ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 3)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 3)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 11:42 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง al-farook กล่าวว่า
เราทำอิบาดะฮ์ไม่เน้นผลบุญครับ เราทำตามเพียงหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวเท่านั้น และบังอะสันพูด หากมันเป็นสุนัตที่ทำแล้วได้บุญละทิ้งไม่ได้รับโทษ แต่หลังจากคำพูดนี้ บังอะสันกลับพูดแบบไม่เข้าใจถ้อยความว่า “และจำเป็นอะไรหรือที่ต้องทำอย่างนี้” อะไรกันครับบังอะสัน ผมอีกตั้งหลายครั้งแล้วว่า มันไม่ใช่วายิบ และไม่ใช่จำเป็น ผมสงสัยบังอะสันจะยกคำกล่าวของผมแบบท่อนๆยังไม่พอ ดันยังมาวกวนกับคำพูดของตนเองอยู่อีก
………………….
ตอบ
ครับ จึงสรุปคำตอบของน้อง al-farookได้ว่า ที่กล่าวคำว่า “อุศอ็ลลี”ก่อนละหมาดนั้น ไม่วาญิบ ไม่จำเป็น และ การทำอิบาดะฮนั้น ไม่เน้นเรื่อง ผลบุญ คือ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา แบบคนมักน้อย อยากประกาศให้ใครก็ตาม ที่บอกว่า ฉันจะไม่ละหมาดตามพวกไม่กล่าวอุศอ็ลลี ทราบโดยทั่วกันว่า พวกท่านจงคิดใหม่ ทำไหม่ได้แล้ว

น้อง al-farook กล่าวว่า
บังอะสันและมิตรสหายครับ การพูดอ้างว่าตามท่านซุนนะฮ์ท่านนบี(ซ.ล.)นั้นง่ายเหมือนกล้วยปลอกเข้าใจ ซึ่งเด็กๆเขาพูดกันได้ แต่การดำเนินตามหลักการของสะลัฟจริงๆ นั่นซิครับ มันอยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เหมือนกับที่บังอะสันกำลังเป็นอยู่นี่แหละ

ตอบ
อ้าว..เป็นงั้นไป แต่บังว่า การตามสุนนะฮของท่านบี (ศอลฯ)มันง่าย แต่ที่ยาก เพราะมีคนมาทำเรื่องง่าย ให้เป็นภูเขา เลย กลายเป็นเรื่องหนักใจและยุ่งยากกับชาวบ้าน เรื่อง ละหมาด หากอยู่ในกรอบหรือ ภายใต้ขอบเขตของคำว่า

‏{‏لقد كان لكم في رسول الله أسوة حسنة‏}‏ ‏[‏سورة الأحزاب آية 21‏.‏‏]

แท้จริงในศาสนทูตของอัลลอฮนั้น เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พวกเจ้า – อัลอะหซาบ/21

‏(‏صلوا كما رأيتموني أصلي‏)‏

พวกท่านจงละหมาดดั่งเช่นที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด
‏[‏الإمام أحمد 5/53 والإمام البخاري 1/154 مطابع الشعب 1387 هـ‏.‏‏]‏ رواه البخاري في صحيحه‏


ยกตัวอย่าง การทำนุ่นให้เป็นภูเขา เช่น
ในขณะทีกล่าว คำว่า “อัลลอฮุอักบัร”นั้น ต้องการเนียตจะต้องพร้อมกับตักบีร โดยให้มี 1. เกาะศอ็ด 2. ตะอฺรอฎ 3. ตะอยีน แล้วคำว่า พรอ้ม(มุกอเราะนะฮ)กับการตักบีรนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. มุกอเราะนะฮอุรฟียะฮ
2. มุกอเราะนะฮเตาซีอียะฮ
3. มุกอเราะนะฮกะมาลียะฮ
คนเรียนปอเนาะตัวจริง ต้องได้เรียนมาแล้วแบบนี้
................................
เห็นไหมละครับ มันยากแค่ใหน เวลา ตักบีร เลยต้องลากเสียงยาว จนเกือบจะสิ้นลมปราณ น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ บางคนตักบีรถึง สามสี่ครั้ง เพราะเนียตไม่ติด ซุบฮานั้ลลอฮ
..........................
ข้อความอ้างอิงของ น้องบ่าวal-farook
และหะดิษ เช่นท่าน อะนัสกล่าวว่ารายงานว่า

سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم أهل بهما جميعا : لبيك عمرة وحجا . لبيك عمرة وحجا

"ฉันได้ยิน ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ทำการเริ่มกล่าวโดยเสียงดัง(ในขณะเริ่มครองอิหฺรอม) ด้วยการทำฮัจญฺและอุมเราะฮ์พร้อมๆกันว่า "ข้าพเข้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์ด้วยด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 214

หรืออีกรายงานหนึ่งรายงานว่า ท่านอะนัสได้ยินท่านร่อซูลกล่าว(ตอนเริ่มเข้าอิหฺรอม) ว่า

لبيك بعمرة وحج

"ข้าพเข้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์ด้วยด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 215

นั่นคือคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ในขณะที่เริ่มเข้าทำฮัจญฺ โดยกล่าวตามที่ท่านได้เจตนาเหนียตไว้ว่า ท่านจะทำอะไร ? เช่นมีซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่ง ได้ทำการกล่าวคำเหนียตการทำฮัจญีแทนพี่น้องหรือญาติของเขาในขณะที่เริ่มเข้าครองอิหฺรอมว่า
عن ابن عباس أن النبى صلى الله عليه وسلم سمع رجلا يقول : لبيك عن شبرمة ، قال : من شبرمة ؟ قال : أخ لى أو قريب لى ، فقال : حججت عن نفسك ؟ قال : لا ، قال : حج عن نفسك ثم حج عن شبرمة . رواه أبوداود وابن ماجه وصححه الحاكم والراجح عند احمد وقفه

" จากท่านอิบนุอับบาส แท้จริงท่านนบี(ซ.ล.) ได้ยินชาคนหนึ่ง กล่าวว่า" ข้าพเจ้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์(ในการทำฮัจญฺ)แทน ชุบรุมะฮ์" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ชุบรุมะฮ์เป็นใครหรือ? เขาตอบว่า "เขาคือพี่น้องฉัน หรือ ญาติใกล้ชิดของฉัน" ดังนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ท่านทำฮัจญฺให้ตัวท่านหรือยัง" ? เขาตอบว่า "ยัง" ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า " ท่านจงทำฮัจญฺให้กับตัวท่านก่อน จากนั้น ท่านก็จงทำฮัจญฺแทนชุบรุมะฮ์ " รายงานโดย อบูดาวูด และ อิบนุมะฮ์ และท่านหากิมถือว่าหะดิษนี้ซอฮิหฺ แต่ที่มีน้ำหนักตามทัศนะของท่านอะหฺมัดนั้น คือหะดิษนี้เมากูฟ (แต่ที่แน่ๆคือสายรายงานนี้ซอฮิหฺครับผม) (ดู บุลูฆุลมารอม หน้า 131)
ตอบ
อ่านแล้ว ไม่มีตรงใหนเลยที่บ่งบอกว่า สุนัตให้กล่าวคำเนียต ในการอาบน้ำละหมาด การอาบน้ำวาญิบ การละหมาด การถือศีลอด และการทำฮัจญ คิดได้ยังไงเนี่ย
ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قد جاء الحديث : > أيها الناس كلكم يناجي ربه فلا يجهرن بعضكم على بعض بالقراءة < فكيف حال من يشوش على الناس بكلامه بغير قراءة بل يقول : نويت أصلي أصلي فريضة كذا وكذا في وقت كذا وكذا من الأفعال التي لم يشرعها رسول الله صلى الله عليه وسلم
แท้จริงได้ปรากฏหะดิษว่า “ โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านทุกคน กำลังกระซิบกับพระผู้อภิบาลของเขาตามลำพัง ดังนั้น พวกท่านอย่าทำเสียงดังรบกวนซึ่งกันและกัน ด้วยการอ่าน”- แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า กับสภาพของคนที่รบกวนผู้คน ด้วยคำพูดของเขา อื่นจากการอ่าน แต่ทว่า เขากล่าวว่า “ ข้าพเจ้าเจตนาละหมาด ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูนั้น ฟัรดูนี่ ในเวลานั้น เวลานี้ ที่มาจากส่วนหนึ่งของการกระทำ ที่ท่านรซูลุลอฮ ศอ็ลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมไม่ได้มีบัญญัตเอาไว้ ดู كتاب الفتاوى الكبرى، الجزء 2، صفحة 218
……………..
อยากจะถามว่าสมมุติว่า คนหนึ่งจะละหมาดแล้วเผลอกล่าวคำเนียต ว่า “ข้าพเจ้าเจตนาเอาน้ำละหมาด”แต่ในใจเนียตว่า ข้าพเจ้าละหมาด..” การละหมาดนั้นใช้ได้หรือไม่?
..................
บังอะสัน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 11:52 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ต่อไปนี้ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องวะฮาบีย์ทุกคนก่อนว่า บทความแต่ละบทที่นำมาถ่ายทอดให้พี่น้องต่างมัสหับที่ได้เห็นอยู่นี้ ล้วนถูกนำมาจากบรรดาชนสลัฟ และอุลามะของผู้เดินทางในแนวชนสลัฟทั้งสิ้น เพื่อให้สมเจตนารมฌ์ ของพี่น้องวะฮาบีย์ที่เขาชอบอ้างว่ายึดตามแนวชนสลัฟ
เป็นบัรนทัดฐานในการดำเนินชีวิตมาตลอด

--ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) เป็นชนสลัฟที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างซุนนะท่านนบีมาตลอดซึ่งเป็นที่ยอมรับของบรรดาปวงปราชญ์ทั้งหลายในอดีต ท่านเป็นคนที่มีความรู้รอบในทุกๆด้าน และตระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาจากท่านนบีทั้ง 2 ฝ่าย..
ท่านอีหม่ามอัชชาฟีอีเสียชีวิตในฮศ.204....โดยที่ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ยอมรับณ.ทุกวันนี้.
ท่านกล่าวว่า
บิดอะฮืนั้นแบ่งบิดอะฮ์ออกเป็น2 ประเภท คือบิดอะที่ดี(ฮาซานะ)และบิดอะที่เลว(ฎอลาละ)และคำว่าบิดอะครอบคลุมไปถึงทุกอย่างที่มีขึ้นในสมัยท่านบีและหลังสมัยของท่านนบีและคุลีฟะทั้ง4 และยุคซอฮาบะที่อยุ่ในแบบฉบับของท่าน
ท่านกล่าวว่า
อุตริกรรมต่างๆมีสองประเภท
1.สิ่งที่เสกสรรขึ้นมาแล้วไปขัดแย้งกับคัมภีร์และซุนนะและการอิตมาฮ์ของปรวงปารชญ์หรือการปฏิบัติของบรรดาสสาวกทั้งหลาย
อันนี้คือ บิดอะฮืที่ล่มหลง และไม่มีในแบบอย่างของศาสนามาก่อน

2.และสิ่งใดที่ก็ตามที่เป็นการกระทำที่ดีโดยได้สอดคล้องกับคัมภีร์และซุนนะหรืทิอมติปวงปราชญ์หรือมีแบบอย่างจากบรรดาสาวกและมีทั่มาจากรากฐานเดิมของศาสนา นั้นคือ บิดอะที่ดี

และเป็นเป็นอุตริกรรมที่ไม่น่าตำหนิหรือไม่ใช่สิ่งเลว

ทีกล่าวมานี้คือการกระทำของอุลามะในยคุสลัฟตัวจริง โดยที่ท่านมีจุดยืนมาจากอัลกรุอานและวุนนะท่านนบีและการอิมาอะของปวงปราชญทที่มีความรู้ทั้
ฮาดีสที่ท่านเอาฮาดีสมาเป็นบันทัดฐานในการแบ่งแยกบิดอะมีดังนี้.
จากซัรห์มุสลิม เล่มที่12หน้า16 และเล่มที่17หน้า 266และศอเหียะมุสลิมเล่ม1หน้า242

ซึ่งท่านอีหม่ามมาลีกี(รฮ)ท่านก็ได้ยอมรับและได้บันทึกเก็บไว้ในมุวัฏเฏาะเล่มที่1หน้า136-137

ทั้ง3ฮาดิสนี้ เป็นสิ่งอ้างอิงที่ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)ได้นัชำมาแบ่งแยกบิดอะฮ์ออกเป็น2.
ท่านอีหม่ามสุญุตี1ในมัสหับชาฟีอีท่านได้เรียบเรียงหนังสือ ตีชันวีรุลมาลิกซัรห์ มุวัฏเฏาะมาลิกในสุนัน (ท่านนะซาอี เสียชีวิตฮศ.32)รวบรวมและเรียบเรียงหนังสือตัฟซีรญะลาลัยน์ท่านกล่าวว่า
---แต่เดิมบิดอะหมายถึงสืงที่ถูกริเริ่มขึ้นโดยไม่มีตัวอย่างหรือแบบอย่างแต่คำนี้ถูกมาใช้ในแง่ของศาสนาหรือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามจากศาสนาคือไม่เคยปรากฎมีในสมัยท่านรอซุลและต่อมาได้แบ่งไปสู่กฏเกณท์ทั้งห้าของศาสนานั้น...

สิ่งที่ไม่เคยมีในสมัยท่านรอซุล เช่นการรวบรวบอัลกรุอ่านเป็นเล่ม การเพิ่มบาริสหรือสระพยัญชนะของอัลกรุอาน การอะซานเพิ่มในละหมาดวันศุกร์การประดับประดามัสยิดให้สวยงาม
ฯลฯ และทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนมีมาจากรากฐานของศานสนาที่ศาสนาส่งเสริมให้กระทำทั้งสิ้น...
สำหรับในแนวทางของอีหมามชาฟีอีนั้นเป็นที่ชัดเจนที่ในการแบ่งบิดอะออกเป็น 5 ประเภท เพราะกิจกรรมทุอย่างนั้นต่องเกี่ยวพันกับเรื่องศาสนาเกือบทุกอย่าง

สำหรับฮาดีสที่รายงานโดยมุสลิมที่ว่า ท่านนบีกล่าว่า

ผู้ใดอุตริกรรมในกิจการ(ศาสนา)แห่งเราซึ่งไม่ใช่เรื่องราวของศาสนานั้น สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ

คำว่ากิจการนั้น ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสกอลี กล่าวว่า มันหมายถึงเรื่องของศาสนาที่มีอยู่แล้ว..ทั้งนี้เพราะท่านนบีถูกส่งมาเพื่อประกาศศาสนาดดยตรงแล้ว ฉนั้นใครที่มาแอบอ้างหรือเสกสรรเพิ่มเติมดดยที่ไม่มีรากฐานที่มานั้นย่อมถูกปฎิเสธและถือว่า เป็นเรื่องที่เลว

สรุปแล้วในทัศนะหรือความคิดของอีหม่ามชาฟีอีซึ่งเป็นชนยุคสลัฟตัวจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเสนอหรือแนะนำให้ประชารกรอิสลามนั้นล้วนมีที่มาจากแบบอย่างท่านนบีและซุนนะคอลีฟะ และซอฮาบะ เพราะช่วระยะเวลา ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ในปี ฮศ.204นั้น นักปราญช์ทั้งหลายล้วนมีความรู้กันอย่างมากมายและทุกคนล้วนทำงานศานสนาอย่างขะมักขะเม้น เป็นที่แน่นอนว่า การวินิจฉัย เรื่องราวของศนาสนาต่างที่ตกมายังเราในยุคปัจจุบันนี่ ย่อมไม่มีอะไรแอลแฝงหรือผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น แป็นที่ทราบกันว่าในยุคอดีตนั้น แนวทางทั้ง4 เป็นที่ยอมรับและเลื่องลือทั่วโลกมาตลอด

ถ้าจะเปรียบเทียบผลงานและการให้ความยอมรับของปรวงปารชณ์ในอดีตกับท่านนอิหม่ามชาฟีอีอและบรรดาลูกศิษย์กับท่านอีหม่ามอิบนุตัยมียะและบรรดาสานุศิยษ์ที่เจริญรอยตามแล้ว ก็พอจะสรุปข้อย่อยๆได้ดังนี้


-ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)คือ1 ใน4 แนวทางที่ถูกต้องของมัสหับทั้ง4 และเป็นที่รู้จัก ของปรวงปราชญ์ทั้งหลาย
-บรรดาสานุศิษย์ของท่านยอมเป็นที่รุ้จักเป็นที่ยอมรับของบรรดาอุลามะในมัสหับทั้ง3เป็นอย่างดี

ท่านอีหม่ามชาฟีอี (รฮ) เสียชีวิตในปีฮศ204

ท่านอิบนุตัยมียะฮส.724 และไม่ที่รู้จักของปรวงปราญน์ในยุคของอีหม่ามทั้ง4 และผลงานบางเล่มของท่านได้รับการคัดค้านเป็นส่วนมากเพราะท่านไม่ใช่เป็นคนที่มีความรู้เรื่องทุกวิชา
โดยเฉพาะอกีดะของท่านถือว่า ถูกตำหนิและไม่เเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างจากอุลามะในสมัยนั้น

-บรรดาลูกศิษย์ของท่านไม่ว่า อิบนุกอยยิม ฯลฯ ล้วนที่ไม่เป็นที่รู้จักของบรรดานักวิชาการของมัสหับทั้ง4 และไม่ได้เป็นจากยุคสลัฟ

ถ้าบวกลบอายุความน่าเชื่อถือระหว่างท่านอิหม่ามชาฟีอิกับท่านอิหม่ามอิบนุตัยมียะแล้วห่างประมาณ 500 ปีกันแล้ว

และจะเห็นว่าระหว่างความน่าเชื่อถือในการรับรายงานการกระทำนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตในยุคสลัฟนั้นย่อมจะได้รับการน่าเชื่อถือมากกว่า
ทุกอย่างที่ท่านอีหม่ามวินิจฉัยเป็นตัวบทย่อมนำบันทัดฐานมาจากอัลกรุอ่านและซนนะท่านนบีและรวมทั้งบรรดาซอฮาบะของท่าน และมติของปรวงปราญช์ทั้งหลายที่มีความรู้ ในสมัยนั้นมาเป็นมาตรฐาน

ส่วนอิหมามิบนุตัยมียะนั้นบางอย่าง ท่านก็รับมาจาก อีหม่ามทั้4 และสิ้งใดที่สอดคลฃ้องกับแนวทางของตนก็นำมันมา เช่นการฟัตวาว่า การหย่าร้างด้วยการสาบานนั้น หากไม่ปฏิบัติตามถือว่าไม่ตกหย่า เพียงแต่ผู้สาบานนั้นจ่ายกัฟฟาเราะก็พอ (ทั้งที่การสาบานได้ถูกเอ่ยนามก็ตามถือว่าเป็นโมฆะ) การหย่าร้างสามครั้งโดยกล่าวครั้งเดียวถือว่าตกแค่ครั้งเดียว การไปเยี่ยมกุโบร์ ของท่านอิบรอฮีม คอลีลและท่านนบีมูฮำมัด(ศ)ถือว่าเป็นมักโระฯลฯ

นี่คือตัวอย่างการผิดพลาดที่อุลามะทั่วไปไม่ยอมรับท่าน

ที่ยกมานี้เพิ่อให้พี้น้องได้เห้นว่า
ระหว่างการตะฮัศสุบที่ยึดความเห็นใดๆจากท่านอินุตัยมียะเป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิตแล้วมันย่อมอันตรายกว่าการยึดตามอีหม่ามที่รู้และเป็นคนในยุคสลัฟและปลอดภัยกว่าด้วยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมาแล้ว

วัสลาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 12:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณอาดีล

หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้

เมื่อไม่มีหลักฐานตรงๆ ก็หันไปใช้หลักกิยาสอย่างนี้ใช่ใหม

1.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลกรุอ่านหรือไม่
2.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลฮาดีส หรือไม่
3.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากซฮาบะหรือไม่
ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากอิห่ามทั้4หรือไม่
4.
ตอบด้วยครับและกรุณานำหลักฐานที่คุณมีมาเสนอด้วยขอบคุณล่วงหน้า

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 12:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คนเดินผ่าน...คุณคือคนเดียวกับไออาเอฟนะครับ

คุณพูดว่า...
...1.การสนทนาเราควรเคร่งครัดในกฏกติกา เราควรนำเสนอจากอัลกรุอานและแบบอย่างจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นหลัก.

ถูกต้องครับ..นี้คือสิ่งที่เราต้องการมาก ปัญหามันอยู่ที่วะฮาบีย์นั้นชอบเอาคำพูดหรือความเห็นมาเผยแพร่หรือหักล้าง.คำวินิจฉัยของอุลามะในยุคสลัฟนี้ซิสิครับ จะทำอย่างไร..
เช่นจากท่านอิบนุตัยมียะ จาสก่ทานอินุกอยยิมจากท่านอัลศูมีย์ ท่านอัลยานี. ฯลฯ

และจะใหเราทำอย่างไรละครับท่านคนเดินผ่าน..ฮ้าๆๆๆ

.2...มาตราฐานของเราคือแบบอย่างของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดและถูกต้องที่สุด..

แน่นอนครับ ทุกอย่างต้องดึงมาจากซุนนะนบีทั้งนั้น และคอลีฟะทั้ง4 ด้วยรวมถึงบรรดาซอฮาบะของท่านด้วยครับผมขอเสริมให้

...อัลลอฮ ตะอาลา ตรัสว่า " ถ้าหากพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ก็จงนำเรื่องนั้นกลับไปยังอัลลอฮและร่อซูล หากว่าพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮและวันอาคิเราะฮฺ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง" อัลนิซาอฺ 4 : 59 ...

ฮะฮ้า เราไม่เคยทิ้งอายะนี้ เลยและเราก็ยอมรับไปในวันอาคีเราะฮ์อยู่แล้วครับ..ฮิๆๆๆ

จริงแล้วเรื่องที่เราพูดกันนี้มันไม่ได้เพิ่งขัดแย้งเลยมันเป็นปัญหาที่สั่งสมกันมาตั้งแต่อดีตแล้ว
และได้ถูกนำกลับไปโดยผู้รู้ในยุคอดีตแล้วด้วย แต่มันถูกคุ้ยขึ้นมาใหม่โดยวะฮาบีย์ ที่ไม่ยอมรับผลการสรุปของปรวงปารญชน์ในครั้งนั้น

ไม่ว่าประเด็นก็ตามใดๆ ไม่ว่าเขาผู้นั้นหรืออุลามะจะมีมีความรู้มากกว่าก็ตาม ถ้าไม่ใช่ท่านนบี(ศ) และอุลามะในสายของตัวเองนั้นทั้งที่เขาเหล่านั้นไม่เป็นที่ยอมรับจากอุลามะยุคก่อนก็ตาม

ถามคุณเดินผ่าน อายะที่ขีดเส้นใต้นั้น ถ้าไม่ตีความแล้ว คนทีไม่มีความรู้หรือคนเอาวามนั้นเขาจะนำกลับสิ่งนั้นไปหาอัลลอฮ์(ซบ)และท่านรอซุลอย่างไรครับ ช่วยแนะนำด้วย
..โปรดตอบบ้าง อย่าถามเเต่ฝ่ายเราข้างเดียว.....



...ไม่ว่าในประเด็นใดๆที่ Al-Azharyและคุณ Al-Farook นำมาพูดคุยชี้แจง ก็ควรนำเสนอจากหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ แบบอย่างจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น ถ้าไม่มีก็ควรยุติบทบาทของตัวเองในประเด็นนั้นๆ ..

นี้คือความไม่เข้าใจในการใช้ฮาดิสของ. วะฮาบีย์ และถ้านำเรื่องนี้ไปคุยกับพวกชีอะจะต้องโดนตะเพิดแน่ ว่ากุฮ่าดิสขึ้นมาบ้างฮ้าๆๆและถ้าคุยกับพวกยับบารียะแน่อนฮาดิสนั้นเขาไม่เอามาเป็นข้ออ้างเลย

คนเดินผ่านครับ ฮาดิสฮะซัน ฮาดิสดออีฟไม่มีค่าหรือครับ แล้วฮาดีสดออีฟในแนวทางของท่านอีหม่ามอะหมัดถ้าเอามาใช้ในการตัดสินและการปฏิบัตินะครับ
ตกลงท่านคนเดินผ่านนจะยึดถืออะไรกันแน่ครับ หวังว่าคงจะไม่เอาทั้ง 4 แนวทางนะครับ

...
...ส่วนประเด็นในการละหมาด การกล่าวเหนียต อุซอลลีนั้น ง่ายๆสั้นๆครับ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า " ท่านทั้งหลาย จะละหมาดเช่นเดียวกับที่ท่านเห็นฉันละหมาด " บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ ...

Crying or Very sad คนละเรื่องเลย การกลบ่าวอุศอลีคทือ การตั้งใจเจตนาย้ำว่าตัวเองนั้นกำลังจะทำอะไรอยู่หรือเป็นการเตือนสติตัวเองทั่กำลังเบรอๆหรือยังไม่ได้สติว่ากำลังจะเข้าเฝ้าอัลลออ์(ซบ) เท่านั้นครับ มันอยู่นอกละหมาด เเละได้จัดในรู่กนละหมาดสักหน่อย...ไปกันใหญ่แล้ว..

... คุณ Al-Farook ก็ควรนำเสนอหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ แบบอย่างจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการกล่าวเหนียต อุซอลลี ในประเด็นการละหมาด ถ้ามีก็นำเสนอมา แต่ถ้าไม่มีคุณก็
...ก่อนจบขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของ ท่านอิมาม มาลิก ร่อฮิมุลลอฮฺ " แต่ละคนนั้น คำพูดของเขาจะได้รับการยอมรับหรือถูกขว้างทิ้งไปได้ทั้งนั้น นอกจากคำพูดของเจ้าของหลุมศพนี้เท่านั้น พลางท่านชี้ไปที่หลุมศพของ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม " ...


-----คนเดินผ่านครับ อย่าพูดเเบบเด็กอมมือหน่อยเลย..ครับ..
...
Twisted Evil ถ้าสมมุติคุณนั้นมีความผิดต่ออัลลออ์(วบ)อย่างมาก แล้วคุณต้องการกล่าว อิสติฟาต์ อยู่ตลอดเวลา และพอเริ่มจะละหมาดคุณยังคงกล่าวอิสติฟาตให้กับตัวเองอยู่ จุ๋ๆคุณก็ยกมือตักบีรละหมาดเลยหรือครับ ไม่ตั้งสมาธก่อนหรือครับ ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่นี้ หรือว่า คุณเข้าใจแล้วว่าอัลลออ์รู้ดีว่า ท่านละหมาดแล้ว ถ้าอย่างนี่ถือว่า คุณเอาเรื่องการเอิยะติกอดไปโยงกับภาคชารีอัต(การปฏิบัติ)ซิครับคุณอย่ามักง่ายกับการถวายละหมาดต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงให้ชีวิตเราเลยครับ ใจเย็นช้าๆมีสามาธิ นั้นดีมากนะครับ.. การรู้ว่าอัลลออ์ทรงรู้ถึงจิตใจของบ่าวนั้นมันเป็นวายิบที่เรามุสลิมต้องศรัทธาอยู่แล้ว แต่การปฏฺบัติด้วยความนอบน้อมถ้อมตนนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ตักวา และท่านนบี..ก็กำชับเราเสมอครับ...ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ สามาธิที่ดีนั้นแทบจะหาไม่ได้เลย..

ส่วนคุณจะกล่าวค่อยหรือดังหรือจะไม่กล่าวก็ไม่ได้เป็นวายิบ บอกแล้วไงว่า เป็นสิ่งที่ดี ในรากฐานของศาสนา และไม่เป็นฮารามแต่อย่างใด

ข้อสำคัญ

อย่าเผอเรอและหลงลืมนะครับ ต้องเตือนตัวเองไว้ให้ระมัดระวังอยู่ตลอดเว

และเรื่องการกล่าวอุศอลีนั้นอุลามะในยุคสลัฟและบรรดาลูกศิษย์ของท่านอีหม่ามทั้ง 4 ไม่มีใครว่าเป็นบิดอะเลย จะมีก็เฉพาะวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมนี้แหละครับ..ฮ้าๆๆๆ


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 2:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

และแล้วอัลฟารูกนักศึกษาอัซฮัรก็ลื่นไหลไปอีกเช่นเคย

ผมถามหาตัวบทหลักฐาน แต่อัลฟารูกกลับเลี่ยงไปพูดถึงการอ้างอิงหลักฐาน แล้วก็เลยไปเฉยๆ
สี่ข้อที่ผมชี้ให้เห็นว่า การตะลัฟซุฟ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดนั้น

หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้


อัลฟารูกไม่ตอบ,ไม่ชี้แจงทั้ง 4 ข้อที่ผมกล่าวไว้
ผมย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าไม่มีหลักฐานการตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาด (ไม่มีจริงๆ)
แต่อัลฟารูกพยายามบ่ายเบี่ยงไปพูดเรื่องการอ้างอิงหลักฐานว่า
“แบบสะลัฟนั้น คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวซอฮาบะฮ์”
ผมอยากให้อัลฟารูกจริงใจต่อการกล่าวเช่นนี้ด้วย เพราะคุณย้ำว่า
“การสนทนาที่อยู่ในกรอบของวิชาการ อยู่ในรูปแบบของการอ้างหลักฐานแบบสะละฟุศศอลิหฺ”

ถ้าเช่นนั้นลองเอาการอ้างหลักฐานตามแบบสะลัฟที่อัลฟารูกกล่าวมาเรียงลำดับกันทีละข้อโดยเริ่มต้นจาก

ข้อที่ 1 หลักฐานจากอัลกุรอาน

สำหรับผมแล้วยืนยันตามเดิมว่า ไม่มีหลักฐานการตะลัฟซุฟหรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดจากอัลกุรอาน

ถ้าอัลฟารูกมีหลักฐานอ้างอิงจากอัลกุรอานก็นำเสนอด้วย

ชาวสะลัฟเขาขึ้นต้นจากอัลกุรอานเป็นประการแรกไม่ใช่หรือ อย่าลื่นไหลไปไหนอีกละ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 2:13 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณคนอยากรู้ก็เช่นกัน เข้ามาก็ถามอย่างนี้

1.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลกรุอ่านหรือไม่
2.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลฮาดีส หรือไม่
3.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากซฮาบะหรือไม่
ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากอิห่ามทั้4หรือไม่
4.ตอบด้วยครับและกรุณานำหลักฐานที่คุณมีมาเสนอด้วยขอบคุณล่วงหน้า

คุณได้รู้เรื่องกิยาสแน่ๆ แต่ผมบอกก่อนว่า
ไม่มีอุลามาอ์คนใดในยุคใดๆเลยที่กระโดดข้ามจากอัลกุรอานและฮะดีส แล้วไปขว้ากิยาสมาเป็นอันดับหนึ่ง คุณคนอยากรู้หันกลับไปอ้างอิงหลักฐานของชาวสะลัฟตามที่อัลฟารูกเสนอซิ ขึ้นต้นจากอัลกุรอาน แล้วเรียงลำดับไปทีละข้อ เราจะได้คุยด้วยกันในประเด็นเดียวกันทีละข้อ

ข้อที่ 1 หลักฐานจากอัลกุรอาน

สำหรับผมแล้วยืนยันตามเดิมว่า ไม่มีหลักฐานการตะลัฟซุฟหรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดจากอัลกุรอาน

ถ้าคนอยากรู้กับคณะมีหลักฐานอ้างอิงจากอัลกุรอานก็นำเสนอด้วย

ชาวสะลัฟเขาขึ้นต้นจากอัลกุรอานเป็นประการแรกไม่ใช่หรือ อย่าลื่นไหลไปไหนอีกละ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 3:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจาก อะดีล (แต่จริงแล้ว เขา ซฺอลิม)

การตะลัฟซุฟ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาดนั้น

หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้

อัลฟารูกไม่ตอบ,ไม่ชี้แจงทั้ง 4 ข้อที่ผมกล่าวไว้
ผมย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าไม่มีหลักฐานการตะลัฟฟุซ หรือการกล่าวคำเนียตก่อนละหมาด (ไม่มีจริงๆ)
แต่อัลฟารูกพยายามบ่ายเบี่ยงไปพูดเรื่องการอ้างอิงหลักฐานว่า
“แบบสะลัฟนั้น คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวซอฮาบะฮ์”
ผมอยากให้อัลฟารูกจริงใจต่อการกล่าวเช่นนี้ด้วย เพราะคุณย้ำว่า
“การสนทนาที่อยู่ในกรอบของวิชาการ อยู่ในรูปแบบของการอ้างหลักฐานแบบสะละฟุศศอลิหฺ”

ตอบ


คุณอะดีลไปอยู่หลุมใหนมาครับ พอออกจากหลุม ก็มีความสามารถแค่มาตั้งคำถามที่ "หาคำตอบไม่ได้" คือง่ายๆว่า ฉันจะต้องคำถามที่ไม่มีคำตอบ ถ้าฉันจะได้เข้ามาถามไปเรื่อยๆ แล้วพวกเราก็ตอบไม่ได้ไปเรื่อยๆ และคุณอะดีลก็เข้ามาทำตัวเหมือนกับว่า ฉันนี่แหละแจ๋ง ถามคำถามที่ นักศึกษาอย่างบังอัลฟารูกตอบไม่ได้ คุณอะดีลครับ อย่าว่าแต่บังอัลฟารูกเลยที่ตอบไม่ได้ อุลามาอ์ทั้งประชาชาติอิสลามเขาก็ตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะคำถามที่คุณตั้งขึ้นมานั้น มันเป็นคำถามที่ "ผิด" เป็นคำถามที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่ถูกต้องการประเด็นตรงนี้ หากมีอัลกุรอาน หะดิษ การกระทำของซอฮาบะฮ์ ได้ชี้ถึงการมี "การกล่าวคำเหนียต" จริงแล้ว บังอัลฟารูก ก็จะนำมันมาเสนอ แต่นี่บังอัลฟารูก ไม่ได้นำเสนอ เพราะว่ามันไม่มี เนื่องจากประเด็นนี้ ใช้ในเรื่องหลักฐานของการ "กิยาส" เท่านั้น พูดง่ายๆว่า บังอัล-ฟารูก บอกว่า มันมีหลักฐานเรื่องการกิยาส ดังนั้น เมื่อพอผู้อ่านได้ทราบจากการนำเสนอของบังอัล-ฟารูกอย่างนี้แล้ว (และส่วนหนึ่งในนั้นคือ คุณอะดีล (แต่เขาซฺอลิม) พวกเขาก็เข้าใจเลยว่า มันมีหลักฐานแค่การกิยาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณอะดีล ก็ถึงเวลาออกจากหลุม มาตั้งคำถามที่ไม่มีคำตอบให้กับเขา เพื่อจะให้ผู้อ่านรู้ว่า "กูแจ๋ง" ถามคำถามที่ บังอัลฟารูกตอบไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านผู้อ่านก็เข้าใจดีว่า คุณอะดีลออกจากหลุมเข้ามาตั้งคำถามแบบ "ไร้หลักการ" ในการสนทนา (เรื่อการกล่าวคำเหนียต) ฮ้าๆๆ แล้วคุณอะดีลก็ถามแบบขาดความเข้าใจว่า

อ้างอิงจากอะดีล (แต่เขาซฺอลิม)

คุณได้รู้เรื่องกิยาสแน่ๆ แต่ผมบอกก่อนว่า
ไม่มีอุลามาอ์คนใดในยุคใดๆเลยที่กระโดดข้ามจากอัลกุรอานและฮะดีส แล้วไปขว้ากิยาสมาเป็นอันดับหนึ่ง คุณคนอยากรู้หันกลับไปอ้างอิงหลักฐานของชาวสะลัฟตามที่อัลฟารูกเสนอซิ ขึ้นต้นจากอัลกุรอาน แล้วเรียงลำดับไปทีละข้อ เราจะได้คุยด้วยกันในประเด็นเดียวกันทีละข้อ

ตอบ

ฮ้าๆๆ พูดมาได้ว่า คว้ากิยาสมาอันดับหนึ่ง คุณอะดีล (สะลัฟพันธ์หลอกๆ)ครับ การที่เราบรรดาอุลามาอ์อ้างการกิยาสนั้น เนื่องจากเขากลับไปพิจารณา อัลกุรอาน แล้วไม่พบ ก็กลับไปพิจารณาซุนนะฮ์ หากไม่พบก็ไปพิจารณาอิจญฺมาอ์ ซึ่งหากไม่พบ ก็กลับไปพิจารณาเรื่องกิยาส ซึ่งหากมีการกิยาสได้ ก็เอาหลักฐานกิยาส และการเอาหลักฐานกิยาสนี้ จึงไม่ใช่เป็นการข้ามอัลกุรอานหะดิษ น่ะคุณอะดีล (แต่ซฺอลิมตัวเอง) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) เคยท่านถาม มุอาซฺ ในขณะที่ส่งไปเยเมนว่า "ท่านจะทำการตัดสินอย่างไร ? มุอาซกล่าวว่า "ฉันจะตัดสินด้วยกิตาบุลลอฮ์" ท่านร่อซุลกล่าวว่า แล้วท่านไม่พบล่ะ ท่านมุอาซฺตอบว่า "ฉันจะตัดสินด้วย ซุนนะฮ์ของร่อซูลิลลาห์" ท่านร่อซูลถามว่า "หากไม่พบล่ะ" มุอาซฺตอบว่า "ฉันก็จะตัดสินด้วย ความเห็นของฉัน โดยไม่ทำให้บกพร่องเลย " และการกิยาสก็อยู่ในประเภทของ ความเห็นที่อิงไปยังอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญมาอ์ ตามหลักการของสะลัฟนะครับ คุณอะดีลคงจะเข้าใจนะครับ งั้นถามหน่อย
การร่วมประเวณี ในการทำอุมเราะฮ์นั้น ทำให้เสียอุมเราะฮ์หรือไม่ ? คุณอะดีลตอบได้หรือเปล่าครับ ? อย่าบอกน่ะว่าเอากิยาส ไม่งั้นทัศนะของคุณก็พัง ฮ้าๆๆ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 4:11 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง al-azhary อ้างว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) เคยท่านถาม มุอาซฺ ในขณะที่ส่งไปเยเมนว่า "ท่านจะทำการตัดสินอย่างไร ? มุอาซกล่าวว่า "ฉันจะตัดสินด้วยกิตาบุลลอฮ์" ท่านร่อซุลกล่าวว่า แล้วท่านไม่พบล่ะ ท่านมุอาซฺตอบว่า "ฉันจะตัดสินด้วย ซุนนะฮ์ของร่อซูลิลลาห์" ท่านร่อซูลถามว่า "หากไม่พบล่ะ" มุอาซฺตอบว่า "ฉันก็จะตัดสินด้วย ความเห็นของฉัน โดยไม่ทำให้บกพร่องเลย
................
ตอบ

น้องเอาหะดิษนี้มาใช้อ้างอิงในการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ นั้น ฟังไม่ขึ้นหรอก ส่วนรายละเอียดค่อยว่าอีกที ตอนนี้ไม่ว่าง เรื่อง กล่าวคำเนียต ย่อมรับเถอะครับว่า ไม่มีหลักฐาน ส่วนน้องจะทำนั้น เป็นสิทธิของน้อง ไม่มีใครห้ามได้ และอยากขอร้องว่า อย่าใช้อารมณืโต้เถียงกันอีกเลย

เรื่อง กิยาส น้องก็บอกเองว่า ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แล้วมันเหตุผมอะไรที่ต้องเอาหลักการกิยาสมาเพื่อรับรอง การกล่าวคำเนียต และดูเหมือนว่า อ้างกันทุกเรื่อง เพราะเรื่องต่อๆไปที่จะคุยกัน ก็หนี้ไม่พ้น การอ้างเรื่อง กิยาส อีกนั้นแหละ โดยเฉพาะเรื่อง อ่านตัลกีน ที่น้องอัล-ฟารุกบอกว่า จะคุย เพราะการสอนคนตายให้ตอบคำถามมลาอิกะฮในหลุมศพ มันแค่เป็นนิยายชวนหัว มีบางท่านกระซิบ ให้บังอะสันหยุด โต้เถียงกันเรื่องเหล่านี้ เพราะมันไร้สาระ เพราะ พูดไปคนละมาตรฐาน ยิ่งเอาอุลามาอมาอยู่ในระดับ ว่า ความเห็นของพวกเขา เป็นศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 7:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ครับ จึงสรุปคำตอบของน้อง al-farookได้ว่า ที่กล่าวคำว่า “อุศอ็ลลี”ก่อนละหมาดนั้น ไม่วาญิบ ไม่จำเป็น และ การทำอิบาดะฮนั้น ไม่เน้นเรื่อง ผลบุญ คือ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา แบบคนมักน้อย

ตอบ

ผมลืมตอบคำพูดแทนบังอัล-ฟารูก จากบังอะสันไปสักนิด เนื่องจากเมื่อกี้มีธุระนิดหนึ่ง บังอะสันผู้ทำอิบาดะฮ์โดยมุ่งเน้นผลบุญและผลตอบแทนครับ หากบังอะสันทำอิบาดะฮ์โดยเป็นส่อแสดงถึงความเป็นทาสความ "อยากของจิตใจ" ในการอิบาดะฮ์เพื่อผลบุญล่ะก็ บังก็มุ่งหวังและกระทำไปเถิดครับ บังจะมาให้พวกเราคิดตั้งใจเหมือนกับความอยากที่บังอะสันมี ก็คงไม่ได้หรอกครับ พวกเราทำอิบาดะฮ์ ไม่ได้มุ่งหวังอะไร ไปมากกว่าความเป็นบ่าวเท่านั้นเอง หน้าที่ของความเป็นบ่าว ไม่ว่าอัลเลาะฮ์จะสั่งอะไรก็ทำไปให้ดีที่สุด แต่ส่วนผลบุญที่จะได้นั้น พระองค์ทรงให้เอง เราไม่ต้องไปทวงถาม หรือยากได้ผลการตอบ เหมือนกับทาสทำงานโดยหวังค่าจ้างจากนายหรอกครับ เนื่องจากเราจะทำขออะไร หรืออยากได้อะไรนั้น พระองค์จะทรงให้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ใช่ให้ตามที่เราประสงค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ใช่ตอบแทนตามที่เราประสงค์ เนื่องจากสิ่งที่เราจะได้รับนั้น หรืออยากได้นั้น มันเป็นของอัลเลาะฮ์ ไม่ใช่เป็นของเรา ดังนั้น เราจะทำอะไรก็อย่าไปถืออภิสิทธ์ว่า เราต้องได้ผลบุญแค่นั้น แค่นี้ ฉะนั้น เราทำอิบาดะฮ์ก็ทำเพราะความเป็นบ่าวก็พอ อย่าถามเรื่องผลบุญ เนื่องจากอัลเลาะฮ์ทรงให้เองล่ะครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

อ้าว..เป็นงั้นไป แต่บังว่า การตามสุนนะฮของท่านบี (ศอลฯ)มันง่าย แต่ที่ยาก เพราะมีคนมาทำเรื่องง่าย ให้เป็นภูเขา เลย กลายเป็นเรื่องหนักใจและยุ่งยากกับชาวบ้าน

ตอบ

การกล่าวคำเหนียตเป็นแค่สุนัตครับ ไม่ใช่เป็นข้อบังคับที่ต้องทำให้ลำบาก การกล่าวคำเหนียตมันเป็นมัสอะฮ์ข้อปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่บรรดานักปราชน์ทั้งหลายไม่นำมันมาเป็นประเด็นในการสร้างความแตกแยกและทำมันเป็นเรื่องใหญ่ จนกระทั้งมีกลุ่มหนึ่ง ที่มีนามว่า "วะฮาบีย์" ได้ทำการหุกุ่มว่า การกล่าวคำเหนียต เป็นบาป บิดอะฮ์ ตกนรก จนกระทั้ง ใครกล่าวคำเหนียต ทำบิดอะฮ์จนไม่อยากจะตามละหมาดกับเขา ดังนั้น การกล่าวคำเหนียตจึงเป็นเรื่องที่ทำให้สะดวกแก่ผู้มีจิตใจไม่มีสมาธิ แต่ผู้ที่มีนามว่า "วะฮาบีย์" ทำมันเป็นเรื่องใหญ่ให้เป็นภูเขา ใครทำแล้วตกนรก !!! ซึ่งปัญหาข้อปลีกย่อยนี้ มันทำให้ตกนรกกันเลยหรือครับ??? อุลามาอ์ท่านใดในโลก ท่านใดที่หรือครับ ที่บอกว่า การกล่าวคำเหนียตตกนรก เพราะโทษฐานทำบิดอะฮ์ (ที่ลุ่มหลงตามทัศนะของวะฮาบีย์)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ยกตัวอย่าง การทำนุ่นให้เป็นภูเขา เช่น
ในขณะทีกล่าว คำว่า “อัลลอฮุอักบัร”นั้น ต้องการเนียตจะต้องพร้อมกับตักบีร โดยให้มี 1. เกาะศอ็ด 2. ตะอฺรอฎ 3. ตะอยีน แล้วคำว่า พรอ้ม(มุกอเราะนะฮ)กับการตักบีรนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. มุกอเราะนะฮอุรฟียะฮ
2. มุกอเราะนะฮเตาซีอียะฮ
3. มุกอเราะนะฮกะมาลียะฮ
คนเรียนปอเนาะตัวจริง ต้องได้เรียนมาแล้วแบบนี้

ตอบ

นั่นเป็นการรายละเอียด สำหรับนักศึกษาวิชาความรุ้ ที่ไม่บังคับให้ทำการศึกษาแบบฟัรดูอีน บังอะสันก็อย่าไปเอาเหมารวมว่าชาวบ้านธรรมดาต้องเรียนเรื่องแบบนี้ด้วยซิครับ และการแบ่งเตาฮีดเป็น 3 ประการ โดยนำหลักการแบ่งที่ไม่มีสะลัฟท่านใดรู้มาก่อนเลย แล้วก็วะฮาบีย์นำมาหุกุ่ม กับผู้ที่ไม่อยู่กับแนวทางของตนว่า คนนี้ไม่มีเตาฮีดอุลูอียะฮ์ เขาเป็นมุชริกกีน เรื่องตะวัสซุลที่วะฮาบีย์ไม่เอา ก็ไปหุกุ่มผู้ตะวัศซุลว่า เป็นมุชริกีน แบบนี้มันมีกันตั้งแต่สมัยใหน??


อ้างอิงจากบังอะสัน

เห็นไหมละครับ มันยากแค่ใหน เวลา ตักบีร เลยต้องลากเสียงยาว จนเกือบจะสิ้นลมปราณ น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ บางคนตักบีรถึง สามสี่ครั้ง เพราะเนียตไม่ติด ซุบฮานั้ลลอฮ

ตอบ

เราต้องสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านว่า หากลำบากนั้น ก็เพราะพวกเขาเหนียตยาวไป เหนียนสั้นว่า "ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูซุฮร์" ก็พอแล้ว ซึ่งประเด็นนี้มันไม่ใช่เพราะเหตุของการกล่าวคำเหนียตเลยแม้แต่น้อย แต่บังอะสันพยายามพูดนอกประเด็นในสิ่งที่เรากำลังคุยกัน แสดงว่าบังอะสันคงไม่มีอะไรมาอ้างหลักฐานหักล้างในทัศนะของเราแล้วซิครับ เนี่ย


อ้างอิงจากบังอะสัน

อยากจะถามว่าสมมุติว่า คนหนึ่งจะละหมาดแล้วเผลอกล่าวคำเนียต ว่า “ข้าพเจ้าเจตนาเอาน้ำละหมาด”แต่ในใจเนียตว่า ข้าพเจ้าละหมาด..” การละหมาดนั้นใช้ได้หรือไม่?

ตอบ

ผมขอตอบสนทนาแทนบังอัลฟารูกสักนิดหนึ่งว่า คำถามของบังอะสันนี้ ผมขอตอบว่า "การกล่าวคำเหนียตไม่เกี่ยวกับเรื่องในละหมาดครับ" ดังนั้น มันจะทำให้เสียละหมาดไม่ได้ และการพิจารณานั้น คืออยู่ที่การเหนียต ไม่ใช่การกล่าวคำเหนียต การเผลอผิดพลั้งไปนั้น อิสลามไม่เอาโทษหรอกครับ แต่หากทำเล่นๆโดยเจตนานั้น ถือว่าเป็นบาป เพราะเขาทำเล่นๆกับเรื่องศาสนา

อ้างอิงจากบังอะสัน

น้องเอาหะดิษนี้มาใช้อ้างอิงในการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ นั้น ฟังไม่ขึ้นหรอก ส่วนรายละเอียดค่อยว่าอีกที

ตอบ

เชิญว่ามาได้เลยครับ เพราะผมเองก็พอรู้มาบ้างว่า วะฮาบีย์ เขาจะมาไม้ใหน ?

อ้างอิงจากบังอะสัน

เรื่อง กิยาส น้องก็บอกเองว่า ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แล้วมันเหตุผมอะไรที่ต้องเอาหลักการกิยาสมาเพื่อรับรอง การกล่าวคำเนียต และดูเหมือนว่า อ้างกันทุกเรื่อง เพราะเรื่องต่อๆไปที่จะคุยกัน ก็หนี้ไม่พ้น

ตอบ

ก็ไม่ได้ทำการง่ายๆนะซิครับ ก็เลยต้องการมีหลักการและกฏเกนฑ์ในเรื่องการกิยาส ปัญหาตอนนี้ บังอะสันสนทนาหักล้างมาเท่านั้นเอง และเรื่องต่อๆไปนั้น บังอะสันยังไม่รู้เรื่องว่าหลักฐานมีอะไรบ้าง อย่างเพิ่งตีโพยตีพายไปนะครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

มันแค่เป็นนิยายชวนหัว มีบางท่านกระซิบ ให้บังอะสันหยุด โต้เถียงกันเรื่องเหล่านี้ เพราะมันไร้สาระ เพราะ พูดไปคนละมาตรฐาน

ตอบ

ต้องพูดอย่างนี้ซิครับบังอะสัน ผมจะได้ขอให้บังมุหัมมัดเข้ามาร่วมสนทนา เรื่องทัศนะของอุลามาอ์ กลับทำมาเป็นเรื่องนิยาย และประเด็นที่คุยกันนั้น ไม่ใช่เพราะบังอะสันและวะฮาบีย์ ไม่ได้ทำการอ่านคำเหนียต แต่เพราะว่าบังอะสันและคณะวะฮาบีย์ได้ทำการหุกุ่มผู้ที่คำเหนียตว่าบิดอะฮ์นรกต่างหากล่ะครับ ความจริงไม่อยากคุยเรื่องเล็กๆน้อยอย่างนี้หรอกครับ ส่วนมาตรฐานนั้น พวกเราตามมาตรฐานการอ้างหลักฐานแบบสะลัฟครับ ส่วนบังอะสันมาตรฐาน
แบบวะฮาบีย์ ซึ่งมันต่างกันอยู่ แล้วผมค่อยเข้ามาใหม่นะครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 9:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

เพราะมันไร้สาระ เพราะ พูดไปคนละมาตรฐาน ยิ่งเอาอุลามาอมาอยู่ในระดับ ว่า ความเห็นของพวกเขา เป็นศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่

ตอบ

จริงๆแล้ว บังอัล-ฟารูก ก็ละเหี่ยใจ กับการต้องการค้นคว้าประเด็นเรื่อง "กล่าวคำเหนียต" เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ ที่บังอะสันและคณะวะฮาบีย์ เอามันมาเป็นเรือ่งนรกสวรรค์ เขาเรียกว่าเป็น การไม่รู้จักแยกแยะว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในศาสนา อะไรเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับรอง อะไรที่เป็นสิ่งที่เป็นข้อปลีกย่อยในเรื่องอิจญฺฮาด การอิจญฺฮาดของอุลามาอ์ปวงปราชน์ มันไม่ใช่ว่า เป็นสวรรค์หรือนรก การปฏิบัติสิ่งที่สมัครใจนั้น มันไม่ได้หมายถึงสวรรค์นรก การวินิจฉัยของการนักปราชน์ในสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ใช่หมายความว่า หากขัดกับทัศนะอื่น ทัศนะตรงกันข้ามหุกุ่มว่า มันคือ นรก ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ ไม่มีหรอกครับ

และหากมีคนมากระซิบบังอะสันจริงๆอย่างนั้น ย่อมไม่ใช่หมายความว่า มันไร้สาระหรืออย่างไรหรอกครับ แต่มันจะชี้ให้เห็นถึง หลักการของวะฮาบีย์ ที่ยิ่งวัน ความเป็นสะลัฟ หรือ ยกตัวเองว่าเป็น "สะละฟีย์" มันเริ่มจะหายไปทุกวันๆ และการสนทนาที่ผ่านมาตลอดนั้น พวกเราพอใจในการสนทนาในทุกประเด็น อัลหัมดุลิลลาห์ และประเด็นอื่นๆที่บังอัลฟารูก จะเปิดประเด็นอีกต่อๆไปนั้น มันก็จะยิ่งทำให้ความเป็นสะลัฟของวะฮาบีย์ ถูกริดรอนไปเรื่อยๆ บังอะสันคอยติดตามไปเรื่อยๆซิครับ แล้วจะรู้เอง

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 9:35 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส่วนมาตรฐานนั้น พวกเราตามมาตรฐานการอ้างหลักฐานแบบสะลัฟครับ ส่วนบังอะสันมาตรฐานแบบวะฮาบีย์ ซึ่งมันต่างกันอยู่ แล้วผมค่อยเข้ามาใหม่นะครับ
al-azhary ตอบ: Mon Mar 27, 2006 10:10 pm

.......................
การกล่าวคำเนียต เป็นมาตรฐานแบบสลัฟหรือครับ พูดผิด พูดใหม่ได้นะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 9:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

น้องเอาหะดิษนี้มาใช้อ้างอิงในการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ นั้น ฟังไม่ขึ้นหรอก ส่วนรายละเอียดค่อยว่าอีกที ตอนนี้ไม่ว่าง เรื่อง กล่าวคำเนียต ย่อมรับเถอะครับว่า ไม่มีหลักฐาน ส่วนน้องจะทำนั้น เป็นสิทธิของน้อง ไม่มีใครห้ามได้

ตอบ

ไม่มีหลักฐานตามมาตรฐานการอ้างหลักฐานแบบแนววะฮาบีย์ หรือว่า แบบสะละฟุศศอลิหฺครับบังอะสัน การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น เป็นทัศนะของสะละฟุศศอลิหฺ แล้วบังอะสันพูดมาได้อย่างไรว่า การกล่าวคำเหนียตไม่มีหลักฐาน บังอะสันกล้าบอกไว้ใหมว่า "การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้นไม่ใช่เป็นทัศนะของสะละฟุศศอลิหฺ" และบังอะสันพูดได้ใหมว่า "การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้นไม่ใช่หลักฐานหนึ่งของศาสนา" ? หรือว่าบรรดาสะละฟุศศอลิหฺ ได้ทำการกุประดิษฐ์หลักฐานหนึ่งขึ้นมาในอิสลาม แล้วก็ทำการวินิจฉัยบางประเด็นขึ้นมา โดยที่ประเด็นต่างๆเหล่านั้น เป็นบิดอะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีย์ (ที่พยายามอ้างตนเองว่าเป็นสะละฟีย์)

และหากการอ้างหลักฐานต่างๆของเรานั้น ฟังไม่ขึ้น บังอะสันก็กรุณาอ้างเหตุผลมาด่วนเลยนะครับ (แต่หลักฐานห้ามนั้นไม่มีอย่างแน่นอน) และบังอะสันก็สามารถอีเมล์ไปถามอาจารย์มัซฮับวะฮาบีย์ได้หลายคนนี่ครับ แล้วก็เอามาตอบพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้บังอะสันก็ต้องรอและใช้เวลาตอบสักหน่อย พวกเราก็จะรอครับ แต่การพูดอย่างเดียวว่า "มันเป็นการอ้างอิงที่ฟังไม่ขึ้น"นั้น มันยังไม่เพียงพอในการหักล้างหลักฐานของเรา เพราะคำพูดแบบนี้ เด็กๆ ก็พูดออกมาได้ครับ ยังไงเราก็จะรอเหตุผล (หลักฐานไม่มีอยู่แล้ว) ในการหักล้างหลักฐานของเรา

และหากการกระทำเป็นของพวกเรา มันเป็นสิทธิ์ของพวกเราแล้ว แล้วทำไมบังอะสันถึงต้องไปล่วงละเมิดสิทธิ์ในการกระทำของแนวทางอื่น โดยไปหุกุ่มพวกเขาว่าทำบิดอะอ์ ตกนรก ด้วยล่ะครับ หรือว่าสิทธิ์ทำเป็นของพวกเรา แต่สิทธิ์การหุกุ่มบังของบังอะสันและคณะวะฮาบีย์ ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ ไม่มีในสะลัฟ มัซฮับชีฟิอีย์ได้ทำการอ่านกุนุต แต่ก็ไม่ได้ล่วงละเมิดสิทธิ์ ในการกล่าวหามัซฮับหะนะฟีย์ว่า ไม่ทำสิ่งสุนัต และหะนะฟีย์ก็ไม่ได้ไปกล่าวว่า มัซฮับชาฟิอีย์ทำบิดอะฮ์แต่ประการใด มัซฮับชาฟิอีย์ละหมาดวายิบอ่านบิสมิลลาห์ แต่ก็ไม่ได้ละเมิดลามปามทำบิดอะฮ์โดยไปกล่าวฝ่าย หะนะฟีย์ว่า พวกเขาละหมาดใช้ไม่ได้เพราะไม่อ่านบิสมิลลาห์ ซึ่งนั่นคือการอยู่ร่วมกันระหว่างอะฮ์อิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ด้วยกัน นอกจากวะฮาบีย์เท่านั้น ที่อ้างตนเองว่าถูก ส่วนคนอื่นบิดอะฮ์ ?? มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ บังคนอยากรู้ ??

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 9:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

การกล่าวคำเนียต เป็นมาตรฐานแบบสลัฟหรือครับ พูดผิด พูดใหม่ได้นะครับ

ตอบ

บังอะสันต้องเข้าใจคำว่า "มาตรฐานการอ้างหลักฐาน" ของสะลัฟก่อนซิครับ ซึ่งมาตรฐานการอ้างหลักฐานของสะลัฟนั้น พวกเขาไว้วางแนวทางใว้ให้กับบรรดานักปราชน์มุจญฺฮิดรุ่นหลังจากพวกเขาไว้แล้ว และบรรดามัสอะละฮ์ข้อปลีกย่อยนั้น ทุกๆอย่างไม่ได้จำกัดและเกิดขึ้นในยุคสลัฟเท่านั้น แต่ยุคหลังจากพวกเขา ก็มีบรรดาอุลามาอ์นักปราชญ์มัจญฺฮิด ที่ใช้แนวทางของพวกเขาในการวินิจฉัยหุกุ่มได้ ในประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นมาหลักจากยุคของพวกเขา และหนึ่งในประเด็นเล็กๆน้อยๆ นั้น ก็คือ เรื่องการกล่าวคำเหนียต ซึ่งบรรดานักปราชญ์มุจญฺฮิดก็ใช้มาตรฐานในการอ้างหลักฐานของสะละฟุสศอลิหฺ และบังอะสันกล้าบอกใหมล่ะครับว่า "สิ่งที่บรรดาสะลัฟไม่ได้ทำนั้น คือไม่ใช่อยู่ในมาตรฐานของสะลัฟ" ? และการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ไม่ใช่มาตรฐานของสะลัฟ ? และการใช้มาตรฐานการอ้างหลักฐานของสะลัฟมาวินิจฉัยหุกุ่มแล้วสิ่งที่ออกมาจากมาตรฐานนั้นกลับเป็น "บิดอะฮ์" ไปได้หรือครับ?

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 10:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจาก คนเดินผ่าน

การสนทนาเราควรเคร่งครัดในกฏกติกา เราควรนำเสนอจากอัลกรุอานและแบบอย่างจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นหลัก.

ตอบ

คุณคนเดินผ่าน (หรือไออาเอฟ) ครับ การสนทนาเรื่องประเด็นฟิกห์นั้น ใครบอกหรือครับว่า หลักฐานที่จะนำไปพิจารณาประเด็นฟิกห์ มีเพียงแค่ อัลกุรอาน และซุนนะฮ์เท่านั้น โดยไม่ใช้อิจญฺมาอ์ กิยาส และคำกล่าวของซอฮาบะฮ์ และอื่นๆอีก แล้วกฏกติกาที่คุณว่านั้น ใครเป็นคนวางไว้ในการสนทนาระหว่างเราหรือครับ? จำกัดอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ในการนำมาใช้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องฟิกห์นั้น บรรดาซอฮาบะฮ์ และสะละฟุสศอลิหฺ เขามีกฏกติกาอย่างไร? คุณทราบหรือเปล่า? ซึ่งพวกเราก็บอกไปแล้วว่า เราจะทำการสนทนา "บนมาตรฐานการอ้างหลักฐานของสะละฟุศศอลิหฺ" และนั่นแหละคือหลักเดิม แต่เราจะทำการสนทนาตามมาตรฐานของวะฮาบีย์นั้นคงไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าไม่ได้อยู่บนมาตรฐานการอ้างหลักฐานของสะละฟุสศอลิหฺ และด้วยเหตุนี้แหละ ที่เราเรียกวะฮาบีย์ว่าสะละฟีย์ไม่ลง โพทนาว่าฉันคือสะละฟีย์ แต่มาตรฐานไม่ได้อยู่บนหลักการของสะละฟุสศอลิหฺ ทำไมมันถึงได้ค้านกันเองอย่างนี้ ??? บังคนอยากรู้ช่วยออกความเห็นหน่อยซิครับ ? เพื่อท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์บ้างนะครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Mar 27, 2006 10:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قد جاء الحديث : > أيها الناس كلكم يناجي ربه فلا يجهرن بعضكم على بعض بالقراءة < فكيف حال من يشوش على الناس بكلامه بغير قراءة بل يقول : نويت أصلي أصلي فريضة كذا وكذا في وقت كذا وكذا من الأفعال التي لم يشرعها رسول الله صلى الله عليه وسلم
แท้จริงได้ปรากฏหะดิษว่า “ โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านทุกคน กำลังกระซิบกับพระผู้อภิบาลของเขาตามลำพัง ดังนั้น พวกท่านอย่าทำเสียงดังรบกวนซึ่งกันและกัน ด้วยการอ่าน”- แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า กับสภาพของคนที่รบกวนผู้คน ด้วยคำพูดของเขา อื่นจากการอ่าน แต่ทว่า เขากล่าวว่า “ ข้าพเจ้าเจตนาละหมาด ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูนั้น ฟัรดูนี่ ในเวลานั้น เวลานี้ ที่มาจากส่วนหนึ่งของการกระทำ ที่ท่านรซูลุลอฮ ศอ็ลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมไม่ได้มีบัญญัตเอาไว้ ดู كتاب الفتاوى الكبرى، الجزء 2، صفحة 2

ตอบ

ดูซิครับ หลักฐานไม่หลักฐานใดห้ามการกล่าวคำเหนียตเลยแม้แต่น้อย แต่จนแล้วจนเล่าอะสันก็ไปใหนไม่รอด ก็เลยต้องกลับไปอ้างคำกล่าวของอิบนุตัยมียะฮ์ตามเคยครับ แล้วอ้างหะดิษของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ว่า " โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านทุกคน กำลังกระซิบกับพระผู้อภิบาลของเขาตามลำพัง ดังนั้น พวกท่านอย่าทำเสียงดังรบกวนซึ่งกันและกัน ด้วยการอ่าน" ซึ่งหะดิษนี้ไม่ได้ระบุเลยแม้สักนิดเดียวที่ขี้ถึงการห้าม "กล่าวคำเหนียต" แต่อิบนุตัยมียะฮ์ ให้หลักกิยาส (ที่ฟาริก)ในการห้ามอ่านเสียงดังรบกวนคนอื่น กับการกล่าวคำเหนียต(ที่ไม่ได้รบกวนใครเลยแม้แต่น้อย ทำไมไปทำมา อุลามาอ์ของชาววะฮาบีย์ ก็ไปไม่พ้นเรื่องการกิยาส (แต่เสียดาย ที่กิยาสฟาริก) และอิบนุตัยมียะฮ์ก็ใช้มุกเด็ดเหมือนเดิมว่า เพราะ"ท่านร่อซูล(ซ.ล.)ไม่ได้ทำ" วะฮาบีย์จึงหุกุ่มว่า บิดอะฮ์ หะรอมตกนรก ทั้งที่หลักการของอิบนุตัยมียะฮ์นี้ ไม่ใช่หลักการของซอฮาบะฮ์ (ร.ฏ.) ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วอย่างครบถ้วน

ท่าน อิบนุ กุดดามะฮ์ (อุลามาอ์มัซฮับหัมบะลีย์ ที่อุลามาอ์วะฮาบีย์ให้การยกย่อง) ได้กล่าวไว้ ว่า

وقول النبى صلى الله عليه وسلم : إنما الأعمال بالنيات . ومعنى النية القصد ومحلها القلب ، وإن لفظ بما نواه كان تأكيدا

" คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า "แท้จริงบรรดาอะมัล ต้องด้วยการเหนียต" โดยที่ความหมายของการเหนียตก็คือ การมุ่งเจตนา และสถานที่ของมันอยู่ที่หัวใจ และหากว่าเขากล่าว ด้วยกับสิ่งที่เขาได้เหนียต แน่นอนว่า มันย่อมเป็นการตอกย้ำ(กับหัวใจ) " ดู หนังสือ อัลมุฆนีย์ ของท่านอิบนุกุดดามะฮ์ เล่ม 2 หน้า 15

ผมไม่ทราบว่า ท่านอิบนุกุดดามะฮ์ มีทัศนะที่บิดอะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีย์หรือเปล่า? สงสัยว่า ท่านอิบนุกุดดามะฮ์นี้ ไม่เข้าใจหะดิษที่บังอะสันอ้างว่า

ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

((ما تركت شيئاً يقربكم إلى الله إلا وأمرتكم به، وما تركت شيئاً يبعدكم عن الله إلا وقد نهيتكم عنه)

ฉันไม่ได้ทิ้งสิงใดที่ทำให้พวกท่านได้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮ นอกจากฉันได้ใช้พวกท่าน ด้วยมันแล้ว และฉันไม่ได้ทิ้งสิ่งใด ที่ทำให้พวกท่าน ห่างใกลจากอัลลอฮ นอกจากฉันได้ห้ามพวกท่าน จากมันแล้ว –

เป็นแน่เลยครับ และผมสงสัยว่า การกล่าวคำเหนียตที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้กระทำก่อนการละหมาดนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ห่างไกลจากอัลเลาะฮ์ !!! แต่ที่แน่ๆคือ ท่านร่อซุลไม่ได้ห้ามกับมัน (หากมีวะฮาบีย์โปรดนำมาอ้างอิงด้วยครับ) แต่ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้กล่าวห้ามมันนั้น เพราะว่าการเหนียต ไม่ได้ทำให้ห่างไกลจากอัลเลาะฮ์เลย แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้หัวใจมีสมาธิในการเหนียตเข้าสู่การละหมาด
!!!

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
หน้า 4 จากทั้งหมด 5

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.12 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ