่พบล่ะ ท่านมุอาซฺตอบว่า "ฉันจะตัดสินด้วย ซุนนะฮ์ของร่อซูลิลลาห์" ท่านร่อซูลถามว่า "หากไม่พบล่ะ" มุอาซฺตอบว่า "ฉันก็จะตัดสินด้วย ความเห็นของฉัน โดยไม่ทำให้บกพร่องเลย
................
(บังอะสัน)ตอบ

น้องเอาหะดิษนี้มาใช้อ้างอิงในการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ นั้น


ตอบ

บังอะสันครับ กระผมนั้นไม่ได้ตั้งใจยกหะดิษเหตุการณ์ของท่านมุอาซฺมาสนับสนุนเรื่องกิยาส เนื่องจากเรื่องกิยาสนั้น ผมและบังมุหัมมัดได้ทำการสนทนารายละเอียดไปแล้วในภาค 2 โน้น ไปกลับอ่านได้ครับ แต่สิ่งที่ผมหยิบยกหะดิษนี้มานั้น เพื่อจะชี้แจงคำกล่าวของคุณอะดีลที่เขากล่าวว่า เราข้ามกระโดยไปเอากิยาสมาเป็นอันดับแรกในการอ้างหลักฐาน.. บังอะสันอ่านดูซิครับ ว่ามันตลกแค่ใหน และผมก็ชี้ไปว่า" การที่เราบรรดาอุลามาอ์อ้างการกิยาสนั้น เนื่องจากเขากลับไปพิจารณา อัลกุรอาน แล้วไม่พบ ก็กลับไปพิจารณาซุนนะฮ์ หากไม่พบก็ไปพิจารณาอิจญฺมาอ์ ซึ่งหากไม่พบ ก็กลับไปพิจารณาเรื่องกิยาส ซึ่งหากมีการกิยาสได้ ก็เอาหลักฐานกิยาส และการเอาหลักฐานกิยาสนี้ " ซึ่งการเรียบเรียงในการอ้างหลักฐานนั้น ต้องเป็นขั้นตอนไป เหมือนกับที่ท่านมุอาซฺได้กระทำ ไม่ใช่ว่า การใช้กิยาสแล้วหมายถึงการมองข้ามอัลกุรอาน แบบนี้เป็นคำพูดของคนไม่เข้าใจศาสนา ซึ่งหากมีหลักฐานอัลกุรอาน หะดิษ และอิจมาอ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กิยาส ดังนั้น เมื่อเราพิจารณาแล้วไม่มี เราก็ใฃ้กิยาส โดยเทียบเคียงกับหะดิษของท่านร่อซูล(ซ.ล.) แล้วบังอะสันพอจะมองออกแล้วหรือยังครับว่า ทำไมผมถึงอ้างเหตุการณ์ของท่านมุอาซฺ(ร.ฏ.)

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 11:25 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กิยาสกันไปเถอะครับ คิดบิดอะฮขึ้นมาแล้วอ้างหลักกิยาส กลับมาบัญญัตหุกุมให้หนำใจเลยน้องบ่าว ให้สมกับเป็นนักเรียนนอก แล้วไถ่บาบละหมาดที่ชาวบ้านเรียกว่า ฟิตยะฮ โดยทำกับทองยื่นกันไปมา นี้กิยาสจากอะไรอีก สมเพทสุดๆ
จบแค่นี้ ไร้สาระสิ้นดี
.............
วัสสลาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 12:06 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

[B]เพิ่มเติม

หะดิษมุอาซที่ว่า
وأخرج أبو داود , والترمذي عن الحارث بن عمرو عن أناس من أهل حمص من أصحاب معاذ { عن معاذ أن رسول الله صلى الله عليه وسلم لما بعثه إلى اليمن قال له : كيف تقضي إذا عرض لك قضاء ؟ قال : أقضي بكتاب الله , قال : فإن لم تجد في كتاب الله ؟ قال : فبسنة رسول الله , قال : فإن لم تجد في سنة رسول الله , ولا في كتاب الله ؟ قال : أجتهد رأيي , ولا آلو , فضرب رسول الله صلى الله عليه وسلم صدره , وقال : الحمد لله الذي وفق رسول رسول الله لما يرضي رسول الله
}
ท่านรซูลส่งท่านมุอาซไปเป็น ไปแคว้นยะมัน แล้วถามว่า

كيف تقضي إذا عرض لك قضاء ؟
ท่านจะตัดสินอย่างไร เมื่อมีคดีถูกเสนอแกท่าน
.....................
...............
นี้มันเกี่ยวกับการอิจญติฮาดในเรื่องการปกครองและการตัดสินคดีความ เมื่อไม่มีในอัลกุรอ่านและหะดิษ ก็ให้ผู้พิพากษาทำการวินิจฉัยอย่างเต็มความสามารถของตน ไม่ใช่เอามาใช้ในเรื่อง การกิยาสในเรื่อง อิบาดะฮ เช่น การกล่าวคำเนียต
ซึ่งสอดคล้องกับหะดิษที่ว่า

أخرج البخاري , ومسلم عن أبي قيس مولى عمرو بن العاص عن عمرو بن العاص أنه سمع رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول : { إذا حكم الحاكم فاجتهد , فأصاب فله أجران , وإذا حكم وأخطأ فله أجر

เมื่อผู้พิพากษา ตัดสินคดี แล้วเขาพยายามวินิจฉัยอย่างเต็มความสามารถ แล้วถูกต้อง เขาก็ได้รับการตอบแทนสองเท่า และเมื่อเขาตัดสิน และผิดพลาด เขาก็ได้รับการตอบแทนหนึ่งเท่า
................


ขอมะอัฟด้วยทีหลุดวาจาไม่สุภาพออกมา มันเหลืออดจริงๆครับน้องบ่าว เพราะดูจากทัศนะของน้องบ่าว อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ แถบจะไม่มีความหมายเลย มันหดหู่ และ ทำใจไม่ได้จริงๆ ขอมาอัฟด้วย[/B]
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 4:47 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ตอนที่ผมตั้งเป็นประเด็นไว้ว่า เรื่องการกล่าวตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดนั้น

หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน (รวมทั้งตาบีอีนด้วย)
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้


โดยเฉพาะอิหม่ามซาฟีอี ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้

เมื่อถึงตอนนี้บรรดาผู้ประกาศยกย่อง เทิดทูนอิหม่ามซาฟีอี กลัวความจริงจะโผล่รึไง จึงวิ่งหนีอิหม่ามซาฟีอีกันอลหม่าน ผมพูดผิดหรือเปล่าที่ว่า อิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้ จะกลบเกลื่อนคำพูดนี้อย่างไร

อัลฟารูกไม่ตอบ และไม่ชี้แจงที่ผมพูดเลย แต่ได้เลี่ยงไปพูดว่า
“การสนทนาที่อยู่ในกรอบของวิชาการ อยู่ในรูปแบบของการอ้างหลักฐานแบบสะละฟุศศอลิหฺ” “แบบสะลัฟนั้น คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวซอฮาบะฮ์”

สงสัย al-azhary ไม่ได้อ่านข้อความเหล่านี้ เข้ามาก็บอกว่า คุณอะดีล (แต่เขาซฺอลิม) ไปอยู่หลุมใหนมาครับ พอออกจากหลุม ก็มีความสามารถแค่มาตั้งคำถามที่ "หาคำตอบไม่ได้" ทำตัวเหมือนกับว่า ฉันนี่แหละเจ๋ง ออกจากหลุมเข้ามาตั้งคำถามแบบ "ไร้หลักการ"

ถาม al-azhary หน่อยได้ไหม ถ้าหยุดด่าสักครั้งท้องจะอืดรึไง ?

เมื่อไม่ยอมคุยว่าอิหม่ามทั้งสี่โดยเฉพาะอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้ ผมก็ถามทีละข้อซึ่งเป็นไปตามการอ้างอิงหลักฐานตามแบบสะลัฟที่อัลฟารูกเสนอไว้ คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวซอฮาบะฮ์” แต่พอเริ่มต้นข้อแรก al-azhary ก็บอกว่าถามแบบไร้หลักการ

ตกลงจะเอายังไงกันแน่

ผมสรุปก่อนก็ได้ว่า หลักฐานเรื่อง ตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดไม่หลักฐานจากอัลกุรอาน (และอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้) ถ้าผมสรุปผิดก็แย้งมาขอรับท่าน ถ้าไม่แย้งแสดงว่าตรงกัน ผมจะได้เปลี่ยนเป็นข้อต่อไป

ข้อที่ 2 หลักฐานจากฮะดีส

สำหรับผมแล้วยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานการตะลัฟซุฟหรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดจากฮะดีส ซึ่งนะบีไม่ได้ทำ ไม่ได้สอน และไม่ได้ยอมรับไว้ (และอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้ด้วย)

ถ้าอัลฟารูกและ azhary มีหลักฐานอ้างอิงจากฮะดีสก็นำเสนอมา หรือจะเปลี่ยนมาตรฐานก็บอกมาขอรับท่าน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 10:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณอาดีลผมเข้าใจว่าคุณนั้นหนีลงหลุมไปแล้ว Question

ผมเห็นคุณนั้นดีแต่ถามคนโน้นคนนี้ ผมว่าคุณหัดใช้สมองคิดในทางที่ดีและสร้างสรรค์บ้าง
คุณน่าจะตอบคำถามของเราบ้าง

และกลับไปทบทวนคำถามที่เราถามมาตอบกันบ้าง

Razz ผมไม่เห็นคุณตอบคำถามได้สักข้อ แต่ถ้าคุณเข้ามาเพื่อก่อกวนโดยตั้งคำถามแบบไม่เคยมีในสาระบบของท่านผู้มีความรู้หลงเหลืออยู่เลย ผมแนะนำให้คุณกลับไปนอนในหลุมอย่างเดิมดีกว่าเหมือนน้องอัลอัชฮารีย์ว่านั้นแหละ เป็นการดีที่สุด เพราะคุณออกจากหลุมแต่ละครั้ง
ส่งกลิ่นเหม็นอบอวนและทำลายบรรยากาศการคุยเรื่องศาสนาเเบบนอกเรื่องเสียทุกที
--------------แบบว่าอุลามะที่ว่าเก่งแล้ว ยังมึนกับคำถามไร้สติ...ของคุณ...ฮ้าๆๆๆ-------------
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การที่อุลามะในยุคสลัฟตัวจริง(เช่นท่านอีหม่ามนะวาวีย์) ท่านต้องการให้ประชาชาติหรืออุมัรของท่านนบีได้มีสมาธิและตั้งใจแน่วแน่ในการละหมาดเพื่อถวายต่อพระองค์ผู้ทรงอภิบาล
ด้วยความนอบน้อม โดยเฉพาะในแนวทางของอีหม่ามชาฟีอีในร่มธงอะลิสซุนนะวัลญามาอะนั้นเพราะมันคืองานของอัลลอฮ์ที่บันดาลใจให้ท่านได้ตระหนักในความแตกต่างในระดับความรู้ในมนุษย์นั้นว่า มันย่อมไม่เท่าเทียมกันในระดับความรู้.ซึ่งพระองค์ประสงค์ให้มีอยู่ทุกกลุ่ม ทุกแห่งหน..ในดุนยา...

การที่คุณไม่ยอมรับในคำวินิจฉัยของอุลามะนั้น ถือว่าเป็นการปฏิเสธ อัลกรุอ่านและอัลฮาดีส
โดยเฉพาะอุลามะที่ทุ่มเทในงานศาสนาอย่างอีหม่ามนาวะวีย์..ในการกิยาสของท่านดดยอ้างถึงฮาดีสของท่านนบีบางบทมาเปรียบเทียบนั้นท่านล้วนก็ที่มาและแบบอย่างมาก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่คนในแนวทางของท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) ส่วนพี่น้องวะฮาบีย์ไม่ทำตามก็ไม่ได้ทำให้แนวทางของอีหม่ามอัชชาฟีอี(รฮ)ตกตำหรือสูงสงแต่อย่างใด...แต่การให้เกียตริผู้รู้ในการวินิจฉัยสิ่งใดๆนั้น ในเรื่องหลัการของศาสนา จริยะรรมของอัลอิสลามได้สอนเอาไว้ไม่ใช่หรือ.........วะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียม...

ดังนั้น การสนับสนุนให้กล่าวอูศอลลีย์จากการกิยาสของท่านอันนะวาวีย์ ก่อนเข้าละหมาดนั้นวัตถุประสงค์หลักคตือ เพื่อตั้งสามาธิของผู้ที่จะละหมาดให้จิตใจมุ่งหวังที่หนักแน่น ในเรื่องละหมาดที่จะเข้าเฝ้าต่อองค์อัลลอฮ์(วบ)อย่างเดียวเท่านั้น นั้นเป็นสิ่งที่ดี (ฮาสะนา)ที่ศาสนาให้การสนับสนุน

จะเห็นว่าที่ผ่านมาทุกยุค ซึ่งผู้มีความรู้ทุกคนในอดีตต่างตระหนักในสิ่งนี้ ไม่ว่าในเรื่องความสะดวกหรือความง่ายดาย ในสมัยที่ท่านนบีมีชีวิต หรือท่านจากไปแล้วบรรดาซออาบะล้วนมีความคิดที่สอดคล้องกันในเรื่อง สนับสนุนในการทำความดีเกี่ยวกับศาสนา โดยยึดพื้นฐานว่าจะต้องไม่ขัดแย้งกับอัลกรุอาน และซุนนะท่านนบี การกระทำของซอฮาบะของท่านนบี และมติของนักปราชญ์ทั้งหลาย ที่ร่วมกันวินิจฉัย..สิ่งเหล่านั้น....

และสุดท้ายคือ การที่พระองค์ทรงพอใจในการที่มีบุคคลพยายามทุ่มเทและเชิดชูศาสนาของพระองค์.อย่าง..สุดใจ.....
Laughing อีกอย่างอีบาดัตนั้น เป็นการกระทำเพื่ออัลลอฮ์ ซึ่งบางคน จิตใจเขาอาจขาดสมาธิ หรือไม่เข้าใจในรูปแบบเงื่อนไขของการละหมาด บางทีการละหมาดของเขาเป็นแค่รูปภายนอก แต่ตัวละหมาดของเขานั้นแทบไม่มีและไม่ได้เป็นตัวเดียวกับรูปละหมาดเลย

ปากก็บอกว่า อัลลอฮูอักบัร แต่ใจ(กอลบี)ไม่ได้คิดตรงกับวาจา(เกาลี) แต่อย่างใด...ทั้งนี้เพราะการขาดสมาธิแต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน การตักบีรบ่อยๆพร้อมการคำเหนียตนั้นเป็นสิ่งทีดีมากสำหรับการยอมจำนนต่ององค์อภิบาลของเรา

เป็นที่น่าสังเกตุ เมื่อการอิกอมะผ่านไปแล้วทุกคนต้องเดินมาละหมาด บ้างคนก็เพิ่งจะวิ่งเข้ามาด้วยความรีบเร่ง บางคนก็ปากของเขาซิกรุลลออ์ตลอด เมื่อจะเข้าละหม่าด ทุกคนก็ต้องรวบรวมสามาธิและตั้งใจพร้อมละมาด.โดยเฉพาะคนที่วิ่งเข้ามาและยังเหนื่อยอยู่แน่นอนเขาย่อมขาดสามาธิ...ดังนั้นจำเป็นที่เขาจะต้องตั้งสามาธิ (คูชัวะ)เสียก่อน ที่จะเข้าเฝ้าพระองค์อย่างพร้อมเพรียงกัน

ขณะเข้าละหมาด ปากก็บอกยืนยันตัวเองว่า ฉัน ละหมาด. Question ...จำนวน... Question ..รอกาอัต.....เพื่อ.... Question
เมื่อสมาธิพร้อมการเหนียตก็เริ่มพร้อมกับการตักบีรฯจะเห็นว่า งานของร่างกายเรานั้น ยกมือขึ้นแสดงถึงความยอมจำนนต่ออัลลออ์อย่างสื้นเชิง. ปากก็กล่าว ว่าพระองค์นั้นทรงยิ่งใหญ่..
ตรงนี้ เราต้องใช้สามาธิสูงมาก ทั้ง วาจา จิตใจ ร่างกาย แยกกันไม่ออก

แต่ความคิดที่เพียงจะหมาดให้มันผ่านไปแต่ละเวลา โดยไม่ได้คิดหรือทบทวนตัวเองบ้างเลยว่า ละหมาดเรานั้นใช้ได้หรือไม่...แล้วจะไปคิดหวังอะไรกับการละหมาดของคนบางกลุ่มที่ขาดแม้สมาธิ แม้จะหยุดพักใจสักนิดเพื่อให้หัวใจที่ว้าวุ่นได้มั่นคงและกลับมาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะละหมาดถวายเพื่ออัลลออ์
โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ...ซึ่งชาววะฮาบีย์บางคน...กล้าหรือที่จะไปขอสวรรค์จากอัลลออ์เพื่อแลกกับการละหมาดของท่านกระนั้นหรือ ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ ที่ทุกวันนี้พระองค์ให้ความเมตตาในดุนยามากมายขนาดไหน ทุกวันนี้ให้เราได้เห็นให้เราได้ยินนั้นมันเป็นบุญคุณมากมายแล้ว และยังหน้าด้านไม่รู้จักละอายใจบ้างที่จะเอาการละหมาดหรืออีบาดัดไปแลกกับสวรรค์ของพระองค์โดยอ้างถึงสัญญา.... ลาเฮาลา...ทุกวันนี้เรานั้นเปรียบเหมือนข้าทาสหรือบ่าวที่ไม่มีสิทธิ์ใดในการท้าวทวง หรือทักท้วงอย่างใดต่อพระองค์ ทุกอย่างเป็นสิทธิของพระองค์ที่เป็นผู้ชี้ขาดเราทั้งสิ้น

Crying or Very sad ไม่ว่าการที่วะฮาบีย์จะเข้ามีส่วนร่วมในการไปฮูกม..ว่าให้คนนั้นคนนี้ผิด เข้าสวรรค์นรก ด้วยการเอาการปฏิบัติหรือมาตรฐานของแนวทางวะฮาบีย์สลฃัฟพันธ์เทียมไปตัดสินพี่ที่อยู่ในน้องแนวทางของอีหม่ามในชนสลัฟทุกคน หรือการชี้แนะด้วยกับการขโมยเอาซีฟัตัของอัลลอฮ์ไปใช้ร่วมกับพระองค์ โดย อ้างถึงฮาดีสหรือการกระทำของท่านนบีบางบทมาบังหน้า แล้วโยนนรกใส่คนโน้นคนนี้ ที่ไม่อยู่ในแนวทางของตน นะอูซูบิลลา....

Crying or Very sad นิสัยหรือมารยาทชนสลัฟพันธ์แท้นั้นเขาไม่กล้าใส่ร้ายหรือกล้าไปฮูกมว่าแนวทางนั้นทำบิดอะและตกนรกเลยเพราะเขามมีจริยธรรมหรือตะเซาวุฟที่ดี

Laughing จะมีก็แต่ วะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมที่นิสัยแย่ไม่มีจริยธรรมและขาดวิชาตะเซาวุฟเท่านั้นที่ กล้าฮูกม โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ที่เขาอุลามะในยุคสลัฟตัวจริงอย่างเช่นอีหม่ามทั้ง4 เขาได้ตัดสินเรื่องต่างๆไปแล้วตั้งแต่อดีต แต่ที่วะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมเมืองไทยเรามาขุดคุ้ย
ซึ่งในขณะนั้น...หัวหน้าวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมนั้น ยังไม่ได้เวลาจุติเกิดเป็นวุ้นเลย และพอลืมตาอ้าปากมีความรู้สักนิด ก็ลืมเนียะมัติของอัลลออ์ทันที กลับไปแย่งงานของอัลลออ์โดยการชี้นำหรือฮูกม คนพวกนั้นเป็นกาเฟร..บ้างเป็นมุนาฟิกบ้าง...เป็นอะลุลบิดอะบ้างฯลฯ ช่างไม่กลัว วันแห่งการตัดสินและถูกสอบสวน คดีใส่ร้ายคนอื่นบ้างหรือไร...

มีหนำว้ำ เด็กในค่ายวะฮาบีย์บ้างคน ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนม กลับไปฮูกมโตะแช โตะกีตัวเองว่า
..............ยกมือขอดุอา หลังละหมาด นั้นตกนรก เพราะท่านนบีไม่ได้ทำ............


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 12:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam พี่น้องวะฮาบีย์ทั้งหลาย

การกล่าวคำเหนียต ก่อนจากละหมาด หรือก่อนจากตักบีร่อตุลเอี๊ยะหฺรอม ถือว่าเป็นสุนัต ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า

إنما الأعمال بالنيات
"แท้จริง บรรดาการปฏิบัตินั้น ด้วยการเหนียต"

จากหะดิษนี้ ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กล่าวว่า พวกท่านจงกล่าว..คำเหนียตให้ดัง.. และเช่นเดียวกัน ท่านนบี(ซ.ล.) ก็ไม่ได้กล่าวว่า พวกท่านจงเหนียตค่อยๆในใจ ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการเหนียตในใจของเขาในขณะที่ทำการตักบีร่อตุลเอี๊ยะหฺรอม โดยไม่ได้กล่าวคำเหนียตของเขาออกมานั้น แน่นอนว่า การละหมาดของเขาย่อมใช้ได้ และผู้ใดที่ทำการกล่าวคำเหนียตก่อนจากการตักบีรเล็กน้อยนั้น แน่นอนว่า การละหมาดของเขาย่อมใช้ได้เช่นเดียวกัน

"ข้าพเจ้าได้สนองต่อพระองค์ ด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" (ดู ซ่อฮิหฺ มุสลิม เล่ม 2 หน้า 915 หะดิษที่ 215)
และวันหนึ่ง ท่านนบี(ซ.ล.) ได้เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ฏ.) แล้วท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวโดยต้องการรับประทานอาหารว่า " ณ ที่พวกเธอนั้น มีสิ่งใด(ที่จะรับประทาน)บ้างใหม? ท่านหญิงอาอิชะฮ์ กล่าว" ไม่มี" ดังนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) จึงกล่าวว่า


فإنى إذن صائ
"แท้จริง งั้น ฉันก็ทำการถือศีลอด" (ดู ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 809 หะดิษที่ 170)

เราขอกล่าวว่า การกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า ..แท้จริง งั้น ฉันก็ทำการถือศีลอด" ...

ตัวอย่างการกิยาสระหว่างฮาดิสที่มีแบบอย่างจากท่านนบีของอุลามะในแนวทางอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) ว่าสามารถจะกระทำได้ในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นที่รู้อยู่ว่า ในรูกนอิสลาม 5 ทุกข้อต้องมีการกล่าว ของคำพูดเป็นตัวนำ ในกล่าวอ่านคำนั้นๆ
ข้อ1. ----------ฉันขอปฏิญาณตนว่าฯ ว่า.....................
ข้อ3. -----------ฉันถือศีลอด....................เพื่อ.....
ข้อ4..-----------ฉันจ่ายซะกาต..................เพื่อ....
ข้อ5. -----------ฉันทำฮัจย์หรืออุมเราะ......เพือ...........

แล้วทำไมข้อที่2 ในขณะก่อนที่จะเข้าละหมาดเราจะกล่าว ว่า ..........ตัวฉัน...ละหมาด นั้น เพื่ออัลลอฮ์ไม่ได้..เพราะทุกข้อล้วนมีที่มาของคำกล่าวคำนำหน้าที่อ้างถึงตัวเองทั้งนั้น.... .

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ (ร.ฏ.) ผู้ทีพี่น้องวะฮาบีย์ไม่ยอมรับ ในความเป็นอุลามะของท่าน กล่าวว่า "

Rolling Eyes ในหะดิษนี้ เป็นหลักฐาน ให้กับมัซฮับของนักปราชญ์ส่วนมาก ที่ว่า การถือศีลอดสุนัตนั้น อนุญาติให้ทำการเหนียตตอนกลางวัน ก่อนจากดวงอาทิตย์คล้อยได้ " ( ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺ มุสลิม เล่ม 8 หน้า
35)
ก็คือ การเหนียตถือศีลอด ตามความเห็นของนักปราชน์นั่นเอง คือ ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวออกมา โดยเจตนาทำการถือศีลอด

เราก็จะพบว่า บรรดานักปราชญ์ได้ทำการเอา "การกล่าวคำเหนียตก่อนตักบีรร่อตุลเอี๊ยะหฺรอมนั้น ไปกิยาส(เทียบเคียง) กับการกล่าวคำเหนียตในฮัจญฺ และการถือศีลอด โดยมีเหตุผลร่วมกันที่ว่า ทั้งหมดนั้น เป็นอิบาดะฮ์ ที่จำเป็นต้องมีการเหนียต"

ท่าน ชัยค์ อับดุรเราะหฺมาน อัล-ญะซาอิรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟิกห์มัซฮับทั้ง 4 ว่า

" สุนัตคือกระทำก็ได้ไม่กระทำก็ได้ กับการกล่าว..คำเหนียตด้วยลิ้นของเขา(ผู้ที่ทำละหมาด) สำหรับผู้ที่ไม่ใบ้หรือผิดปกติทางร่างกายเช่น เขาได้กล่าวด้วยลิ้นของเขาว่า "ฉันละหมาดฟัรดูซุฮฺริ " เป็นต้น เพราะสิ่งดังกล่าวนั้น สามารถย้ำเตือนให้กับหัวใจ แต่หากเขาพลาดลิ้น ไปกล่าวว่า ฉันทำละหมาดอัสริ ก็ถือว่าไม่เป็นโทษแต่ประการใด เนื่องจากสิ่งที่ถูกพิจารณาในการ
เหนียตนั้น คือเจตนาที่อยู่ในหัวใจ และการกล่าวคำเหนียตด้วยกับลิ้นเพียงอย่างเดียวนั้น ย่อมไม่ใช่เป็นการเหนียต แต่มันจะช่วยให้หัวใจมีการตื่นตัว (พร้อมในการทำการเหนียต) ดังนั้น การพลาดลิ้น ย่อมไม่มีโทษใดๆ ตราบใดที่การเหนียตในหัวใจนั้น มีความถูกต้อง

พี่น้องวะฮาบีย์ผู้ที่รักการให้เกียติรต่อผู้รู้หรืออุลามะครับในบรรดาผู้มีความรู้ของชนสลัฟตัวจริงนั้น ทุกทัศนะ

ร่วม หุกุ่ม กันเรื่องสุนัติให้กล่าวอูศอลลีย์ ก่อนจะเข้าละหมาด โดยที่มีความสอดคล้องกัน
โดยทัศนะของ

-มัซฮับชาฟิอีย์ ว่าการกล่าว คำเหนียตเป็นสุนัต)

-มัซฮับหัมบาลีย์ ว่าการกล่าวคำเหนียตเป็นสุนัต)

-มัซฮับมาลิกีย์นั้น พวกเขากล่าวว่า " การกล่าวคำเหนียตนั้น ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในละหมาด นอกจากเสียว่า ผู้ที่กระทำการละหมาด มีหัวใจที่ขาดสมาธิ ดังกล่าวนี้ มัซฮับมาลิกีย์ จึงกล่าวว่า การกล่าวคำเหนียตนี้ ไม่ต้องทำดีกว่าสำหรับผู้ที่จิตใจมีสมาธิแล้ว และถือว่า เป็นสุนัต สำหรับผู้ที่จิตใจยังขาดสมาธิ(ในการเหนียต) "

-มัซฮับหะนะฟีย์นั้น พวกเขากล่าวว่า " การกล่าวคำเหนียตเป็นบิดอะฮ์ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี หากทำไปเพื่อป้องกัน ความลังเล(วิสวัส)ขาดสมาธิ(ในการเหนียต) " ( ดู อัลฟิกหฺ อะลา อัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮ์ เล่ม 1 หน้า 171 ตีพิมพ์ ดารุลหะดิษ ไคโร )


จากสิ่งที่กล่าวมานี้ เราขอกล่าวว่า การเหนียตเจตนาทำอิบาดะฮ์ด้วยจิตใจที่มีสมาธินั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาปราถนาต้องการ และการกล่าวคำเหนียตก็เป็นตัวช่วยย้ำเตือนจิตใจให้มีสมาธิในการเหนียต ดังนั้น การกล่าวคำเหนียตย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมเช่นเดียวกัน ดังที่หลักการหนึ่งระบุไว้ว่า

ما لا يتم المطلوب الشرعى الا به فهو مطلوب شرعا

" สิ่งหนึ่ง ที่ถูกใช้ตามหลักศาสนาจะไม่สมบูรณ์ เว้นแต่ด้วยกับมันนั้น แน่นอนว่า สิ่งนั้นย่อมถูกใช้ตามหลักศาสนาด้วยเช่นกัน"

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนถามว่า การกล่าวคำเหนียตเป็นวายิบหรือไม่ ? เราขอตอบว่า "ไม่วายิบ" จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่สำหรับผู้ที่ละหมาดโดยจิตใจยัง(วิสวัส) ว้าวุ่น ขาดสมาธิ ก็สมควรกล่าวคำเหนียต

การกล่าวคำเหนียตนั้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวด้วยภาษาอาหรับเสมอไป เช่นกล่าวว่า "อุซ๊อลลี ฟัรฏ๊อซซุฮฺร..." แต่อนุญาติให้เรากล่าวเป็นภาษาไทยก่อนตักบีรเล็กน้อยว่า "ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูซุฮฺริ" ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว และก็ย่อมเป็นการดีอย่างยิ่ง เนื่องจากการเหนียตในใจของเรานั้น ก็เป็นภาษาไทยอยู่แล้ว และท่านผู้อ่านพึงทราบเถิดว่า การกล่าวคำเหนียต ไม่ใช่เป็นการกระทำในละหมาด แต่เป็นการกระทำก่อนละหมาด ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการกล่าวคำเหนียตในละหมาด ก็ย่อมทำให้เสียละหมาดอย่างแน่นอน

ข้อแตกต่างของมัสหับวะฮาบีย์

Crying or Very sad มัซฮับของวะฮาบีย์ ที่กล่าวว่า การกล่าวคำเหนียตนี้ เป็นสิ่งที่หะรอม เป็นบิดอะฮ์ที่น่าตำหนิและลุ่มหลง ทำแล้วตกนรก

Laughing โดยพวกเขาหมายถึงอุลามะที่เขาตักลีดตาม เช่น อีหม่ามอิบนุตัยมิยะ อิบนุกอยยิมและบรรดาสาวกฯลฯ ที่ไม่ได้อยู่ในชนของคนสลัฟ..เขาอ้างแบบห้วนๆว่าว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำ หรือ ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการกระทำดังกล่าวนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขานั้นขาดความรู้โดยการนำหลักฐานมากล่าวอ้างที่ไม่ประติดประต่อ
และตัดสินกันในพวกเขาเองว่าเป็นบิดอะฮ์ ที่ลุมหลง

ทั้งที่ ชนยุคสลัฟเช่นอีหม่ามทั้ง4 และบรรดาลูกศิษย์ไม่ได้รับรู้การ มติดังกล่าวแต่อย่างใด พวกเขาเอาฮาดีสของท่านนบีบางบทมาบังหน้าโดยไร้จิตสำนึก โดยไปดูฮูก มติ ของบรรดาอุลามะปรวงปราญชน์ของคนสลัฟในอดีต
Laughing ทั้งนี้เพื่อต้องการหักล้างคำวินิจฉัยต่างๆของคนเหล่านั้นในอดีต ว่า สิ่งนั้นคือความผิดพลาดหมดในอดีต เพื่อจะสร้างแนวทางใหม่ขึ้นมา โดยอ้างตนว่าเดินตามชนสลัฟอัสซอและห์ ..... แต่ตรงกันข้ามกลับไม่ตามคำตัดสินหรือการมุตะญิดของคนในยุคสลัฟแต่ประการใด...

ซึ่งสิ่งที่เขาเอาเป็นข้ออ้างมาเป็นหลักฐานที่ว่า...เมื่อสิ่งไหน..ที่ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กระทำ หรือทิ้งการกระทำนั้น ย่อมไม่ชี้ถึงหะรอม ต้องห้าม ด้วยความไม่เข้าใจของพวกเขาที่ว่า
ถ้าสิ่งใดที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละทิ้งและเป็นสิ่งที่ต้องห้ามนั้น คือต้องมีหลักฐานที่มาระบุห้ามเป็นการเฉพาะเจาะจง ทันที่ไม่ว่า จากอัลกรุอานหรืออัลฮาดีสหรือซุนนะของซอฮาบะของท่านต้องมีการหลักฐานมารองรับทุกอย่าง ถึงจะทำการฮูกมการกระทำได้

Shocked พี่น้องวะฮาบีย์ทั้งหลายครับ สิ่งที่เราได้นำเสนอไปนั้น เพื่อที่จะให้พวกท่าน รู้ถึงหลักการของเรา ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้พวกท่านมาทำเหมือนกับเราเลยแม้แต่น้อย

:[color=brown]D อนึ่ง เรื่องการกล่าวคำเหนียตนี้ มันเป็นเพียงประเด็นข้อปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆ ที่บรรดาปวงปราชน์มัซฮับทั้งสี่ได้ทำการวินิจฉัยเอาไว้ และการวินิจฉัยของพวกเขาเหล่านั้น ได้เน้นถึงเป้าหมายและเจตนารมณ์ของศาสนาในการทำอิบาดะฮ์ ซึ่งหากประเด็นข้อปลีกย่อยที่อยู่ในเชิงการวินิจฉัยของปวงปราชญ์นี้ ไปขัดแย้งกับทัศนะของพี่น้องวะฮาบีย์แล้ว การมีจิตใจกว้างขวาง ย่อมเป็นอุปนิสัยและแบบฉบับของสะละฟุศศอลิหฺ ชนผู้มีภูมิธรรม

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 3:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

Konyakroo พูดกับผมว่า

ออกจากหลุมแต่ละครั้ง ส่งกลิ่นเหม็นอบอวนและทำลายบรรยากาศการคุยเรื่องศาสนาเเบบนอกเรื่องเสียทุกที
--------------แบบว่าอุลามะที่ว่าเก่งแล้ว ยังมึนกับคำถามไร้สติ...ของคุณ...ฮ้าๆๆๆ----------------------



อย่างนี้หรือคำถามไร้สติ

กล่าวตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดนั้น
หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน (รวมทั้งตาบีอีนด้วย)
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้


โดยเฉพาะอิหม่ามซาฟีอี ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้

ผมยืนยันว่าไม่มีหลักฐาน และการกระทำของคนยุคสะลัฟ จากศอฮาบะฮฺ ตาบีอีน บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ โดยเฉพาะอิหม่ามซาฟีอี ไม่มีร่องรอยคำสอนและการกระทำของพวกเขา ถ้ามีหลักฐานก็นำเสนอด้วย คำถามเหล่านี้หรือที่ Konyakroo บอกว่านอกเรื่อง เป็นคำถามไร้สติ

เรื่องศาสนาไม่ต้องอ้างหลักฐานกันรึไง หรือเอาเหตุผลหว่านล้อมแล้วเอาหลักฐานเรื่องอื่นมาสนับสนุนแทน คุณอัลฟารูกไม่ใช่หรือที่บอกว่า ให้ใช้วิธีการอ้างอิงหลักฐานแบบสะลัฟ
“แบบสะลัฟนั้น คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวซอฮาบะฮ์”
แล้วพวกคุณจะวิ่งหนีข้อเสนอของพวกคุณทำไม
ผมถามข้อที่ 1 คือหลักฐานจากอัลกุรอานพวกคุณก็รวนกันซะแล้ว
พอข้อที่ 2 หลักฐานจากฮะดีส พวกคุณก็บอกว่า นอกเรื่อง คำถามไร้สติ

ที่แย่กว่านั้นคือ สงสารอิหม่ามซาฟีอี ท่านไม่รู้ไม่เห็น ไม่ทำ ไม่สอน เรื่องนี้ไว้ แต่ผู้ที่ประกาศจะตามท่านดันทำให้ท่านโสโครกในสิ่งที่ท่านไม่รู้เรื่อง เวลานี้เขาวิ่งหนีท่านไปเอาคำวินิจฉัยของลูกศิษย์บางคนมายึดถือทั้งๆที่

การกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดนั้นอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 3:22 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
อิหม่ามอัสสะญูฏีย(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
( البدعة عبارة عن فعلة تصادم الشريعة بالمخالفة ، أو توجب التعاطي عليها بزيادة أو نقصان ) . [ الأمر بالاتباع ، للسيوطي ، ص : 24 ].
บิดอะฮ หมายถึง การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับชะรีอัต ด้วยการขัดแย้ง หรือ นำไปสู่การยอมให้มีการเพิ่มเติมหรือตัดตอน ต่อมัน(ชะรีอัต)
ดู الأمر بالاتباع ، للسيوطي ، ص : 24
อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวถึง คุณลักษณะของชาวสุนนะฮ(อะฮลุสสุนนะฮ)ว่า
و يبغضون أهل البدع الذين أحدثوا في الدين ما ليس منه ، و لا يحبونهم ، و لا يصحبونهم ) . [ عقيدة السلف أصحاب الحديث ، للصابوني ، ص : 118 ].

พวกเขาเกลียดพวกบิดอะฮ ที่อุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา สิ่งซึ่งไม่มีมาจากศาสนา พวกเขาไม่รักและไม่ผูกมิตรกับพวกนั้น(พวกบิดอะฮ) - อะกิดะตุสสะลัฟ อัศหาบุลหะดิษ ของอัศศอบูนีย์ หน้า
118 قال ابن قدامة : ( كان السلف ينهون عن مجالسة أهل البدع ، و النظر في كتبهم ) .[ الآداب الشرعيّة ، لابن مفلح : 11/232 ].
อิบนุกุดามะฮกล่าวว่า “ ปรากฏว่าเหล่าชาวสะลัฟ พวกเขา ห้ามนั่งร่วมกับพวกบิดอะฮ และห้ามดูหนังสือพวกนั้น – อัล-อาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนิมุฟลิห เล่ม 11 หน้า 232
............................
เพราะฉะนั้น ใครสะลัฟปลอม หรือ สะลัฟแท้ ผู้อ่านตัดสินเอานะครับ ใครจะว่าอย่างไร ผมไม่เล่นด้วยกับบิดอะฮอย่างแน่นอน สนุกกันไปเถอะ ไม่อยากจะโต้ตอบ ใคร แต่ขอให้ผู้ชมใช้วิจารณญานเอานะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 8:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณอะสันกล่าวว่า

กิยาสกันไปเถอะครับ คิดบิดอะฮขึ้นมาแล้วอ้างหลักกิยาส กลับมาบัญญัตหุกุมให้หนำใจเลยน้องบ่าว ให้สมกับเป็นนักเรียนนอก

ผมขอกล่าวว่า

หลักฐานการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น เป็นทัศนะและแบบฉบับสะละฟุศศอลิหฺ เราไม่กิยาสกันขึ้นมาเองโดยพละการ หรือเราออกความเห็นกิยาสกันมาเองนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเราไม่ใช่อุลามาอ์มุจญฺฮิด แต่ประเด็นที่เรานำเสนอการกิยาสในเรื่องการกล่าวคำเหนียตนั้น มันเป็นการกิยาสตามที่อุลามาอ์มุจญฺฮิดวินิจฉัยขึ้นมาโดยใช้หลักการของสะละฟุสศอลิหฺ แต่หลักการหรือหลักฐานที่ว่า หากนบีไม่ได้ทำนั้น คือหะรอม ย่อมไม่ใช่หลักการในการอ้างหลักฐานของสะละฟุศศอลิหฺ แต่มันเป็นหลักการของวะฮาบีย์ สะลัฟพันธ์เทียม (ผู้ก่อการร้ายในหุกุ่มของศาสนา หรือพูดสั้นว่า "ผู้ก่อการร้ายในศาสนา")

คุณอะสันเจ้าเก่าของเราเขาฉลาด เพราะลึกๆแล้วเขาอาจจะต้องการว่าอุลามาอ์ที่ทำการยอมรับเรื่องการกล่าวคำเหนียตโดยการกิยาส แต่พยายามไม่ต้องจะกล่าวอย่างนั้น โดยที่เขาเอานักศึกษามาว่ากล่าวบังหน้า โดยบอกว่า "คิดบิดอะฮ์ขึ้นแล้วอ้างกิยาสโดยกลับมาบัญญัติหุกุ่มให้หนำใจ" แต่เมื่อเราได้กระชากหน้ากากการก่อการร้ายในหุกุ่มของคุณอะสันแล้ว เขาก็จะกล่าวได้ว่า "บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายที่ยอมรับในเรื่องการกล่าวคำเหนียตโดยอ้างกิยาสนั้น คือบรรดานักปราชญ์ของอิสลามที่คิดบิดอะฮ์ขึ้นมาแล้วอ้างหลักกิยาสกลับมาบัญญัติหุกุ่มให้หนำใจ" !!!

คุณอะสันกล่าวว่า

นี้มันเกี่ยวกับการอิจญติฮาดในเรื่องการปกครองและการตัดสินคดีความ เมื่อไม่มีในอัลกุรอ่านและหะดิษ ก็ให้ผู้พิพากษาทำการวินิจฉัยอย่างเต็มความสามารถของตน ไม่ใช่เอามาใช้ในเรื่อง การกิยาสในเรื่อง อิบาดะฮ เช่น การกล่าวคำเนียต

ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสันพูดออกมาอย่างนี้ แสดงว่าอ่านข้อความการสนทนาที่น้องๆนักศึกษาเขานำเสนอมาไม่หมดซิครับ คือฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียดว่างั้นเถอะ ซึ่งความจริงแล้วน้องเขานำเสนอหลักฐานดังกล่าวเพื่อจะบอกให้ทราบว่า "การอ้างหลักฐานนั้นต้องเป็นลำดับขั้นตอน" ก็เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น เราได้นำเสนอไปแล้วในภาค 2 อย่างถี่ถ้วน และเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนัก อีกทั้งเป็นทัศนะของสะละฟุศศอลิหฺ แต่เมื่อบรรดานักปราชน์มุจญฺฮิดนำมาใช้ในเรื่องการกล่าวคำเหนียต คุณอะสันก็บอกว่ามันเป็นบิดอะฮ์หุกุ่มขึ้นมาเพื่อความหนำใจ ผมไม่ทราบว่า หลักการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ของอิมามทั้งสี่นั้นเป็นหลักการที่บิดอะฮ์หรือเปล่า?? คุณอะสันก็น้ำท่วมปากตอบอะไรไม่ได้

คุณอะสันกล่าวว่า

มันเหลืออดจริงๆครับน้องบ่าว เพราะดูจากทัศนะของน้องบ่าว อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ แถบจะไม่มีความหมายเลย มันหดหู่ และ ทำใจไม่ได้จริงๆ

ผมขอกล่าวว่า

คำพูดของคุณอะสันนี้ เป็นการก่อการร้ายในศาสนา โดยคิดไปว่า น้องๆ นักศึกษาไม่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์ หรือคิดว่าอัลกุรอานและซุนนะฮ์แถบไม่มีความหมาย ซุบหานัลลอฮ์ ผมอยากถามคุณอะสันว่า การที่อุลมาอ์เขากล่าวว่า "การร่วมประเวณีในขณะทำอุมเราะฮ์นั้น ทำให้เสียอุมเราะฮ์ โดยไปกิยาสกับฮัจญฺ" ผมอยากถามคุณอะสันว่า บรรดาอุลามาอ์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เอาอัลกุรอานและซุนนะฮ์กระนั้นหรือ? พวกเขาเหล่านั้น คิดว่าอัลกุรอานและซุนนะฮ์แถบไม่มีความหมายกระนั้นหรือ? ดังนั้น การที่พวกเขาไปอ้างการกิยาส โดยไม่อ้างอัลกุรอานและซุนนะฮ์ เพราะว่า มันไม่มีในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ พวกเขายังไปทำการกิยาสในหุกุ่มอุเราะฮ์กับเรื่องฮัจญฺ ซึ่งเฉกเช่นเดียวกันกับกรณีเรื่องการกล่าวคำเหนียตก่อนละหมาด ซึ่งมันไม่มีในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ บรรดาอุละมาอ์จึงใช้การกิยาสโดยไปเทียบเคียงกับซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) และการเทียบเคียงกับซุนนะฮ์นั้น ผมลัพธ์ที่ออกมา กลับเป็น "บิดอะฮ์" ตามทัศนะของวะฮาบีย์ไปได้อย่างไร ??? !!!

คุณอะดีลกล่าวว่า

ตกลงจะเอายังไงกันแน่

ผมสรุปก่อนก็ได้ว่า หลักฐานเรื่อง ตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดไม่หลักฐานจากอัลกุรอาน (และอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้) ถ้าผมสรุปผิดก็แย้งมาขอรับท่าน ถ้าไม่แย้งแสดงว่าตรงกัน ผมจะได้เปลี่ยนเป็นข้อต่อไป

ข้อที่ 2 หลักฐานจากฮะดีส

สำหรับผมแล้วยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานการตะลัฟซุฟหรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดจากฮะดีส ซึ่งนะบีไม่ได้ทำ ไม่ได้สอน และไม่ได้ยอมรับไว้ (และอิหม่ามซาฟีอีไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้ด้วย)
ถ้าอัลฟารูกและ azhary มีหลักฐานอ้างอิงจากฮะดีสก็นำเสนอมา หรือจะเปลี่ยนมาตรฐานก็บอกมาขอรับท่าน


ผมขอกล่าวว่า

คุณอะดีลก็อีกคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมทำความเข้าใจคำตอบของน้องๆนักศึกษา ก็เลยมาโวยตีโพยตีพายโดยไร้หลักการ เหมือนกับการถามเรื่องบิดอะฮ์ไม่มีผิด ไม่มีการพัฒนา เมื่อก่อนอยู่อย่างไร ปัจจุบันก็อยู่อย่างนั้น น่าหดหู่จริงๆ ทั้งที่น้องๆนักศึกษาเขาบอกไปแล้วว่า "มาตรฐานของพวกเขานั้น คือมาตรฐานการอ้างหลักฐานของสะละฟุศศอลิหฺ คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ กิยาส อิจญฺมาอ์ คำกล่าวของซอฮาบะฮ์" น้องอัลอัซฮะรีย์ก็บอกไปแล้วว่า การที่จะกิยาสได้นั้น ต้องพิจารณาดูอัลกุรอานก่อน หากไม่มี ก็พิจารณาหะดิษ หากไม่มีก็อิจญฺมาอ์ และหากไม่มีก็ให้ ทำการกิยาส แต่บรรดาอุลามาอ์ใช้การกิยาสเข้ามา ก็ย่อมหมายความว่า ในเรื่องการกล่าวคำเหนียตนั้น ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอานและหะดิษแล้ว ก็จึงมาใช้ในเรื่องการกิยาส และนั่นก็คือสิ่งที่น้องๆนักศึกษาได้ตอบไป แต่เมื่อผมเข้ามาอ่าน อะดีล กับเข้ามาสนทนาแบบไร้หลักการโดยถามว่า อัลกุรอานบอกไว้ใหม หะดิษบอกไว้ใหม? ทั้งๆที่นักศึกษาเขาบอกไปแล้วว่า ไม่มีระบุในอัลกุรอานและหะดิษ ก็ให้ทำการกิยาส และเมื่อไม่มีในอัลกุรอานและหะดิษแล้ว คำถามของคุณอะดีลจึงไม่มีคำตอบ เนื่องจากมันไม่มี พอคนอ่านเข้ามาก็บอกว่า โอ้โห คุณอะดีลเก่งจัง ที่ถามบรรดานักศึกษา แล้วพวกเขาไม่สามารถตอบได้ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว คนถามอย่างอะดีลนี้มันไม่มีความเข้าใจ และไม่ยอมอ่านคำตอบให้เข้าใจ ซึ่งแบบนี้แหละที่เขาบอกว่า ถามแบบไร้หลักการ

และอีกอย่างหนึ่ง การกระทำของอิมามทั้งสี่ไม่ใช่เป็น "หลักการ" ในการบัญญัติในเรื่องศาสนา ดังที่ น้องอัล-ฟารูก กล่าวไปแล้วว่า บรรดาอุลามาอ์นั้น เป็น وسيلة สื่อที่นำไปสื่อหุกุ่มคือทำการวินิจฉัยหุกุ่มด้วย่หลักฐานแล้วหุกุ่มมันขึ้นมา โดยอย่าทำพวกเขาเป็น غاية เป้าหมายสุดท้ายในการวินิจฉัยหุกุ่ม ซึ่งเป้าหมายในการวินิจฉัยหุกุ่มนั้น คืออัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และอื่นๆ ดังนั้น การที่อิมามอัช-ชาฟิอีย์(ร.ฏ.)ไม่ได้ทำการกล่าวคำเหนียตนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า การกล่าวคำเหนียตเป็นสิ่งที่หะรอม และเราจะเอาการที่อิมามอัช-ชาฟิอีย์ไม่ได้ทำเป็นหลักฐานในการหุกุ่มเรื่องการกล่าวคำเหนียตย่อมไม่ได้ตามมาตรฐานในการอ้างหลักฐานของหลักนิติศาสตร์อิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

อิหม่ามอัสสะญูฏีย(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
( البدعة عبارة عن فعلة تصادم الشريعة بالمخالفة ، أو توجب التعاطي عليها بزيادة أو نقصان ) . [ الأمر بالاتباع ، للسيوطي ، ص : 24 ].
บิดอะฮ หมายถึง การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับชะรีอัต ด้วยการขัดแย้ง หรือ นำไปสู่การยอมให้มีการเพิ่มเติมหรือตัดตอน ต่อมัน(ชะรีอัต)
ดู الأمر بالاتباع ، للسيوطي ، ص : 24

ผมขอกล่าวว่า

การกล่าวคำเหนียตนั้น มันไม่ไปค้านกับหะดิษบทใดเลยแม้แต่น้อย และการกล่าวคำเหนียตไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมศาสนา เนื่องจากมันอยู่บนหลักการของศาสนา การเพิ่มเติมศาสนาคือการเพิ่มเติมสิ่งที่วายิบหรือประเด็นที่เป็นหลักสำคัญของศาสนาหรือการตัดทอนสิ่งที่วายิบหรือประเด็นที่เป็นหลักสำคัญของศาสนา แต่การกระทำสิ่งที่เป็นสุนัต หรือสิ่งที่สมัครใจให้กระทำนั้น ย่อมไม่อยู่ในความหมายของการเพิ่มเติมหรือตัดทอนศาสนา จะทำมากเท่าใดก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จะไปเพิ่มศาสนาได้เลยแม้แต่น้อย และท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ก็มีทัศนะที่ว่า สุนัตให้ทำการกล่าวคำเหนียตก่อนละหมาดได้ (ดู หนังสือัลอัชบาฮ์ วะ อันนะซออิร ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์) ดังนั้น การกล่าวคำเหนียตจึงไม่ได้เป็นการเพิ่มเติมในเรื่องศาสนาตามความเข้าใจของอิมามอัสสะยูฏีย์เลยแม้แต่น้อย

คุณอะสันกล่าวว่า

อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวถึง คุณลักษณะของชาวสุนนะฮ(อะฮลุสสุนนะฮ)ว่า
و يبغضون أهل البدع الذين أحدثوا في الدين ما ليس منه ، و لا يحبونهم ، و لا يصحبونهم ) . [ عقيدة السلف أصحاب الحديث ، للصابوني ، ص : 118 ].

พวกเขาเกลียดพวกบิดอะฮ ที่อุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา สิ่งซึ่งไม่มีมาจากศาสนา พวกเขาไม่รักและไม่ผูกมิตรกับพวกนั้น(พวกบิดอะฮ) - อะกิดะตุสสะลัฟ อัศหาบุลหะดิษ ของอัศศอบูนีย์ หน้า

ผมขอกล่าวว่า

ท่านอัศศอบูนีย์นี้ ก็ทำการตะวัศซูล แล้วคุณอะสันจะนำคำพูดของอิมาม อัศเศะบูนีย์ มาคัดค้าน กับทัศนะของท่านเองใหมครับคุณอะสันผู้ก่อการร้ายในหุกุ่มศาสนา

คุณอะสันกล่าวว่า

118 قال ابن قدامة : ( كان السلف ينهون عن مجالسة أهل البدع ، و النظر في كتبهم ) .[ الآداب الشرعيّة ، لابن مفلح : 11/232 ].
อิบนุกุดามะฮกล่าวว่า “ ปรากฏว่าเหล่าชาวสะลัฟ พวกเขา ห้ามนั่งร่วมกับพวกบิดอะฮ และห้ามดูหนังสือพวกนั้น – อัล-อาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนิมุฟลิห เล่ม 11 หน้า 232

ผมขอกล่าวว่า

พออย่างนี้แล้วก็ยกคำกล่าวของท่าน อิบนุมุฟลิหฺ ที่ยอมรับในเรื่องการตะวัสศูลและการกล่าวคำเหนียต โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิบนุกุดดามะฮ์ คุณอะสันจะไปอ่านหนังสือมุฆนีย์ของท่านหรือเปล่า เนื่องจากท่านอิบนุกุดดามะฮ์ มีทัศนะในการยอมรับในเรื่องการกล่าวคำเหนียตที่เป็นบิดอะฮ์ตามทัศนะของคุณอะสันและวะฮาบีย์

ท่าน อิบนุ กุดดามะฮ์ (อุลามาอ์มัซฮับหัมบะลีย์ ที่อุลามาอ์วะฮาบีย์ให้การยกย่อง) ได้กล่าวไว้ ว่า

وقول النبى صلى الله عليه وسلم : إنما الأعمال بالنيات . ومعنى النية القصد ومحلها القلب ، وإن لفظ بما نواه كان تأكيدا

" คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า "แท้จริงบรรดาอะมัล ต้องด้วยการเหนียต" โดยที่ความหมายของการเหนียตก็คือ การมุ่งเจตนา และสถานที่ของมันอยู่ที่หัวใจ และหากว่าเขากล่าว ด้วยกับสิ่งที่เขาได้เหนียต แน่นอนว่า มันย่อมเป็นการตอกย้ำ(กับหัวใจ) " ดู หนังสือ อัลมุฆนีย์ ของท่านอิบนุกุดดามะฮ์ เล่ม 2 หน้า 15

สงสัยท่านอิบนุก๊อดดามะฮ์ เป็นพวกบิดอะฮ์ตามทัศนะของคุณอะสันและวะฮาบีย์ เพราะท่านอิบนุก๊อดามะฮ์ทำและยอมรับเรื่องการกล่าวคำเหนียต!!!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 10:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายมุหัมหมัดกล่าวว่า
แต่มันเป็นหลักการของวะฮาบีย์ สะลัฟพันธ์เทียม (ผู้ก่อการร้ายในหุกุ่มของศาสนา หรือพูดสั้นว่า "ผู้ก่อการร้ายในศาสนา")
..........................
ตอบ
ออ..เห็นน้องอัล-อัซฮารีย์ บอกอยู่เหมือนกันว่า จะส่งคุณมาชนอีก คุณจะว่าหรือประนามพวกเราอย่างไร เราไม่สนใจ เพราะหลักการของพวกคุณคือ เนื้อร้าย ที่เข้ามาทำลายความบริสุทธิ์ของศาสนา เป็นเนื้องอก ที่สำควรจะตัดมันทิ้ง เพราะพวกคุณไม่ให้ความสำคัณกับคำสอนศาสนาเลย หะดิษเศาะเหียะ ไม่จำเป็นสำหรับหลักการของพวกคุณ เพราะ หะดิษเฏาะอีฟก็ใช้ได้เมื่อพวกคุณจนตรอก ถ้าไม่มีหะดิษ ไม่มีหลักฐาน พอคุณจนตรอก หลักการพวกคุณบอกว่า เราใช้หลักกิยาส พอจนตรอกเข้าไปอีก พวกคุณก็ บอกว่า"ใหนล่ะหลักฐานว่านบีห้ามกล่าวคำเนียต"
นี้คือ ข้ออ้างของผู้ทำลายความบริสุทธิ์ของศาสนา อัลลอฮ(ซ.บ)ได้บอกกติกาเพื่อหาข้อยุติ ในประเด็นขัดแย้งว่า

فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً

แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และร่อซู้ล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง

..................
อายะฮข้างต้นพวกคุณไม่เคยใส่ใจ อ้างบิดอะฮหาสะนะฮ อ้างกิยาส อ้างสารพัด หลักฐานจากอัล-กุรอ่าน และ อัสสุนนะฮ ไม่มีประโยชน์ หรอก อัล-อัชฮารี ส่งคุณมาชนผมอีกใช่ไหม
..........
อยากจะเรียนน้องๆ ผู้ดูแลเว็บว่า หากแนวคิดทำลายอัลกุรอ่านและสุนนะฮ อย่างนี้ ผมก็ต้องชนเหมือนกัน ในทัศนะส่วนตัว ไม่ควรเปิดโอกาสให้พวกนี้มาละเลงแนวคิดทำลายสุนนะฮอีกต่อไป ตอนที่รับปากกัน ก็กล่าวว่าจะคุยกันแบบวิชาการ แต่ไม่เคยทิ้งการประนามฝ่ายตรงข้ามว่า พวกวะฮบีย์ สะลัฟปลอม สะลัฟเทียม ผู้ก่อการร้ายศาสนา ถ้าจะให้เว็บนี้สงบ ขอให้พิจารณาก็แล้วกัน ส่วนผมยินดีที่จะให้ทางเว็บปลดจากสมาชิก แต่..ผมจะไม่ยอม ให้โอกาสพวกนี้มาแสดงทัศนะทำลายสุนนะฮอีกต่อไป หากไม่ปลดผมออกจากเว็บนี้

...............
ปิดเถอะครับ เพราะฟิตนะฮ มีอีกแน่นอน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 11:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หลักฐานการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น เป็นทัศนะและแบบฉบับสะละฟุศศอลิหฺ เราไม่กิยาสกันขึ้นมาเองโดยพละการ หรือเราออกความเห็นกิยาสกันมาเองนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเราไม่ใช่อุลามาอ์มุจญฺฮิด แต่ประเด็นที่เรานำเสนอการกิยาสในเรื่องการกล่าวคำเหนียตนั้น มันเป็นการกิยาสตามที่อุลามาอ์มุจญฺฮิดวินิจฉัยขึ้นมาโดยใช้หลักการของสะละฟุสศอลิหฺ แต่หลักการหรือหลักฐานที่ว่า หากนบีไม่ได้ทำนั้น คือหะรอม ย่อมไม่ใช่หลักการในการอ้างหลักฐานของสะละฟุศศอลิหฺ แต่มันเป็นหลักการของวะฮาบีย์ สะลัฟพันธ์เทียม (ผู้ก่อการร้ายในหุกุ่มของศาสนา หรือพูดสั้นว่า "ผู้ก่อการร้ายในศาสนา") มุหัมมัด ตอบ: Tue Mar 28, 2006 11:55 pm
....................

พิจารณาถ้อยคำข้างต้นเถอะครับน้องๆ ว่าจะปล่อยให้ดำเนินต่อไปหรือไม่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 28, 2006 11:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กอ้ปมาจากเวป อ.มุรีด

อ้างข้อความถึงคุณ คนใต้ฟ้า "ผมอยากถามคนที่ว่าอากีดะวาฮาบีย์คล้ายกับยิว คุณรู้จักมูฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบแค่ไหน ก่อนที่คุณจะว่าอากีดะห์ของเขาคล้ายกับยิวคุณต้องศึกษาเรื่องของเขาเสียก่อน คนที่ว่าอากีดะห์วาฮาบีย์คล้ายกับยิวมีเพียงพวกชีฮะห์เท่านั้น"

*******************

ทั้งชีอะฮ์และวะฮาบีย์นั่นแหละที่มีหลักการและอะกีดะฮ์คล้ายยิว
ผู้ส่ง: นักศึกษาไคโร : IP : 196.205.134.224
...............................................

ปิดเถอะครับ มันไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ถ้าคนแบบนี้เข้ามาสนทนา
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
วิทยากร
อนุรักษ์มรดกอิสลาม
อนุรักษ์มรดกอิสลาม


เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004
ตอบ: 158


ตอบตอบ: Wed Mar 29, 2006 1:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


อ้างถึงข้อความของคุณ al-farook:
ท่าน วิทยากร (อ.ฟาริด) ครับ ผมให้การรับรองในนามนั กศึกษาทุกคน และจะตักเตือนมิตรสหาย ของเราทุกคน ในการสนทนาให้อยู่ในเช ิงวิชาการครับ

อ้างถึงข้อความของคุณ อัล-อัซฮะรีย์
เรียนทีมงาน เวปมาสเตอร์
ผมจะใคร่ที่จะให้ ทีมงานมรดกเปิดกระทู้ มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่
(ภาค 3) ด้วย จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
และเราจะทำการสนทนาตามเงื่อนไขและมารยาทของนักวิชาการมุสลิมครับ

......................................................................................................................

มีหลายคนตำหนิผมว่าใจกว้างเหลือเกินที่ให้บรรดานักศึกษากับพวกเข้ามาก่อฟิตนะห์ที่นี่ ซึ่งผมก็พยายามตักเตือนมาเป็นระยะ และล่าสุดก็ได้รับการยืนยันจากทั้งอัลฟารูกและอัลอัซฮารีย์ตามข้อความข้างต้น แต่ปรากฏแล้วว่า การรับปากของท่านทั้งสองไม่มีผลต่อการระงับการกล่าวร้ายและใช้คำพูดจาบจ้วงอุลามาอ์และผู้ร่วมสนทนาด้วยกัน จึงเป็นเหตุที่ต้องระงับกระทู้นี้ไว้

อนึ่ง ขณะนี้ผมยังไม่ได้ปลดสมาชิกของท่านใด แต่ขอความกรุณาว่าอย่าได้ก่อฟิตนะห์กันอีกเลย

อ.ฟารีด เฟ็นดี้

_________________


กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ MSN
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5
หน้า 5 จากทั้งหมด 5

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.11 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ