ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (เสวนาเชิงวิชาการ)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (เสวนาเชิงวิชาการ)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 20, 21, 22 ... 26, 27, 28  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 2:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง al-azhary กล่าวว่า
สิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะไปบีบคอหรือคาดคั้นให้บังอะสันต้องกลับมาอ่านกุนูต เนื่องจากบังอะสันอาจจะมีหลักฐานที่บังอะสันยึดอยู่ หรืออาจจะกลัวชาวบ้านที่นับถือบังอะสันกล่าวว่าบังอะสันทำบิดอะฮฺ ผมคิดว่าประเด็นนี้อาจจะโดนใจ
………………………..
ตอบ
บังอะสัน เข้าใจครับว่าน้องต้องการหาหลักฐานมาสนับสนุนทัศนะของตนเอง ส่วนบังอะสันนั้น หากหลักฐานชัดเจน ไม่ต้องมาบังคับหรอบครับ ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การอ่านกุนูต ไม่ได้เฉพาะกับละหมาดศุบฮิ ในละหมาดใหนก็อ่านได้ หากมีเหตุอันควรอ่าน คือ มีเหตุการณ์ ร้ายประสบกับมวลมุสลิม ประเด็นที่เราพูดถึง คือ อ่านกุนูตเป็นประจำเฉพาะละหมาดศุบฮี อย่างเดียว นี้แหละครับ เราพูดว่า เป็นบิดอะฮ ซึ่งหลักฐานก็ได้สนทนากันไปแล้ว ส่วนเรื่องกลัวชาวบ้านนี้ ตัดไปได้เลย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อ้างว่า ว่า ถือมัซฮับอัชอะรียะฮ เขาได้ปฏิบัติสิ่งต่อไปนี้
1. เมาลิดิลนบี
2. เฝ้ากุบูร(พักแรมในกุบูรเพื่ออ่านอัลกุรอ่านให้คนตายโดยเชื่อว่ามลาอิกะฮจะไม่มาลงโทษมัยยิต)
3. อ่านตัลกีน(สอนคนตายในหลุม)
4. ทำฟิตยะฮลบล้างบาปการทิ้งละหมาด
5. ทำบุญกุบูร (คล้ายๆกับเช็งเม้งของชาวจีน)
6 ทำบุญคนตาย 3 วัน 7 วัน 100 วัน
7. การวางศิลาฤกษ์
8. การก่อหรือ โปกปูนบนหลุมศพ มีการเขียนชาตะ มรณะ
9. ว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านอุทิศส่วนกุศุลแก่คนตาย
10. ไปว่าจ้างให้โต๊ะ ครู และเด็กปอเนาะมาละหมาด เสร็จแล้วก็แจกซอง
11..และอื่นๆมากมาย คือ เมื่อเห็นว่าดีก็ทำได้หมด
บังอะสันก็ คัดค้าน ว่าไม่มีในสุนนะฮนบี ศอลฯเขาจึง กล่าวหาว่า เป็นพวกวะฮบีย์ เหมือนกับที่น้อง al- azhary กล่าวหาบังอะสันนั้นแหละ นี่ถ้าบังอะสันตาม พวกเขา ป่านนี้ พวก เขาคงจะยกตำแหน่ง กรรมการอิสลามประจำจังหวัด ให้บังอะสันแล้วล่ะครับ แต่บังอะสันไม่มักใหญใฝ่สูง จึงไม่สนใจ น้อง กล้าไหมที่จะบอกความจริงแก่ชาวบ้าน
تِلْكَ الدَّارُ الْآخِرَةُ نَجْعَلُهَا لِلَّذِينَ لَا يُرِيدُونَ عُلُوّاً فِي الْأَرْضِ وَلَا فَسَاداً وَالْعَاقِبَةُ لِلْمُتَّقِينَ
[28.83] นั่นคือที่พำนักแห่งปรโลก เราได้เตรียมมันไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปรารถนาหยิ่งผยองในแผ่นดิน และไม่ก่อการเสียหาย และบั้นปลายย่อมเป็นของบรรดาผู้ยำเกรง – อัลเกาะศอศ/83
فَإِن لَّمْ يَسْتَجِيبُوا لَكَ فَاعْلَمْ أَنَّمَا يَتَّبِعُونَ أَهْوَاءهُمْ وَمَنْ أَضَلُّ مِمَّنِ اتَّبَعَ هَوَاهُ بِغَيْرِ هُدًى مِّنَ اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ
[28.50] หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า(มุหัมหมัด) ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนผู้อธรรม
................................
รายละเอียดอินชาอัลลอฮ จะมาคุยต่อ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
yoohoo
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004
ตอบ: 65


ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 3:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ครับ อ.อาซัน ผมสงสัยมานานแสนนานแล้วเหมือนกัน ผมก็อยากทราบเหมือนกันครับว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจารย์กล่าวมานั้น เป็นแนวทางของมัซฮับชาฟิอีย์ หรืออัชอะรีย์รึครับ เพราะเห็นกระทำกันอย่างเหนียวแน่น โดยที่อาจารย์หรือผู้รู้ในบ้านเราระดับปรมาจารย์แห่งมัซฮับนี้ก็ไม่เห็นมีใครมาคัดค้านหรือปฏิเสธในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ว่าไม่ถูกต้อง แสดงว่าต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยันการกระทำดังกล่าวแน่ ๆ ทีนี้ก็เลยอยากจะให้ทางฝ่ายมัซฮับอันบริสุทธิ์ที่มีมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนช่วยนำเสนอหลักฐานดังกล่าวให้เป็นที่ประจักษ์กันซะที เพราะขนาดหลักฐานเรื่องกุนูตหรือว่าเรื่องยึดถือในมัซฮับก็ยังหามาได้อย่างละเอียด คิดว่าหลักฐานที่อ.อาซัน กล่าวมาเพียงคร่าว ๆ นั้น คงจะหาได้ไม่ยากนัก เพราะได้เรียนได้ศึกษา ได้ขลุกอยู่ในหอสมุดของ ม.อัซฮัร อยู่ตลอดค จะได้รู้กันว่าสิ่งเหล่านั้นมันใช่แนวทางแห่งมัซฮับรึป่าว และถ้าไม่ใช่จะทำอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ครับ

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 5:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วะอะลัยกุมุสสลาม


ขอบคุณ คุณ yoohoo ครับที่มาช่วยเสริม
ในสังคมมุสลิมบ้านเรา มีประเพณีและบิดอะฮมากมายเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้รู้คนใดกล้าคัดค้าน ที่มีก็น้อยมาก เพราะหากคัดค้าน ก็ถูกประณามว่า “พวกคณะใหม่” หรือพวกวะฮบีย์ ส่วนพวกที่ไม่คัดค้านนั้นอ้างว่า เพื่อไม่ให้คนแตกแยก ทั้งที่ความจริง มีผลประโยชน์แอบแฝงเป็นส่วนใหญ คนโง่จึงกลายเป็นเหยื่อคนฉลาด คนฉลาดปิดบังความจริงเพื่อผลประโยชน์ อัลลอฮ(ซ.บ)
إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَناً قَلِيلاً أُولَـئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلاَّ النَّارَ وَلاَ يُكَلِّمُهُمُ اللّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ
[2.174] แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์ แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ - อัลบะเกาะเราะฮ/174
...............................................
Al-azhary กล่าวว่า
ดังนั้น บังอะสันไม่อ่านกุนูตผมไม่ว่า เมื่อผมได้นำเสนอหลักฐานในเชิงวิชาการไปแล้วนั้น หากผมอ่านกุนูตในละหมาดซุบหฺ ผมจะทำบิดอะฮฺอีกหรือเปล่าครับ ?? โปรดตอบผมด้วย
……………………..
ตอบ
หากน้องปฏิบัติตามหลักฐานจากอัลกุรอ่านและหะดิษเศาะเหียะ ก็ไม่เป็นบิดอะฮหรอกครับ แม้ว่าความเข้าใจในตัวบทของนักวิชาการแตกต่างกัน และการมีความเห็นในความถูกต้องของหะดิษต่างกัน แต่ประเด็นที่ว่า
ท่านนบี ศอลฯอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ เป็นประจำจนตาย เรื่องสำคัญอย่างนี้ ทำไมจึงไม่มีรายงานที่ไปในแนวเดียวกัน และทำไม่เหล่าเศาะหาบะฮจึงไม่ยืนยันเป็นแนวเดียวกัน ที่บ่งบอกว่าพวกเขาทำสืบเนื่องกันมา เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านนบี ศอลฯ ไม่เคยละทิ้งเลย อันนี้คือความสับสน ไม่แน่นอนนะครับ
หะดิษที่อ้างมาไม่มีใครปฏิเสธเรื่อง กุนูต แต่ ที่เขาไม่ยอมรับ คือ ในประเด็น ของหะดิษที่ว่า
عن أنس بن مالك رضي الله عنه قال: ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في صلاة الصبح حتى فارق الدنيا
จากอะนัส บุตร มาลิก (ร.ด)กล่าวว่า “ท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ จนกระทั้งได้จากโลกนี้ไป
ในเมืองไทยเรานั้น มีไม่น้อย ที่อิหม่ามคนใดไม่อ่านกูนูต เขาก็จะไม่ละหมาดตาม เพราะพวกเขาเชื่อว่า หากละทิ้งต้องสุญูดสะฮวีย์ นี่คือ ความเป็นจริงในสังคมมุสลิมในเมืองไทยส่วนใหญ่
อัลบานีย์ได้กล่าวว่า
وأما ما ورد أن النبي صلى الله عليه و سلم داوم على القنوت في الفجر فليس بثابت عند أهل العلم ، والحديث الوارد في ذلك وهو عن أنس رضي الله عنه قال ما زال رسول الله صلى الله عليه و سلم يقنت في الفجر حتى فارق الدنيا ) فهو حديث ضعيف لا تقوم به الحجة . انظر السلسلة الضعيفة 3/384-388
และสำหรับสิ่งที่มีรายงานว่า ท่านนบี ศอลฯ อ่านกุนูตเป็นประจำในละหมาดฟัจร(ละหมาดศุบฮิ)นั้น ไม่มั่นคง ในทัศนะของนักวิชาการ และอัลหะดิษที่มีรายงานในเรื่องดังกล่าวคือ รายงานจากอะนัส(ร..ด)กล่าวว่า “ท่านรซู
ลุล้ลอฮ ศอลฯอ่านกุนูตในยามรุ่งอรุณ(ละหมาดศุบฮิ) จนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป) มันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ เอามันมาเป็นหลักฐานไม่ได้ - ดู อัซซิลซิละฮ อัฏเฏาะอีฟะอ เล่ม 3 หน้า 384-388 -
แปลกที่ว่า ทำไมนักวิชาการหลายท่าน เช่น เช็คบินบาซ เช็คอัลอุษัยมีน เช็คอัลฟูซาน และคนอื่นๆอีกหลายท่านไม่ยอมรับหะดิษนี้ ทั้งที่น้อง อัล-อัซฮารีว่า “ เศาะเหียะ”
แปลกครับ
.......................
อินชาอัลลอฮจะมาคุยต่อ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 9:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ต่อนะครับ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه قَالَ : " لأقَرِّبَنَّ صَلَاةَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَكَانَ أَبُو هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ يَقْنُتُ فِي الرَّكْعَةِ الْآخِرَةِ مِنْ صَلَاةِ الظُّهْرِ وَصَلَاةِ الْعِشَاءِ وَصَلَاةِ الصُّبْحِ بَعْدَ مَا يَقُولُ سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ فَيَدْعُو لِلْمُؤْمِنِينَ وَيَلْعَنُ الْكُفَّارَ " . متفق عليه
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ(ร.ฎ)กล่าวว่า “ขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าใกล้ชิดละหมาดของท่านนบี ศอลฯ ดังนั้น อบูฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ)อ่านกุนูตในเราะกะอัตสุดท้ายของ ละหมาดซุฮรี ละหมาดอีชา และละหมาดศุบฮิ หลังจากที่กล่าวคำว่า “سمع الله لمن حمده “ แล้วเขาได้ขอดุอาให้แก่บรรดามุสลิมและสาปแช่งบรรดากาเฟร – มุตตะฟักอะลัยฮิ
..........................................
นี้ก็เป็นหะดิษเศาะเฮียะที่ยืนยันว่า การอ่านกุนูตไม่ใช่เฉพาะแต่ละหมาดศุบฮิ แต่ มีการอ่านในละหมาดอื่นด้วย และเป็นกุนูตอัล-นาซิละฮ
عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رضي الله عنه قَالَ : " قَنَتَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَهْرًا مُتَتَابِعًا فِي الظُّهْرِ وَالْعَصْرِ وَالْمَغْرِبِ وَالْعِشَاءِ وَصَلَاةِ الصُّبْحِ فِي دُبُرِ كُلِّ صَلَاةٍ إِذَا قَالَ سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ مِنَ الرَّكْعَةِ الْآخِرَةِ يَدْعُو عَلَى أَحْيَاءٍ مِنْ بَنِي سُلَيْمٍ عَلَى رِعْلٍ وَذَكْوَانَ وَعُصَيَّةَ وَيُؤَمِّنُ مَنْ خَلْفَهُ "
รายงานจากอิบนิอับบาส (ร.ฎ) กล่าวว่า “ท่านรซูลุ้ลลอฮ (ศอลฯ)กล่าวว่า “ ท่านรซูลุ้ลอฮ ศอลฯ อ่านกุนูตหนึ่งเดือนติดต่อกัน ในละหมาดซุฮริ ละหมาดอัศริ ละหมาดมัฆริบ ละหมาดอีชา และละหมาดศุบฮิ ในช่วงท้ายของทุกละหมาด เมื่อท่านกล่าวคำว่า “ สะมิอัลลอฮุลิมัลหะมิดะฮ” ใน เราะกะอัตสุดท้าย ขอดุอาสาปแช่งแก่ พวกหนึ่งจากบนีสุลัยน และสาปแช่งเผ่าเรียะลิน เผ่าซักวาน และเผ่าอุซัยยะฮ และคนที่ละหมาดตามท่าน ต่างก็กล่าวคำว่า “อามีน”
أخرجه أحمد وأبو داود والحاكم كلهم من طريق ثابت بن يزيد عن هلال بن خباب عن عكرمة عن ابن عباس به ، وهذا إسناد جيد . قال النووي : " رواه أبو داود بإسناد حسن أو صحيح " (المجموع3/482) . وقال ابن القيم : " حديث صحيح " (زاد المعاد 1/280 ) . وقال ابن حجر : " هذا حديث حسن " (نتائج الأفكار 2/130 ) وحسنه الألباني (انظر صحيح سنن أبي داود ح1443
.............................
ส่วนหะดิษที่ว่า
ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في صلاة الصبح حتى فارق الدنيا
มาดูคำอธิบายต่อไปนี้
وأما الحديث الثاني، ففي سنده أبو جعفر الرازي، وهو ليس بالقوي، وحديثه هذا لا ينهض للاحتجاج به؛ إذ لا يُعقل، أن يقنت رسول اللّه صلى الله عليه وسلم في الفجر طول حياته، ثم يتركه الخلفاء من بعده، بل إن أنَساً نفسه لم يكن يقنت في الصبح، كما ثبت ذلك عنه، ولو سُلِّم صحة الحديث فيحمل القنوت المذكور فيه على، أنه صلى الله عليه وسلم كان يطيل القيام بعد الركوع؛ للدعاء والثناء، إلى أن فارق الدنيا، فإن هذا معنى من معاني القنوت، وهو هنا أنسب.
ومهما يكن من شيء، فإن هذا من الاختلاف المباح، الذي يستوي فيه الفعل والترك، وإن خير الهدْي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم
สำหรับหะดิษที่สองนั้น(หะดิษที่ระบุว่าท่านนบี ศอลฯอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป) ในสายรายงานของหะดิษนี้ มีอบูญะอฟัร อัรรอซี นักหะดิษกล่าวว่า เป็นบุคคลที่ออ่นหลักฐาน ฉะนั้นหะดิษของเขานี้ นำขึ้นมาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่กินกับปัญญา ที่ว่าท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิตลอดชีวิต ของท่าน แล้วบรรดาเคาะลิฟะฮหลังจากท่านกลับมาทิ้งเสีย ยิ่งไปกว่านั้น อะนัสเอง ไม่ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ดังที่ปรากฏรายงานยืนยันอย่างนั้น และสมมุติว่า หะดิษนี้เศาะเหียะ คำว่า “กุนูต”ที่กล่าวมานั้น หมายถึง การที่ท่านนบี ศอลฯ ยืนนานๆหลังจาก รุกัวะ เพื่อขอดุอาหรือ สรรเสริญอัลลอฮ จนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป ที่จริงความหมายอย่างนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากความหมายกุนูต และอย่างนี้น่าจะถูกต้องกว่า อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ อนุญาต ให้ทำได้ ละทิ้งก็ได้ มีน้ำหนักเท่ากัน แต่ทางนำที่ดีเลิศนั้น คือทางนำของท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ
- ดูฟิกฮสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 167-168 และ
นี้เป็นคำอธิบายที่เป็นกลาง แต่ท่านสัยยิดสาบิก มาเน้นประโยคที่ว่า “وإن خير الهدْي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم
“แต่ทางนำที่ดีเลิศ คือ ทางนำของท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ”
............................
มาดูทัศนะนักวิชาการเพิ่มเติมนะครับ
قال ابن تيمية : " القنوت مسنون عند النوازل ، وهذا القول هو الذي عليه فقهاء أهل الحديث ، وهو المأثور عن الخلفاء الراشدين ".( مجموع الفتاوى 23/ 108 ).
อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า “ การอ่านกุนูต เป็น สุนนะฮ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น และนี้คือ ทัศนะที่บรรดาฟุกอฮา ที่เป็นนักวิชาการหะดิษ ยึดถืออยู่ และมันมีร่องรอย(มีแบบอย่าง)มาจากเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน - ดูมัจญมัวะฟะตาวา 23/108
قال ابن تيمية رحمه الله : ".. فيشرع أن يقنت عند النوازل يدعو للمؤمنين ويدعو على الكفار في الفجر وغيرها من الصلوات ، وهكذا كان عمر يقنت لما حارب النصارى بدعائه الذي فيه ( اللهم العن كفرة أهل الكتاب )" ( مجموع الفتاوى 22/270 )
อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า “ มีบัญญัติให้อ่านกุนูต เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ขอดุอาให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา และดุอาสาปแช่งแก่ พวกกาเฟร ในละหมาดฟะญัร(ศุบฮิ)และอื่นจากนั้น จากบรรดาละหมาดห้าเวลา และเช่นนี้แหละ ปรากฏว่า ท่านอุมัร อ่านกุนูต เมื่อทำสงครามกับชาวคริสเตียน ด้วยการขอดุอา มีใจความว่า (โอ้อัลลอฮ โปรดให้กาเฟรชาวคัมภีร์ห่างใกลจากความเมตตาด้วยเถิด) - ดู มัจญมัวะฟะตาวา 22/270
وقال ابن القيم : " وكان هديه صلى الله عليه وسلم القنوت في النوازل خاصة ، وترْكَه عند عدمها ، ولم يكن يخصه بالفجر ، بل كان أكثر قنوته فيها " . ( زاد المعاد 1/273 )
อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า “ และปรากฏว่าทางนำของท่านนบี ศอลฯนั้น คือ การอ่านกุนูต ในเหตุการณ์ร้ายที่ประสบ โดยเฉพาะ และท่านได้ทิ้งมัน เมือไม่มีเหตุการณ์นั้น และไม่ได้จำกัดเฉพาะละหมาดฟัจญริ(ศุบฮิ) เท่านั้น แต่ว่า ปรากฏว่าท่านอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ มากกว่า(ในละหมาดอื่น) – ดูซาดุลมะอาด 1/273
......................................
จึงอยากที่จะบอกท่านผู้อ่านว่า นักวิชาการที่เขาคัดค้าน การเน้นการอ่านกุนูตเฉพาะละหมาดศุบฮินั้น เขาก็มีหลักฐานเช่นเดียวกันครับ
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:18 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

บังอะสันครับ ช่วงหลังละหมาดญุมอะฮฺของเย็นวันนี้ ผมพอมีเวลาเข้าร่วมสนทนาได้อีกสักนิดหน่อย ก็อยากจะเข้ามาทำความเข้าใจกับบังอะสันครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การอ่านกุนูต ไม่ได้เฉพาะกับละหมาดศุบฮิ ในละหมาดใหนก็อ่านได้ หากมีเหตุอันควรอ่าน คือ มีเหตุการณ์ ร้ายประสบกับมวลมุสลิม ประเด็นที่เราพูดถึง คือ อ่านกุนูตเป็นประจำเฉพาะละหมาดศุบฮี อย่างเดียว นี้แหละครับ เราพูดว่า เป็นบิดอะฮ

ตอบ

การอ่าน เรื่องกุนูต อันนะซิละฮฺ คือเมื่อมีเหตุร้ายมาประสบภัยกับมุสลิมนั้น เป็นเรื่องที่เป็นมติสอดคล้องกัน จึงไม่ใช่ประเด็นที่เราต้องชี้แจง เพราะว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องกุนูตเป็นประจำเฉพาะละหมาดซุบหฺนั้น จะเป็นบิดอะฮฺหรือไม่ เราโปรดพิจารณากันที่หลักฐานในเชิงวิชาการ ที่บรรดาอุลามาอฺสะลัฟและหลังจากสะลัฟได้วางหลักการในการพิจารณาตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ หากนอกเหนือจากนั้นก็ย่อมไม่อยู่ในเชิงวิชาการ บังอะสันมีหลักฐานอ้างอิงที่อยู่ในกรอบวิชาการ และสิ่งที่ผมนำเสนอไปก็อยู่ในกรอบวิชาการเช่นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลักฐานใดที่จะมีน้ำหนักกว่ากันนั้น ก็โปรดให้ผู้อ่านพิจารณา

และบังอะสันต้องคิดให้เสมอว่า สิ่งที่เรากำลังคุยในเรื่องกุนูตนั้น สองทัศนะคือ ระหว่างกุนูตบิดะฮฺ กับ กุนูตสุนัต ไม่ใช่กุนูตบิดอะฮฺ กับ กุนูตวายิบ ซึ่งเรามีผู้มัซฮับ หรือมีแนวทางที่กลับไปสู่อัลกุรอานและซุนนะฮฺนั้น ขอกล่าวว่า กุนูตซุบหฺเป็นเพียงแค่สุนัตเท่านั้น ซึ่งของสุนัตนั้น หากทำเป็นประจำ ก็ไม่ทำให้เป็นวายิบไปได้ สุนัตก็ยังเป็นสุนัต อย่างเช่นกรณีของการยกมือตักบีรตอนเริ่มละหมาด ซึ่งเป็นสุนัตเท่านั้น แต่บังอะสันและพวกเราก็ทำกันทุกวันและทำกันทุกเวลาของละหมาดฟัรดูและสุนัต ดังนั้น ของสุนัตแบบนี้ ทำกันเป็นประจำเป็นบิดอะฮ์หรือไม่ครับบังอะสัน??? เรื่องการตักบีร 7 ครั้ง และ 5 ครั้งในละหมาดอีด นั้นเป็นสุนัต ทั้งมีสายรายงานที่ฏออีฟ เวลาบังอะสันละหมาดอีดนั้น ตักบีร 7 ครั้ง และ 5 ครั้ง หรือเปล่าทั้งที่มีสายรายงานที่ฏออีฟ ?? เมื่อมันฏออีฟอย่างนี้แล้ว เป็นบิดะฮฺหรือไม่ ?? เห็นทำกันทุกปี แต่เรื่องกุนูต ที่มีหลักฐานที่ซอเฮี๊ยะหฺในเชิงวิชาการ ขอย้ำในเชิงวิชาการ และเป็นหลักฐานที่ไม่ฏออีฟในเชิงวิชาการด้วย ขอย้ำว่าไม่ฏออีฟในเชิงวิชาการด้วย ไม่ใช่เราไปยึดตัวบุคคลแบบบังอะสันนี่ครับ ที่ไปบอกว่า ทำไมชัยคฺบินบาซฺ ชัยคฺอุษัยมีน และชัยคฺอัลเฟาซานต้องว่าฏออีฟ แต่ทำไมบังอะสันถึงไม่ไปดูรายละเอียดล่ะครับ ว่าทำไมพวกเขาถึงบอกว่าฏออีฟ ต้องมีหลักการซิครับ ที่พวกเขาเหล่านั้นว่าฏออีฟ ไม่ใช่ไปตักลีดแบบตาบอดยึดเอาตัวบุคคลมาบอกว่าฏออีฟ

และเมื่อบังอะสันศึกษาอย่างเต็มที่ถึงสาเหตุที่พวกเขากล่าวว่าฏออีฟแล้วนั้น บังอะสันก็ไม่ไปไม่พ้นจากกรอบและการสนทนาที่ผมนำเสนอวิจารณ์ไปแล้วหรอกครับ และบังอะสันก็ยังวนอยู่ในหลักการที่ผมนำเสนอไปแล้วทั้งสิ้น ?? อัลบานีย์ ที่ชาวสะละฟีย์ปัจจุบันคิดว่าเจ๋งในเรื่องหะดิษนั้น ผมก็นำมาเสนอทีละจุดๆ จึงเหตุผลที่บอกว่าฏออีฟ คือไปเอาคำพูดจาก อิบนุตัยมียะฮฺ อิบนุก๊อยยิม อิบนุ อัตตุรกุมานีย์ และหนังสือบางเล่มของท่านอิบนุหะญัร (ร.ฏ.) และผมก็ทำการวิจารณ์ในเชิงวิชาการไปเรียบร้อยแล้ว หากบังอะสันบังไปยกการกล่าวฏออีฟของ บินบาซฺ ชัยคฺอุษัยมีน และชัยคฺอัลเฟาซาน โดยที่พวกเขามีเหตุผลในการตัฏอีฟ(กล่าวฏออีฟ)อีก บังอะสันก็โปรดยกมาด่วนเลยครับ คือหากพวกเขามีเหตุผลในการยกเมฆอื่นๆมาอีก ก็ยกมานำเสนอด่วน ผมจะได้ทำการวิจารณ์สนทนาในเชิงวิชาการต่อไป แต่ถ้าหากว่าพวกเขาเหล่านั้น มีเหตุผลเหมือนดังที่อัลบานีย์กล่าวไว้ล่ะก็ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร ที่บังอะสันกล่าวว่า ทำไมพวกเขาถึงทำการฏออีฟหะดิษดังกล่าว ? แบบนี้บังอะสันไม่เรียกร้องคนอื่นให้ตักลีดในตัวบุคคลดอกหรือครับ ?? และผมก็เคยบอกบังอะสันไปแล้วว่า ในเรื่องการตักลีดนั้น ผมจะมาทวงคำพูดจากบังอะสันครับ เผื่อมันจะหวนกลับมาโดนบังอะสันเอง

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:24 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


อ้างอิงจากบังอะสัน

เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อ้างว่า ว่า ถือมัซฮับอัชอะรียะฮ เขาได้ปฏิบัติสิ่งต่อไปนี้
1. เมาลิดิลนบี
2. เฝ้ากุบูร(พักแรมในกุบูรเพื่ออ่านอัลกุรอ่านให้คนตายโดยเชื่อว่ามลาอิกะฮจะไม่มาลงโทษมัยยิต)
3. อ่านตัลกีน(สอนคนตายในหลุม)
4. ทำฟิตยะฮลบล้างบาปการทิ้งละหมาด
5. ทำบุญกุบูร (คล้ายๆกับเช็งเม้งของชาวจีน)
6 ทำบุญคนตาย 3 วัน 7 วัน 100 วัน
7. การวางศิลาฤกษ์
8. การก่อหรือ โปกปูนบนหลุมศพ มีการเขียนชาตะ มรณะ
9. ว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านอุทิศส่วนกุศุลแก่คนตาย
10. ไปว่าจ้างให้โต๊ะ ครู และเด็กปอเนาะมาละหมาด เสร็จแล้วก็แจกซอง
11..และอื่นๆมากมาย คือ เมื่อเห็นว่าดีก็ทำได้หมด
บังอะสันก็ คัดค้าน ว่าไม่มีในสุนนะฮนบี ศอลฯเขาจึง กล่าวหาว่า เป็นพวกวะฮบีย์ เหมือนกับที่น้อง al- azhary กล่าวหาบังอะสันนั้นแหละ

ตอบ

ทำไมบังอะสันถึงไม่พูดเรื่องกุนูตให้เคลียร์ก่อน ไปยกประเด็นอื่นมาทำไม ?การ หรือต้องการเลี่ยงประเด็น หรือเบี่ยนเบนประเด็นเพื่อให้คนที่มีทัศนะคติเหมือนบังอะสัน ไปพิจารณาเรื่องคิลาฟิยะฮฺข้อปลีกย่อยแบบนี้ สังคมมุสลิมคงจะเจริญล่ะครับ มีประเด็นหนึ่งที่สะละฟีย์ วะฮาบีย์ ปัจจุบัน ไม่เคยพูดถึง และไม่อยากจะพูดถึง ทั้งที่มันความสำคัญ คือเรื่อง " การส่งเสริมและการสร้างความเป็นเอกภาพในหมู่มุสลิม " หรือตามนัยนี้ แต่วะฮาบีย์ปัจจุบันก็มีแต่ใช้สะโลแกนที่ไม่อยากให้มุสลิมเป็นเอกภาพ ด้วยใช้คำว่า " พวกบิดอะฮฺเราต้องหลีกห่างให้ไกล" คือเอาทัศนะคติของฝ่ายตนมาตัดสิน แล้วก็หลีกห่างจากบรรดามุสลิมส่วนใหญ่ เนื่องจากมีข้อหาบิดอะฮฺ ?? ท่านชัยคฺ ด๊อกเตอร์ ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ เขามีคุณลักษณะอย่างนี้หรือครับ ?? ส่วนประเด็นที่ 11 ข้อที่บังอะสันนำเสนอมานั้น มีหลายข้อที่บังอะสันยังเข้าใจผิด และโกหกต่อบรรดามุสลิม อย่างเช่นคำว่า เฝ้ากุโบร โดยเชื่อว่า มะลาอิกะฮฺไม่ลงโทษมัยยิด ซึ่งความเชื่อนี้ ผิด ผมขอพูดได้เต็มปากเลยครับ หรือบังอะสันใช้คำว่า "ว่างจ้างให้โต๊ะครูมาละหมาดและแจกซอง" นี่บังอะสันใช้คำว่าว่าจ้างเลยครับ คือพูดออกมาตามความอักติที่สุมอยู่ในหัวใจแท้ๆ พูดตบตาให้คนโง่ๆฟังได้ครับ แต่สำหรับเรานั้นไม่แน่นอนครับ และพูดแบบนี้ถือว่า โกหกใส่บรรดามุสลิม หรือบังอะสันบอกว่าทำบุญกุบูร ทั้งที่ผมยังไม่เข้าใจพิธีนี้ทำกันอย่างไร และมีด้วยหรือ ?? หรือบอกว่าก่อปูนหรือโบกบนหลุมฝังศพ ซึ่งประเด็นนี้ ผมยังไม่เคยเห็นใครทำ และบ้านผมก็ไม่ได้ทำกันเลย ? ผมไม่รู้ว่าบังอะสันจะบังคับให้ผมเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า ? ทั้งที่ผมก็ไม่ทำ ? หรือคำพูดอันโกหกของบังอะสันที่ว่า " ทำฟิตยะฮฺล้างบาป " ซึ่งคำพูดนี้น่าหดหู่ครับ มีใครในโลกดุนยาเขาว่าอย่างนี้กันครับ ผมค้นคว้าเรื่องนี้ ในหนังสือมัซฮับหะนะฟีย์ ซึ่งเป็นต้นมัซฮับที่ทำในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้บอกว่า ทำฟิตยะฮฺล้างบาปเลยครับ ? หากเป็นอย่างนี้แล้ว คนที่บาปไม่ใช่คนทำหรอกครับ แต่บาปมันจะไปอยู่คนที่โกหกใส่คนอื่นโดยอธรรมนะครับ ? ซึ่งการโกหกนั้น เป็นสัญลักษ์หนึ่งของพวกมุนาฟิก วัลอิยาซุบิลลาห์ ส่วนเรื่องทำบุญ 3 วัน 7 วัน 40 วัน 100 วัน นั้น ในประเด็นนี้เราต้องชี้แจงให้ชาวบ้านทราบ และผมก็เคยชี้แจงไปแล้วด้วยว่า มันไม่ใช่เรื่องศาสนา หากจะทำก็ทำ แต่จะเอาไปเป็นเรื่องศาสนาว่า มีกำหนดให้ทำอย่างนั้น ย่อมถือว่าเป็นบิดอะฮฺฏ่อลาละฮฺอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างเช่นเรื่องทำข้าวเหนียวเหลือง ก่อนผมจะเดินทางมาเรียนที่อียิปต์ ผมก็ทำบุญเข้าเหนียวเหลือง เพราะอยากกินเท่านั้นเอง และมันอร่อยด้วย มีทั้งไก่ย่าง ดาดา น้ำจิ้ม เข้าตอก และผมก็ประกาศให้ทางผู้ใหญ่ทราบด้วยว่า สิ่งที่เราจะทำกันนี้ ไม่ใช่เป็นพิธีกรรม หรือเอาไปเส้นไหว้อะไรทั้งนั้น หากใครเชื่อเป็นอื่นผมไม่กิน และหากว่าใครบอกว่า เรื่องข้าวเหนียวนี้ หากพูดไปแล้วต้องทำ แบบนี้ผมก็ไม่กิน แต่ถ้าหากว่าเราทำเพื่ออยากกิน เพื่อเลี้ยงแขกผู้ใหญ่ที่จะมาส่งผมล่ะก็ ผมกิน บรรดาผู้ใหญ่ก็เข้าใจกัน และก็ทำกัน ปรากฏว่าวันนั้น บรรดาแขกที่มาส่งผมนั้น ติดใจและชมว่า อาหารที่ทำนั้นอร่อย บางคนอยู่มาทั้งชีวิตก็ไม่เคยกินข้าวเหนียวเหลืองที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ และบางคนก็เพิ่งมาเคยกินตอนผมทำเลี้ยงนี่แหละครับ ผมก็บอกไปว่า เราทำเพราะอยากกิน และเพื่อเลี้ยงแขกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเป็นอื่น เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราเอาไปใช้ไม่เป็น และเรื่องปัญหาประเด็นต่างๆที่บังอะสันยกมานั้น ผมขออย่าเพิ่งพูดถึงเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องกุนูต และหากบังอะสันจะพูดเรื่องแบบนี้ ผมขอพูดเรื่องบิดอะฮฺเป็นประเด็นต่อไปจากเรื่องกุนูต ซึ่งเรื่องบิดอะฮฺนั้น ผมได้ศึกษาจากฟัตวาและหนังสือต่างๆของแนวทางของอะฮฺลิสซุนนะฮฺแบบวะฮาบีย์ และอะฮฺลิสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺแบบมัซฮับทั้งสี่เรียบร้อยแล้ว แต่เวลาการสนทนาไม่มี ค่อยสนทนากันต้นมกราที่จะถึงนี้นะครับ เพราะผมมีภาระเรื่องการเรียน อันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

แต่ที่สำคัญในขณะนี้ คือเรื่องกุนูต เอาให้มันเครียร์กันไปก่อนนะครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:26 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

นี่ถ้าบังอะสันตาม พวกเขา ป่านนี้ พวก เขาคงจะยกตำแหน่ง กรรมการอิสลามประจำจังหวัด ให้บังอะสันแล้วล่ะครับ แต่บังอะสันไม่มักใหญใฝ่สูง

ตอบ

ผมทราบดีว่าบังอะสันอายุเยอะและอวุโสแล้ว แต่ผมขอเรียกบัง เพราะผมเคยเรียกว่าอาจารย์แต่บางครั้งบังอะสันไม่สนทนาในรูปแบบของความเป็นอาจารย์ ผมจึงขอเรียกว่าบังนะครับ เพราะมันกันเองว่า ตอนนี้ผมอายุแค่ เลข 2 นำหน้าเองครับ ไม่อยากบอกว่าอายุจริงๆเท่าไหร่ เกรงว่าคนอื่นเขาจะกล่าวว่าเด็กมาคุยกับผู้ใหญ่ ซึ่งประเด็นนี้ผมคิดว่าไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ความรู้ที่อัลเลาะฮฺให้เรามากกว่าครับ เราจงพิจารณาในสิ่งที่นำมาพูด แต่อย่าพิจารณาในตัวผู้พูดนะครับ

ส่วนเรื่องประธานจังหวัดสงขลานั้น ผมคิดว่า อ.อะซีซ พิทักษ์ขุมพลนั้น เหมาะยิ่งแล้วครับ หากเป็นบังอะสันก็คงจะแย่ อัลเลาะฮฺทรงรู้ดีในเรื่องอนาคตนะครับ

ผมเรียนหนังสือ อัลหิกัม (ตอนนี้ผมกำลังแปลออกมาเป็นภาษาไทยเพื่อส่งตีพิมพ์ แต่สำนักพิมพ์ใหนนั้น ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ คิดว่า ส.วงศ์เสงี่ยม ไม่รู้เขาจะรับพิจารณาหรือเปล่า) ซึ่งมีตอนหนึ่งกล่าวว่า " ผู้ใดที่ยืนยันว่าตัวเองว่าเขานั้นถ่อมตนนั้น แน่นอนผู้นั้นคือคนตะกับบุร " คำพูดนี้เป็นการพิจารณาถึงสภาวะของจิตใจ หากบังอะสันไม่เข้าใจก็อย่าไปบอกว่าเป็นบิดอะฮฺน่ะครับ ซึ่งหากไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายให้ ? แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอุลามาอฺท่านใหนหรอก ที่บอกว่า "ตัวของฉันแน่แหละที่ถ่อมตนไม่มักใหญ่ใฝ่สูง"

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

น้อง กล้าไหมที่จะบอกความจริงแก่ชาวบ้าน

ตอบ

ผมกล้าแน่นอนครับ แต่บังอะสันล่ะครับ กล้าเอาเรื่องกุนูตที่ผมนำเสนอไปนั้น ปริ้นไปแจกให้คนบ้านอ่านไหมครับ ? หากไม่กล้า สองอายะฮฺที่บังอะสันยกมานั้น มันจะกลับไปหาบังอะสันเอง

อ้างอิงจากบังอะสัน

ในสังคมมุสลิมบ้านเรา มีประเพณีและบิดอะฮมากมายเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้รู้คนใดกล้าคัดค้าน ที่มีก็น้อยมาก เพราะหากคัดค้าน ก็ถูกประณามว่า “พวกคณะใหม่” หรือพวกวะฮบีย์ ส่วนพวกที่ไม่คัดค้านนั้นอ้างว่า เพื่อไม่ให้คนแตกแยก ทั้งที่ความจริง มีผลประโยชน์แอบแฝงเป็นส่วนใหญ คนโง่จึงกลายเป็นเหยื่อคนฉลาด คนฉลาดปิดบังความจริงเพื่อผลประโยชน์ อัลลอฮ(ซ.บ)
إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَناً قَلِيلاً أُولَـئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلاَّ النَّارَ وَلاَ يُكَلِّمُهُمُ اللّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ
[2.174] แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์ แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ - อัลบะเกาะเราะฮ/174

ตอบ

บังอะสันยกอายะฮฺนี้มา ตรงกับสิ่งที่สะละฟีย์วะฮาบีย์เขาทำกันเลยครับ คำก็บิดอะฮฺสองคำก็บิดอะฮฺ สงสัยเราต้องคุยเรื่องบิดอะฮฺกันให้ถึงที่สุดสักที แต่หลังปีใหม่นะครับ ผมขอยอมรับว่า มีบางสิ่งบางอยู่ที่เมืองไทยบ้านเรากำลังทำกันอยู่นั้นเป็นบิดอะฮฺ และเราต้องการทำชี้แจง และผมก็เคยชี้แจงคนที่เมืองไทยไปแล้วด้วย แต่คำว่าบิดอะฮฺนั้น ผมไม่ใช่ตามความบิดอะฮฺของวะฮาบีย์นะครับ แต่เป็นสิ่งที่น่าเสียอยู่ว่า เรานิยมพูดถึงเรื่องบิดอะฮฺในเชิงปฏิบัติ แต่เราไม่พูดกันถึงเรื่องบิดอะฮฺในเชิงเอี๊ยะติก๊อต การยึดมั่น ซึ่งวะฮาบีย์มีอากิดะฮฺบางอย่างที่บิดอะฮฺอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งไปดูได้ที่กระทู้การแบ่งเตาฮีด ซึ่งผมขอบอกจริงๆว่า ผมได้สนทนาไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลักฐานของอะฮฺลิสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺอัลอะชาอิเราะฮฺนั้น ผมยังไม่นำมาเสนออย่างจริงจังเลย และผมก็ยังไม่ได้ทำการตีแผ่ความบิดอะฮฺในเรื่องอากิดะฮฺของวะฮาบีย์อย่างจริงจังเลย บังอะสันต้องรอต่อไปนะครับ หลังปีผมจะมาอินชาอัลเลาะฮฺ

แต่วะฮาบีย์ปัจจุบันที่เมืองไทยบ้านเรานั้น ผมก็เศร้าใจเหมือนกันว่า สโลแกนหรืออุดมการณ์สร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม ด้วยนโยบายที่ว่า "ต้องหลีกห่างพวกบิดอะฮฺตามทัศนะของพวกเขา " นั้น ได้ถูกนำมาใช้อย่างน่าเศร้าใจ อันเนื่องจากมีผลประโยชน์แอบแฝงอย่างแท้จริง จนกระทั้งคนโง่ๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เนี่ย บางคนก็หลงเชื่อ โดยที่ผู้รู้บางคนของวะฮาบีย์ ต้องได้เงินสนับสนุนจากซาอุดี้อย่างไม่ขาดตอน จนกระทั้งมีการโกงเงินกันเองก็มี และผู้รู้บางคนก็ยอมรับสินบนเหล่านี้ จนกระทั้งต้องขี่หลังเสือ ออกมาจากแนวทางวะฮาบีย์ไม่ได้ เพราะรับเงินเขามาเยอะ จนกระทั้งว่า หากมีใครพูดโจมตีแนวทางที่ไม่ใช่แนวทางของตนนั้น ก็จะมีเงินเป็นรางวัลให้ ประเด็นนี้ ผู้ที่เคยเป็นวะฮาบีย์บอกผมมาเอง หากบังอะสันไม่เชื่อ ผมก็ไม่บังคับหรอกครับ แต่บังอะสันอาจจะรู้แก่ใจตัวเองก็เป็นได้ และแนวทางแบบนี้ ก็เหมือนกับชีอะฮฺไม่มีผิด ก็แข่งกันไปนะครับเรื่องเงินๆทองๆอย่างนี้ และหากเป็นแบบนี้นั้น อายะฮฺที่บังอะสันยกมานั้น มันมีความหมายชี้สำหรับสะละฟีย์วะฮาบีย์ปัจจุบันนะครับ

อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า

إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَناً قَلِيلاً أُولَـئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلاَّ النَّارَ وَلاَ يُكَلِّمُهُمُ اللّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ

" แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์ แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ" - อัลบะเกาะเราะฮ/174

พระองค์ทรงตรัสว่า

أفأنت تسمع الصم ولو كانوا لا يعقلون

" หรือเจ้าจะทำให้คนหูหนวกได้ยิน โดยที่หากแม้นว่าพวกเขาไม่ใช้สติปัญญาคิดพิจารณา "

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

หากน้องปฏิบัติตามหลักฐานจากอัลกุรอ่านและหะดิษเศาะเหียะ ก็ไม่เป็นบิดอะฮหรอกครับ แม้ว่าความเข้าใจในตัวบทของนักวิชาการแตกต่างกัน และการมีความเห็นในความถูกต้องของหะดิษต่างกัน

ตอบ

บังอะสันคิดพิจารณาหรือเปล่าครับว่า มันแตกต่างกันอย่างไง ? และความแตกต่างอันใหนที่ถูกต้องกว่า สะละฟีย์วะฮาบีย์ปัจจุบันนั้น บอกว่าฏออีฟนั้นเพราะอะไร ? ก็เพราะว่าพิจารณาในตัวผู้รายงานเพียงส่วนและปกปิดบางส่วน !!! นี่ไงครับ คือความแตกต่าง หากบังอะสันต้องการสัจจะธรรม แล้วทำบังอะสันถึงไม่พิจารณาในส่วนที่สะละฟีย์เขาพยายามปกปิดสถานะภาพอันแท้จริงของนักรายงาน บังอะสันโปรดคิดพิจารณาซิครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

แต่ประเด็นที่ว่า ท่านนบี ศอลฯอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ เป็นประจำจนตาย เรื่องสำคัญอย่างนี้ ทำไมจึงไม่มีรายงานที่ไปในแนวเดียวกัน และทำไม่เหล่าเศาะหาบะฮจึงไม่ยืนยันเป็นแนวเดียวกัน ที่บ่งบอกว่าพวกเขาทำสืบเนื่องกันมา เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านนบี ศอลฯ ไม่เคยละทิ้งเลย อันนี้คือความสับสน ไม่แน่นอนนะครับ
หะดิษที่อ้างมาไม่มีใครปฏิเสธเรื่อง กุนูต แต่ ที่เขาไม่ยอมรับ คือ ในประเด็น ของหะดิษที่ว่า
عن أنس بن مالك رضي الله عنه قال: ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في صلاة الصبح حتى فارق الدنيا
จากอะนัส บุตร มาลิก (ร.ด)กล่าวว่า “ท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ จนกระทั้งได้จากโลกนี้ไป"

ตอบ

นั่นเป็นหลักการพิจารณาในเชิงวิชาการใช่ไหมครับ ? งั้นผมขอชี้แจงว่า เรื่องสายรายงานแนวเดียวกันหรือไม่นั้น เขาไม่คำนึง นอกจากสิ่งที่ซอเฮี๊ยะหฺ หากต้องเป็นสายรายงานที่อยู่ในแนวทางเดียวกันถึงจะซอเฮี๊ยะหฺนั้น หลักการนี้ถือว่า ผิด ครับ เพราะว่ามีบรรดาหะดิษในเรื่องฟิกหฺมากมายที่มีหะดิษที่ค้านกัน คือไม่อยู่ในแนวเดียวกัน บรรดาอุลามาอฺจึงใช้หลักเกนฑ์ที่อุลามาอฺสะลัฟได้วางไว้ ส่วนหนึ่งในนั้นก็คือ "หลักฐานที่ยืนยัน(ให้กระทำ) ย่อมอยู่ก่อน หลักฐานที่ปฏิเสธ" ดังนั้นหลักการนี้ ถูกวางขึ้นมาทำไม ? ก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากใช้กับหลักฐานที่ไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกัน
และการที่บรรดาซอฮาบะฮฺไม่ได้ยืนยันในแนวเดียวกันนั้น ไม่ใช่บ่งถึงหลักฐานมีความสับสน อันเนื่องจากว่า มีบรรดามัสอะละฮฺมากมายที่บรรดาซอฮาบะฮฺมีความขัดแย้งกันด้านการรายงานหะดิษของนบี(ซ.ล.) แต่ก็ไม่ใช่ต้องตัดหะดิษนั้นออกไปเสียทีเดียว แต่ต้องใช้หลักพิจารณาในเชิงวิชาการ อย่างเช่นซอฮาบะฮฺมีการรายงานที่แตกต่างกันหรือคนละแนวกัน บรรดาอุลามาอฺจึงพิจารณาผู้รายงานที่เป็นเจ้าของเหตุการณ์หรืออยู่ในเหตุการณ์ก่อน เป็นต้น แต่กุนูตนั้นจะทำสืบทอดกันมาหรือไม่นั้น ท่านอิมามนะวาวีย์กล่าวไว้ว่า มันเป็นมัซฮับของค่อลิฟะฮฺทั้งสี่ และส่วนมากของสะลัฟ คือหลังจากที่พิจารณาหลักฐานตามหลักวิชาการอันถี่ถ้วนแล้ว บังอะสันโปรดหวนกลับไปพิจารณาอ่านใหม่ให้เข้าใจครับ

ส่วนคำพูดของบังอะสันที่ว่า "แต่ที่เขาไม่ยอมรับ คือ ในประเด็นของหะดิษที่ว่า(คือหะดิษของท่านอะนัส)..." ผมอยากถามบังอะสันหน่อยว่า "เขาที่ไม่ยอมรับ" น่ะคือใคร ? และที่เขาไม่ยอมรับนั้นหะดิษนี้นั้น เพราะอะไร ? และบรรดาอุลามาอฺที่ยอมรับนั้น คือใครบ้าง ? แล้วทำไมพวกเขาถึงยอมรับ ? แล้วหลักการที่พวกเขาได้วิจารณ์ทัศนะผู้ที่ไม่ยอมรับนั้นเป็นอย่างไร ? หากบังอะสันอยากได้คำตอบ ก็โปรดกลับไปอ่านทบทวนละเอียดอีกครั้ง แล้วบังอะสันจะไม่วนเวียนเทียนในประเด็นนี้

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 10:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน


อัลบานีย์ได้กล่าวว่า
وأما ما ورد أن النبي صلى الله عليه و سلم داوم على القنوت في الفجر فليس بثابت عند أهل العلم ، والحديث الوارد في ذلك وهو عن أنس رضي الله عنه قال ما زال رسول الله صلى الله عليه و سلم يقنت في الفجر حتى فارق الدنيا ) فهو حديث ضعيف لا تقوم به الحجة . انظر السلسلة الضعيفة 3/384-388
และสำหรับสิ่งที่มีรายงานว่า ท่านนบี ศอลฯ อ่านกุนูตเป็นประจำในละหมาดฟัจร(ละหมาดศุบฮิ)นั้น ไม่มั่นคง ในทัศนะของนักวิชาการ และอัลหะดิษที่มีรายงานในเรื่องดังกล่าวคือ รายงานจากอะนัส(ร..ด)กล่าวว่า “ท่านรซู ลุล้ลอฮ ศอลฯอ่านกุนูตในยามรุ่งอรุณ(ละหมาดศุบฮิ) จนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป) มันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ เอามันมาเป็นหลักฐานไม่ได้ - ดู อัซซิลซิละฮ อัฏเฏาะอีฟะอ เล่ม 3 หน้า 384-388 -
แปลกที่ว่า ทำไมนักวิชาการหลายท่าน เช่น เช็คบินบาซ เช็คอัลอุษัยมีน เช็คอัลฟูซาน และคนอื่นๆอีกหลายท่านไม่ยอมรับหะดิษนี้ ทั้งที่น้อง อัล-อัซฮารีว่า “ เศาะเหียะ”
แปลกครับ

ตอบ

ผมว่าบังอะสันแปลกมากกว่าครับ คำพูดของบังอะสันนี้ ผมคิดว่า บังอะสันไม่อ่านในสิ่งที่ผมนำเสนอมาอย่างแน่นอน หรือว่าบังอะสันไม่กล้าไปอ่านมัน เพราะกลัวว่าสัจจะธรรมมันจะมาสร้างความสั่นคลอนทัศนะคติของบังอะสัน แล้วบังอะสันก็ยกคำพูดเดิมของ อัลบานีย์มาอีก ทั้งที่ผมได้ยกรายละเอียดจากหนังสือของอัลบานีย์ มากกว่าสิ่งที่บังอะสันยกมาเสียอีก ซึ่งผมได้บอกถึงสิ่งที่อัลบานีย์บอกว่าฏออีฟ เหตุใดถึงฏออีฟ ? และผมก็ทำการวิจารณ์การอำพรางในการฏออีฟหะดิษนี้ไปแล้ว ส่วนคำว่า "หะดิษดังกล่าว ไม่มั่นคง ตามทัศนะของนักวิชาการ(อุลามาอฺ) นั้น ใครบ้างครับ ?? และอุลามาอฺท่านใดบ้าง ที่ยืนยันว่ามั่นคง ?? หากอยากรู้ บังอะสันก็กลับไปอ่านใหม่ในสิ่งที่ผมได้นำเสนอมา ซึ่งมีอุลามาอฺนักวิชาการมากมายที่บอกว่า หะดิษนี้มั่นคงและได้รับการยืนยัน ด้วยเหตุผลทางวิชาการอย่างเฉียบขาดและมีน้ำหนัก

ส่วนการที่บังอะสันได้ยกนักวิชาการผู้อยู่ในดวงใจของบังอะสันนั้น มันชี้ถึงการตักลีด หากบังอะสันไปยึด ชัยคฺบินบาซฺ ชัยคฺอุษัยมีน ชัยคฺอัลฟูซาน ล่ะก็ ผมขอยึด อิมามอัชชาฟิอีย์ อิมามาลิก อิมามอันนะวาวีย์ อิมามอัลอิซฺ บิน อับดุลสะลาม ดีกว่า แต่ถ้าหากว่าบังอะสันต้องการตักลีด บังอะสันไปสืบให้ทราบว่า ทำอะไรอุลามาอฺของบังอะสันถึงไม่ยอมรับหะดิษนี้ ? แต่หากบังอะสันกลับไปสืบพิจารณา บังอะสันก็จะไม่พบอะไรจากพวกเขา นอกจากเหตุผลที่พวกเขาไม่รับหะดิษนี้นั้น คือสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว และผมก็ได้วิจารณ์หักล้างในเชิงวิชาการไปแล้ว โปรดกลับไปอ่านทบทวนดูครับ หากบังอะสันไม่ตักลีด

แต่ผมคิดว่า บังอะสันพยายามยก ทัศนะของอัลบานีย์ ของชัยคฺบินบาซ หรือท่านอื่นที่เป็นอุลามาอฺในทางของบังอะสันนั้น เพื่อที่จะให้ผู้อ่านที่เป็นวะฮาบีย์ ยึดติดในตัวบุคคลว่า อัลบานีย์ว่าอย่างนี้น่ะ ชัยคฺบินบาซฺว่าอย่างนี้น่ะ ชัยคฺอุษัยมีนว่าอย่างนี้น่ะ ชัยคฺเฟาซานว่าอย่างนี้นะ เพื่อบังอะสันจะบอกให้คนอื่นตักลีดตามบุคคลที่ตัวเองชอบ โดยไม่คำนึงถึงหลักวิชาการของศาสนาอย่างแท้จริง ผมว่าบังอะสันนี่แหละ ที่พยายาส่งเสริมให้คนอื่นตักลีด บอกว่าไม่ให้ตักลีดตามอิมามชาฟิอีย์ แต่ในทางตรงกันข้าม บังอะสันกับไม่ห้ามให้ตักลีดอัลบานีย์ ชัยคฺบินบาซฺ เฉยเลยครับ ดังนั้นหากบังอะสันไม่อยากยึดติดอุลามาอฺ ก็โปรดเข้ามาพิจารณาหลักฐานกันแบบเปิดกว้างซิครับ ซึ่งผมก็ได้นำเสนอไปแล้ว

แต่สิ่งที่บังอะสัน อ้างอิงเพิ่มเติมมาจากอิบนุตัยมียะฮฺและอิบนุก๊อยยิมมาอีก ผมต้องทำการชี้แจงโดยอ้างอิงสิ่งที่ได้นำเสนอมาแล้ว ทีละประเด็นๆ เพื่อทบทวน และพยายามให้บังอะสันอ่านในสิ่งที่ผมนำเสนอมาให้ได้ครับ เนื่องจากเขาไม่ยอมอะไรทั้งนั้น

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 11:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ต่อนะครับ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه قَالَ : " لأقَرِّبَنَّ صَلَاةَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَكَانَ أَبُو هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ يَقْنُتُ فِي الرَّكْعَةِ الْآخِرَةِ مِنْ صَلَاةِ الظُّهْرِ وَصَلَاةِ الْعِشَاءِ وَصَلَاةِ الصُّبْحِ بَعْدَ مَا يَقُولُ سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ فَيَدْعُو لِلْمُؤْمِنِينَ وَيَلْعَنُ الْكُفَّارَ " . متفق عليه
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ(ร.ฎ)กล่าวว่า “ขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าใกล้ชิดละหมาดของท่านนบี ศอลฯ ดังนั้น อบูฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ)อ่านกุนูตในเราะกะอัตสุดท้ายของ ละหมาดซุฮรี ละหมาดอีชา และละหมาดศุบฮิ หลังจากที่กล่าวคำว่า “سمع الله لمن حمده “ แล้วเขาได้ขอดุอาให้แก่บรรดามุสลิมและสาปแช่งบรรดากาเฟร – มุตตะฟักอะลัยฮิ
عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رضي الله عنه قَالَ : " قَنَتَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَهْرًا مُتَتَابِعًا فِي الظُّهْرِ وَالْعَصْرِ وَالْمَغْرِبِ وَالْعِشَاءِ وَصَلَاةِ الصُّبْحِ فِي دُبُرِ كُلِّ صَلَاةٍ إِذَا قَالَ سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ مِنَ الرَّكْعَةِ الْآخِرَةِ يَدْعُو عَلَى أَحْيَاءٍ مِنْ بَنِي سُلَيْمٍ عَلَى رِعْلٍ وَذَكْوَانَ وَعُصَيَّةَ وَيُؤَمِّنُ مَنْ خَلْفَهُ "
รายงานจากอิบนิอับบาส (ร.ฎ) กล่าวว่า “ท่านรซูลุ้ลลอฮ (ศอลฯ)กล่าวว่า “ ท่านรซูลุ้ลอฮ ศอลฯ อ่านกุนูตหนึ่งเดือนติดต่อกัน ในละหมาดซุฮริ ละหมาดอัศริ ละหมาดมัฆริบ ละหมาดอีชา และละหมาดศุบฮิ ในช่วงท้ายของทุกละหมาด เมื่อท่านกล่าวคำว่า “ สะมิอัลลอฮุลิมัลหะมิดะฮ” ใน เราะกะอัตสุดท้าย ขอดุอาสาปแช่งแก่ พวกหนึ่งจากบนีสุลัยน และสาปแช่งเผ่าเรียะลิน เผ่าซักวาน และเผ่าอุซัยยะฮ และคนที่ละหมาดตามท่าน ต่างก็กล่าวคำว่า “อามีน”
أخرجه أحمد وأبو داود والحاكم كلهم من طريق ثابت بن يزيد عن هلال بن خباب عن عكرمة عن ابن عباس به ، وهذا إسناد جيد . قال النووي : " رواه أبو داود بإسناد حسن أو صحيح " (المجموع3/482) . وقال ابن القيم : " حديث صحيح " (زاد المعاد 1/280 ) . وقال ابن حجر : " هذا حديث حسن " (نتائج الأفكار 2/130 ) وحسنه الألباني (انظر صحيح سنن أبي داود ح1443
..........................................
นี้ก็เป็นหะดิษเศาะเฮียะที่ยืนยันว่า การอ่านกุนูตไม่ใช่เฉพาะแต่ละหมาดศุบฮิ แต่ มีการอ่านในละหมาดอื่นด้วย และเป็นกุนูตอัล-นาซิละฮ
มาดูทัศนะนักวิชาการเพิ่มเติมนะครับ
قال ابن تيمية : " القنوت مسنون عند النوازل ، وهذا القول هو الذي عليه فقهاء أهل الحديث ، وهو المأثور عن الخلفاء الراشدين ".( مجموع الفتاوى 23/ 108 ).
อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า “ การอ่านกุนูต เป็น สุนนะฮ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น และนี้คือ ทัศนะที่บรรดาฟุกอฮา ที่เป็นนักวิชาการหะดิษ ยึดถืออยู่ และมันมีร่องรอย(มีแบบอย่าง)มาจากเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน - ดูมัจญมัวะฟะตาวา 23/108
قال ابن تيمية رحمه الله : ".. فيشرع أن يقنت عند النوازل يدعو للمؤمنين ويدعو على الكفار في الفجر وغيرها من الصلوات ، وهكذا كان عمر يقنت لما حارب النصارى بدعائه الذي فيه ( اللهم العن كفرة أهل الكتاب )" ( مجموع الفتاوى 22/270 )
อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า “ มีบัญญัติให้อ่านกุนูต เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ขอดุอาให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา และดุอาสาปแช่งแก่ พวกกาเฟร ในละหมาดฟะญัร(ศุบฮิ)และอื่นจากนั้น จากบรรดาละหมาดห้าเวลา และเช่นนี้แหละ ปรากฏว่า ท่านอุมัร อ่านกุนูต เมื่อทำสงครามกับชาวคริสเตียน ด้วยการขอดุอา มีใจความว่า (โอ้อัลลอฮ โปรดให้กาเฟรชาวคัมภีร์ห่างใกลจากความเมตตาด้วยเถิด) - ดู มัจญมัวะฟะตาวา 22/270
وقال ابن القيم : " وكان هديه صلى الله عليه وسلم القنوت في النوازل خاصة ، وترْكَه عند عدمها ، ولم يكن يخصه بالفجر ، بل كان أكثر قنوته فيها " . ( زاد المعاد 1/273 )
อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า “ และปรากฏว่าทางนำของท่านนบี ศอลฯนั้น คือ การอ่านกุนูต ในเหตุการณ์ร้ายที่ประสบ โดยเฉพาะ และท่านได้ทิ้งมัน เมือไม่มีเหตุการณ์นั้น และไม่ได้จำกัดเฉพาะละหมาดฟัจญริ(ศุบฮิ) เท่านั้น แต่ว่า ปรากฏว่าท่านอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ มากกว่า(ในละหมาดอื่น) – ดูซาดุลมะอาด 1/273


ตอบ

ซุบหานั้นเลาะฮฺ !!! บังอะสันนี่พูดอยากจัง หลักฐานที่บังอะสันยกมานี้ เราไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเรื่องกุนูต อันนาซิละฮฺ นั้น เราสามารถกระทำได้ในทุกเวลาละหมาด หากมีภัยพิบัติการขึ้น ซึ่งเรื่องกุนูต อันนะซิละฮฺ นี้ เราไม่ขอพูดถึง เพราะว่าเป็นประเด็นที่มีความพร้องกัน ว่าสุนัตให้กระทำ ดังนั้นในหะดิษนี้ ได้แบ่งกุนูตออกเป็นสองประเภท คือ กุนูตที่ขอพรให้แก่บรรดามุสลิม และกุนูตสาปแช่งพวกกุฟฟารมุชริกีน แต่นบีได้ทิ้งกุนูตสาปแช่ง โดยที่ไม่ได้ทิ้งกุนูตขอพรให้แก่บรรดามุสลิมีน โปรดดูเพิ่มเติมในสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว คือ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 11:44 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มีบางอุลามาอฺมัซฮับมะลิกีย์กล่าวว่า กุนูตซุบหฺนั้น วายิบ แต่ส่วนมากของมะลิกีย์บอกว่าสุนัต และมัซฮับหัมบาลีย์และหะนะฟีย์นั้น ถือว่ากุนูตไม่เป็นสุนัต แต่พวกเขาก็ไม่ไปกล่าวหามัซฮับผู้มีทัศนะไม่เหมือนตนว่าทำบิดอะฮฺ แต่เราผู้ถือมัซฮับชาฟิอีย์ขอเป็นกลางคือ เป็นเพียงแค่สุนัตเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ผมจะนำเสนอนี้ ไม่ใช่ยืนยันว่า ต้องอ่านกุนูตหรือบอกว่าวายิบต้องอ่านกุนูต แต่เราขอนำเสนอเพียงแค่บอกว่ามันเป็นสุนัต (อับอาด)เท่านั้นเอง แต่ปัจจุบันนี้ สะละฟีย์ วะฮาบีย์ ปัจจุบัน อ้างว่า การอ่านกุนูตในละหมาด ซุบหฺ นั้นเป็นบิดอะฮฺ และกล่าวหาผู้ที่ไม่อยู่ในทัศนะเดียวกับตนว่าทำบิดอะฮฺ ทั้งที่พฤติกรรมอย่างนี้ไม่เคยก่อนขึ้นมาก่อนในโลกอิสลาม และพวกเขากล่าวว่ามัซฮับชาฟิอีย์ในเรื่องนี้นั้น ไม่สอดคล้องกับซุนนะฮฺ โดยที่ยึดหะดิษของท่านอะนัสและท่านอื่นๆที่ว่า

عن أنس قال : قنت رسول الله شهرا يدعو على حي من احياء العرب ثم تركه

ความว่า " รายงานจากท่านอะนัส เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺได้อ่านกุนูตหนึ่งเดือน โดยขอดุอาสาปแช่งแต่กลุ่มหนึ่งของอาหรับ หลังจากนั้นท่านนบีก็ทิ้งไป" รายงานโดยอัลบุคคอรีย์และมุสลิม

และสะละฟีย์ วะฮาบีย์ ปัจจุบันอ้างอีกเช่นกันว่า หะดิษของท่านอะนัสที่ว่า

ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في الفجر حتى فارق الدنيا

ความว่า" ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.)ยังคงอ่านกุนูตในละหมาดซุบหฺจนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป" ซึ่งหะดิษนี้ สะละฟีย์ วะฮาบีย์ ปัจจุบันกล่าวว่า ฏออีฟ โดยยึดการวิเคราะหฺและคำกล่าวของอัลบานีย์ในการกล่าวฏออีฟกับหะดิษนี้

ท่านอิมาม หาฟิซฺ อันนะวาวีย์ กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมัจญฺมั๊วะของท่าน ว่า

حديث أنس مثل ذلك متفق عليه بلفظ قنت شهرا بعد الركوع يدعو على أحياء من العرب ثم تركه وللبخارى مثله عن عمر ولمسلم عن خفاف بن إيماء وهذا ظاهره يعارض حديث الربيع بن أنس عته وجمع بينهما من أثبت القنوت بأن المراد ترك الدعاء على الكفار لا أصل القنوت وروى البيهقى مثل هذا الجمع عن عبد الرحمن بن المهدى بسند صحيح

ความว่า " หะดิษของท่านอะนัส ที่เหมือนๆกับดังกล่าวนั้น ได้รายงานสอดคล้องกันโดยอัลบุคคอรีย์และมุสลิม ด้วยคำว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ได้อ่านกุนูตหนึ่งเดือนหลังจากร่อกั๊วะ โดยดุอาสาปแช่งกลุ่มหนึ่งของอาหรับ(กุฟาร) หลังจากนั้นท่านนบี(ซ.ล.)ก็ละทิ้งมันไป และคำของอัลบุคคอรีย์ ก็เหมือนกับมุสลิม จากรายงานของท่านอุมัร และให้กับมุสลิมเช่นกัน ได้รายงานจาก ค่อฟาฟ บิน อีมาอฺ โดย(ความหมาย)หะดิษนี้ความหายผิดเผินแล้ว ขัดกับหะดิษของ อัลร่อเบี๊ยะอฺ บิน อะนัส ที่รายงานจากซัยยิดินาอะนัส และผู้ที่ยืนยันในเรื่องกุนูตนั้น ก็ทำการรวมระหว่างทั้งสองหะดิษ โดยจุดมุ่งหมายก็คือ ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้งดุอาสาปแช่งพวกกุฟฟาร ไม่ใช่ละหมาดพื้นฐานเดิมของกุนูต และอัลบัยฮะกีย์ได้รายงานเช่นเดียวกับการรวม(ระหว่างหะดิษนี้)จาก อับดุรเราะหฺมาน บิน อัลมะฮฺดีย์ ด้วยสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ " ดู หนังสือ อัล-มัจญฺมั๊วะ ของท่านอิมามนะวาวีย์ เล่ม 3 หน้า 423 ตีพิมพ์ที่ อัลมุนีรียะฮฺ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 11:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เราของนำเสนอบรรดาหะดิษ เพื่อให้ความกระจ่างกับสิ่งดังกล่าวเพิ่มขึ้น คือ

1- ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ ได้รายงานไว้ ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 490 และมุสลิมรายงานไว้ ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เล่ม 1 หน้า 469 จากหะดิษของท่านอะนัส บิน มาลิก (ร.ฏ.) เขากล่าวว่า

إنما قنت رسول الله صلى الله عليه وسلم بعد الركوع شهرا، أراه كان بعث قوما يقال لهم القراء، زهاء سبعين رجلا، إلى قوم من المشركين دون أولئك، وكان بينهم وبين رسول الله صلى الله عليه وسلم عهد، فقنت رسول الله صلى الله عليه وسلم شهرا يدعوا عليهم

ความว่า " แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.) ได้อ่านกุนูตหลักร่อกั๊วะ หนึ่งเดือน ฉันเห็นว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.)ได้ส่งนักอ่านอัลกุรอานประมาณ 70 คน ไปยังพวกมุชริกีน ซึ่งระหว่างพวกเขาและร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.) ได้มีสนธิสัญญาต่อกัน(เมื่อพวกเขาได้บิดพิ้วทำการสังหารบรรดนักอ่าน) ดังนั้นท่านนบีจึงอ่านดุอาอฺกุนูตสาปแช่งต่อพวกเขาหนึ่งเดือน "

2- ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ ได้รายงานไว้ ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 490 และมุสลิมรายงานไว้ ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เล่ม 1 หน้า 469 จากหะดิษของท่านอะนัส บิน มาลิก (ร.ฏ.) เขากล่าวว่า

قنت النبي صلى الله عليه وسلم بعد الركوع شهرا، يدعو على رعل وذكوان

ความว่า "ท่านนบี (ซ.ล.)ได้อ่านกุนูตสาปแช่งหลังจากร่อกั๊วะหนึ่งเดือน ต่อพวกเรี๊ยะลิ และซักวาน "

3- และมุสลิมรายงานไว้ ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เล่ม 1 หน้า 469 ในหะดิษที่ 304 จากหะดิษของท่านอะนัส บิน มาลิก (ร.ฏ.) เขากล่าวว่า

أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قنت شهرا. يدعو على أحياء من أحياء العرب. ثم تركه

ความว่า "แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ ได้ดุอากุนูตสาปแช่งกลุ่มชนอาหรับ(มุชริกีน)หนึ่งเดือน หลังจากนั้น ท่านนบีก็ได้ทิ้งมัน "

ดังนั้น หะดิษนี้จึงมีความชัดเจนว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ทิ้งดุอาอฺกุนูตสาปแช่ง โดยพิจารณาจากคำว่า ( ثم تركه ) (หลังจากนั้นท่านนบีก็ได้ทิ้งมัน) คือท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้งการสาปแช่งพวกเขา ไม่ใช่ทิ้งพื้นฐานการกุนูตในละหมาดซุบหฺ


6- รายงานท่านอะนัส บิน มาลิก เขากล่าวว่า

ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في الفجر حتى فارق الدنيا

ความว่า" ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.)ยังคงอ่านกุนูตในละหมาดซุบหฺจนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป"
รายงานหะดิษนี้ โดยอิมามอะหฺมัด ไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 162 ดู หนังสือ อัลฟัตหฺ อัรร๊อบบานีย์ เล่ม 3 หน้า 302 และได้รายงานโดยท่าน อัลบัรซฺาซ โดยที่ อัลหาฟิซฺ อัลฮัยษะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มัจญฺมะอฺ อัซซะวาอิด เล่ม 2 หน้า 139 ว่า บรรดานักรายงานหะดิษนี้ เชื่อถือได้ และท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ อัสสุนัน อัลก๊อบรอ ของท่าน เล่ม 2 หน้า 102 และทำการถ่ายทอดการซอเฮี๊ยะหฺของท่านอัลหากิม และท่านอัลบัยฮะกีย์ก็ยอมรับในการยืนยันถึงความซอเฮี๊ยะหฺ และท่านอัรดารุกุตนีย์ ได้รายงานไว้ใน หนังสือสุนัน ของท่าน เล่ม 2 หน้า 39 และท่านอับดุล อัรร๊อซซาก ได้รายงานในหนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน เล่ม 3 หน้า 110 และอิบนุ อบี บัยบะฮฺ กล่าวไว้ใน หนังสือ อัลมุซันนัฟ เล่ม 2 หน้า 312 และท่านอัลบุฆอวีย์ ได้รายงานในหนังสือ ชัรหฺ อัสสุนนะฮฺ เล่มที่ 3 หน้า 124 ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ (ร.ฏ.) ได้กล่าวไว้ ใน หนังสือ อัลมัจญฺมั๊วะ ว่า หะดิษนี้ เป็นหะดิษที่ซอเฮี๊ยะหฺ ซึ่งได้รายงานโดยกลุ่มหนึ่งจากนักหะดิษ และพวกเขาถือว่าเป็นหะดิษซอเฮี๊ยะหฺ และส่วนหนึ่งจากผู้ระบุถึงความซอเฮี๊ยะหฺของหะดิษนี้นั้น อาธิเช่น อัลหาฟิซฺ อบู อับดิลลาฮฺ มุหัมมัด บิน อลี อัลบัลคีย์ ท่านอัลหากิม ท่านอัลบัยฮะกีย์ และได้รายงานโดยท่าน อัดดารุกุตนีย์ จากหนทางต่างๆ ด้วยบรรดาสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ " ดู อัลมัจญฺมั๊วะ เล่ม 3 หน้า 504


และรายละเอียดต่างๆนั้น โปรดท่านผู้อ่านกลับไปทบทวนให้ละเอียดครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 11:51 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน
ส่วนหะดิษที่ว่า
ما زال رسول الله صلى الله عليه وسلم يقنت في صلاة الصبح حتى فارق الدنيا
มาดูคำอธิบายต่อไปนี้
وأما الحديث الثاني، ففي سنده أبو جعفر الرازي، وهو ليس بالقوي، وحديثه هذا لا ينهض للاحتجاج به؛ إذ لا يُعقل، أن يقنت رسول اللّه صلى الله عليه وسلم في الفجر طول حياته، ثم يتركه الخلفاء من بعده، بل إن أنَساً نفسه لم يكن يقنت في الصبح، كما ثبت ذلك عنه، ولو سُلِّم صحة الحديث فيحمل القنوت المذكور فيه على، أنه صلى الله عليه وسلم كان يطيل القيام بعد الركوع؛ للدعاء والثناء، إلى أن فارق الدنيا، فإن هذا معنى من معاني القنوت، وهو هنا أنسب.
ومهما يكن من شيء، فإن هذا من الاختلاف المباح، الذي يستوي فيه الفعل والترك، وإن خير الهدْي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم
สำหรับหะดิษที่สองนั้น(หะดิษที่ระบุว่าท่านนบี ศอลฯอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป) ในสายรายงานของหะดิษนี้ มีอบูญะอฟัร อัรรอซี นักหะดิษกล่าวว่า เป็นบุคคลที่ออ่นหลักฐาน ฉะนั้นหะดิษของเขานี้ นำขึ้นมาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่กินกับปัญญา ที่ว่าท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิตลอดชีวิต ของท่าน แล้วบรรดาเคาะลิฟะฮหลังจากท่านกลับมาทิ้งเสีย ยิ่งไปกว่านั้น อะนัสเอง ไม่ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ดังที่ปรากฏรายงานยืนยันอย่างนั้น และสมมุติว่า หะดิษนี้เศาะเหียะ คำว่า “กุนูต”ที่กล่าวมานั้น หมายถึง การที่ท่านนบี ศอลฯ ยืนนานๆหลังจาก รุกัวะ เพื่อขอดุอาหรือ สรรเสริญอัลลอฮ จนกระทั้งท่านได้จากโลกนี้ไป ที่จริงความหมายอย่างนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากความหมายกุนูต และอย่างนี้น่าจะถูกต้องกว่า อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ อนุญาต ให้ทำได้ ละทิ้งก็ได้ มีน้ำหนักเท่ากัน แต่ทางนำที่ดีเลิศนั้น คือทางนำของท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ
- ดูฟิกฮสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 167-168 และ
นี้เป็นคำอธิบายที่เป็นกลาง แต่ท่านสัยยิดสาบิก มาเน้นประโยคที่ว่า “وإن خير الهدْي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم
“แต่ทางนำที่ดีเลิศ คือ ทางนำของท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ”

ตอบ

ท่านซัยยิดซาบิกนั้น เป็นอุลามาอฺของอียิปต์ แต่หนังสือฟิกหฺซุนนะฮฺของท่านนี้ เมื่อกระทั้งวะฮาบีย์เองก็นำมาวิจารณ์เป็นหนังสือ ผมเห็นแล้วไม่อยากซื้อ และหนังสือฟิกหฺซุนนะฮฺนี้ มีข้อผิดพลาดด้วย และท่านซัยยิดซาบิกเอง ก็ประกาศบอกไปอย่างน้อบน้อมถ่อมตนว่า "หากมีข้อผิดพลาดอีก ฉันก็จะทำการแก้ไข " และหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ ก็ไม่ได้ผ่านสภาการตรวจสอบทางวิชาการของอัลอัซฮัร เพราะต้องแก้ไขหลายจุด แต่ที่สำคัญหนังสือชุดนี้ ก็มีขายตามร้านหนังสือ และประเนื้อหาที่วะฮาบีย์ชอบและไม่ชอบ เดิมทีท่านซัยยิดซาบิกนี้ ยึดมัซฮับหะนะฟีย์ และท่านก็พยายามแต่งหนังสือฟิกห์ซุนนะฮฺขึ้นมา แต่ท่านก็ได้รับอิทธิพลของหะนะฟีย์มาไม่น้อย อย่างเช่นเรื่อง มูลสัตว์ที่เนื้อได้นั้นไม่เป็นนะยิส จนกระทั้ง นายมะรูด ทิมมะเสน ได้แปลหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "ใครบอกว่าขี้เป็ดขี้ไก่เป็นนะยิส" ? โดยอ้างอิงจากฟิกห์ซุนนะฮฺก็มากเกี่ยวกับประเด็นนี้ หนังสือของนายมุรีดเล่มนี้นั้น พอแปลทำเป็นหนังสือเสร็จก็ทำการแจกตามมัสยิดในกรุงเทพ ผมก็ได้อ่านเหมือนกัน ถึงกับแจกเลยครับ ตังค์แยะจัง ไม่รู้ว่า ได้รับการนสนับสนุนจากโองกรณ์สาอุดี้วะฮาบีย์หรือเปล่า ? ดังนั้นผมไม่นิยมนายมุรีด ที่บอกว่าขี้ไก่ตำมะแนสะอาด เรามาเข้าเรื่องกันครับ

จากคำกล่าวของท่าน ซัยยิดซาบิกนั้น พอสรุปทัศนะของท่านได้ดังนี้ คือ บอกว่าหะดิษท่านอะนัสฏออีฟ เพราะมีท่านอบูญะฟัรอัรรอรีย์ ที่นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คือความเห็นของท่านซัยยิด ที่ไม่บอกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน คือบอกว่าอบูญะฟัรอัรรอซีย์ ฏออีฟ โดยไปกล่าวถึงบรรดาอุลามาอฺหะดิษที่บอกว่าเขานั้น เชื่อถือได้ และคำกล่าวที่บอกว่าอบูญะฟัรฏออีฟโดยปกปิดข้อมูลอื่นอีกที่บอกว่า อบูญะฟัร อัรรอซีย์เป็นคนที่ เชื่อถือได้ นั้น เป็นวิธีการที่ทราบกันดีของผู้ที่ไม่มีทัศนะในกุนูตซุบหฺ แต่ท่านซัยยิดซาบิก ก็เป็นกลางและผ่อนปรนในเรื่องกุนูตซุบหฺครับ ท่านกล่าวว่า

ومهما يكن من شيء، فإن هذا من الاختلاف المباح، الذي يستوي فيه الفعل والترك

ความว่า " ไม่ว่าจะมาจากสิ่งใด ดังนั้นแท้จริงแล้ว อันนี้(คือเรื่องกุนูตซุบหฺ) เป็นส่วนหนึ่งจากการขัดแย้งที่อนุญาติ ซึ่งย่อมเท่าเทียมกันระหว่างทำ(การอ่านกุนูตซุบหฺ) และทิ้ง(ไม่ทำการอ่านกุนูตซุบหฺ) "

จากคำพูดของท่านซัยยิดซาบิกนี้ มันชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย คือจะทำหรือไม่ทำนั้น เท่ากัน คือจะเลือกทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องขัดแย้งอนุญาติให้มีได้ แต่วะฮาบีย์ปัจจุบันมีทัศนะไม่เหมือนกับท่านซัยยิดซาบิก ซึ่งพวกเขากล่าวว่า หากใครทำ ถือเป็น บิดอะฮฺ ที่ลุ่มหลง ?? ซุบหานัลเลาะฮฺ !! ดังนั้นเมื่อต่างฝ่ายก็มีหลักฐานในเรื่องนี้ และการทำหรือไม่ทำก็มีค่าเท่ากัน (ส่วนจะใครมีน้ำหนักกว่านั้น ก็โปรดอ่านก็สนทนาในเรื่องกุนูตนี้ครับ) ท่านซัยยิดจึงกล่าวย้ำว่า

“وإن خير الهدْي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم

“แต่ทางนำที่ดีเลิศ คือ ทางนำของท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ”

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Dec 09, 2005 11:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

จึงอยากที่จะบอกท่านผู้อ่านว่า นักวิชาการที่เขาคัดค้าน การเน้นการอ่านกุนูตเฉพาะละหมาดศุบฮินั้น เขาก็มีหลักฐานเช่นเดียวกันครับ

ตอบ

แน่นอนครับ บังอะสัน ที่เรากุนูต อันนะซิละฮฺนั้น ไม่มีใครคัดค้าน เพราะเป็นมติที่เห็นพร้องกัน เราลองมาดูคำพูดคำนี้ของบังอะสันที่ว่า "นักวิชาการที่เขาคัดค้าน การเน้นการอ่านกุนูตเฉพาะละหมาดศุบฮินั้น เขาก็มีหลักฐานเช่นเดียวกันครับ " นักวิชาการที่คัดค้านเรื่องกุนูตนั้น เขาคัดค้านอย่างไร ? โดยเหตุผลอะไร ? นั้น ผู้อ่านโปรดกลับไปอ่านทบทวนสิ่งที่ผมนำเสนอไป แล้วบรรดานักวิชาการที่ไม่คัดค้านนั้น เขามีหลักฐานที่มีน้ำหนักว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่บังอะสันบอกว่านักวิชาการที่คัดค้านนั้นเขาก็มีหลักฐาน ก็เพื่อที่บังอะสันจะบอกว่า หากเราไม่อ่านกุนูต เราก็มีหลักฐาน อันนี้ผมขอกล่าวกับบังอะสันว่า ผมไม่บังคับอะสันให้มาอ่านกุนูตหรอกครับ ผมแค่ต้องการคำพูดจากบังอะสัน(หลังจากที่ผมได้เสนอหลักฐานไปแล้ว)ที่ว่า "ผู้ที่ทำการกุนูตซุบหฺนั้นไม่เป็นบิดอะฮฺ" เท่านั้นเอง เนื่องจากผมไม่คลั้งใคล้ ไม่ตะอัศศุฟ ในแนวทางของตัวเอง คือใครทำการอ่านกุนูตก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ เพราะมันเป็นสุนัต

ท่านผู้อ่านลองมาลุ้นกันนะครับว่า บังอะสันจะพูดได้ใหม ? หรือจะเลี่ยงไปประเด็นอื่น หากพูดออกมาได้ เราก็ขอกล่าวว่าอัลหัมดุลิลลาห์ แต่ถ้าบังอะสันไม่ยอมรับและไม่ยอมพูด ก็เพราะเหตุผลต่อไปนี้

1- บังอะสันตะอัสศุฟ ยึดติดแนวทางของตัวเองฝ่ายเดียว

2- กลัวเสียฟอร์ม เพราะบังอะสันไปยอมรับทัศนะอีกฝ่ายหนึ่งที่มีน้ำหนัก แต่ไปค้านกับทัศนะของวะฮาบีย์ที่บังอะสันอยู่

3- บังอะสันตักลีด โดยไม่ยอมรับฟังใครทั้งนั้น ที่ไม่ใช่แนวทางของตน

ผมจะมาฟังคำตอบจากบังอะสันผู้ใฝ่หาสัจจะธรรม และมีลักษณะที่ผ่อนปรนต่อบรรดามุสลิมด้วยกันครับ และอีกประมาณ สองสัปดาห์ หรือต้นมกราปีหน้า ผมจะเข้ามานะครับ เนื่องจากต้องเรียนและใกล้สอบนะครับ มีอะไรก็สนทนามาได้เรื่อยๆครับ

والسلام

الأزهرى الشافعى

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 20, 21, 22 ... 26, 27, 28  ถัดไป
หน้า 21 จากทั้งหมด 28

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.16 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ