ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอยู่
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอยู่
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 17, 18, 19 ... 22, 23, 24  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Tue Mar 15, 2005 10:38 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ประการต่อมา ที่คุณเสนอให้ผมศึกษาทัศนะต่างๆทั้งยุคใหม่ยุคเก่า
ก็ขอตอบว่าแน่นอนครับ ผมได้เสาะสืบเสาะหาศึกษามาแล้ว
และผมก็ย้ำเสมอว่าไม่ได้ว่าอะไรกับคนที่ทัศนะต่างกัน(ในเรื่องคิลาฟิยะฮฺ)
แต่ทีนี้ ผมแค่ฟันธงกรณีนี้เฉยๆ เผื่อบางคนอาจเห็นด้วยว่ามันชัดกว่า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Tue Mar 15, 2005 3:00 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam ขอความรู้จากคุณ nop หน่อยซิคะว่า คำจำกัดความของ “อะหลุลกิตาบ” ที่คุณโพสต์มาว่าเป็นยิว-คริสต์ตามนั้นน่ะ คุณได้มาอย่างไรคะ?

เท่าที่ดิฉันติดตามเรื่องนี้มาพบว่า ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของคำจำกัดความของ “อะหลุลกิตาบ” อยู่ที่การอธิบายอัลกุรอานซูเราะห์อัตเตาบะห์อายะห์ที่ 31 เป็นหลัก

ฝ่ายหนึ่งอธิบายว่า อายะห์นี้เป็นหลักฐานที่บอกว่า อะหลุลกิตาบเป็นมุชริกีน
ดังจะเห็นได้จากเอกสารชมรมอัซซะละฟียูน เรื่องอะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร ใครคืออะห์ลุ้ลกิตาบ ชุดที่ 2 หน้า 7-8 ที่ อ.อิสหากอธิบายไว้ว่า
“การที่พวกเขา(อะห์ลุ้ลกิตาบ) เป็นมุชริกีนในความหมายจำเพาะนั้น มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอานดังนี้
“พวกเขายึดเอาบาทหลวงและนักบวชของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ ตลอดจน(ยึด)อีซาบุตรของมัรยัม(เป็นพระเจ้าด้วย) พวกเขามิได้ถูกบัญชาใช้เว้นแต่ให้พวกเขาเคารพกราบไหว้ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ที่ควรต่อการเคารพกราบไหว้ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ที่คู่ควรต่อการเคารพกราบไหว้อื่นใดนอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ต่อพระองค์จากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี (มีชิรก์)”

อัลลอฮ์บอกถึงลักษณะของพวกเขา (อะห์ลุ้ลกิตาบ) ว่า เป็นผู้ตั้งภาคีเช่นกัน เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าพื้นฐานศาสนาของพวกเขาตามที่อัลลอฮ์ได้ส่งร่อซู้ลและประทานคัมภีร์มานั้นหาได้มีการตั้งภาคีใดๆ ไม่ ”

ส่วนการอธิบายที่แตกต่างไป ตามหนังสือสถานภาพของยะฮูดีนัศรอนีและอะห์ลุลกิตาบ เล่มที่ 1 ของท่านอาจารย์ฟารีด หน้า 72-74) ท่านอาจารย์ฟารีดได้อ้างบทสรุปจากฟิซาลาลิ้ลกุรอาน ของซัยยิดกุตุบ เล่มที่ 3 หน้า 1621 ดังนี้

“และส่วนหนึ่งของผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากอะห์ลุลกิตาบแล้วสิ้นสภาพของผู้ศรัทธา จนกระทั่งได้กลายเป็นอะห์ลุลฮัรบ์ กลุ่มหนึ่ง ที่พระองค์ได้สั่งให้ต่อสู้กับพวกเขา และอีกกลุ่มหนึ่งก็กลายเป็นอะห์ลุลซิมมะห์ ที่พระองค์อัลลอฮ์ใช้ให้เก็บญิซยะห์ (ภาษีคุ้มครอง) จากพวกเขา ซึ่งเหตุที่พวกเขาได้กลายสภาพเช่นนี้นั้น พระองค์อัลลอฮ์ก็ได้
นำพฤติกรรมของพวกเขามาแฉเป็นลำดับ ในซูเราะห์อัตเตาบะห์ ตั้งแต่อายะห์ ที่ 29-34 ซึ่งสรุปธาตุแท้ของ

พวกที่สิ้นสภาพจากอะห์ลุลกิตาบแล้ว 7 ประการ คือ

1. ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์

2. ไม่ละเลิกสิ่งที่อัลลอฮ์และรอซูลของพวกเขาได้ห้าม พวกเขาเอาของฮะรอมเป็นของฮะลาล

3. ไม่ดำรงไว้ซึ่งศาสนาที่เที่ยงธรรม

4. พวกเขาลอกเลียนคำพูดของกาเฟรก่อนหน้านี้ โดยการกล่าวว่า อุซัยร์เป็นพระบุตร และอัลมะเซียะห์คือบุตรของอัลลอฮ์

5. พวกเขายกย่องเทิดทูนบรรดานักปราชญ์และบาดหลวงดังเช่นพระเจ้า ขณะเดียวกันก็ศรัทธาว่าอัลมะเซี๊ยะห์คือพระเจ้าด้วย ทั้งๆที่พวกเขาถูกใช้ให้สักการะต่ออัลลอฮ์แต่เพียงพระองค์เดียว พฤติกรรมของพวกเขานี้ อัลลอฮ์ประณามว่าเป็นมุชรีกีน (ผู้ตั้งภาคี)



6. พวกเขาต่อสู้ขัดขวางศาสนาของอัลลอฮ์ และต้องการดับรัศมีของอัลลอฮ์ด้วยปากของพวกเขา พฤติกรรมของพวกเขาคือ กาเฟร

7. นักปราชญ์และบาดหลวงของพวกเขาส่วนมากกินทรัพย์ผู้อื่นอย่างฉ้อฉล และต่อต้าน ขัดขวางแนวทางของอัลลอฮ์

ข้างต้นนี้ คือ บทสรุปจาก ฟีซิลาลิ้ลกุรอาน ของซัยยิดกุตุบ เล่มที่ 3 หน้าที่ 1621

เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านอาจารย์ฟารีดได้อธิบายไว้อย่างละเอียด จากการอ้างหลักฐานอัลกุรอาน โดยอาศัยการอธิบายจากตัฟซีรอิบนิกะษีร เล่มที่ 3 หน้าที่ 74 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
“เมื่อได้เชิญชวนแล้ว แจ้งเตือนแล้ว พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าบิดเบือน และปฏิเสธกันอีก คำประกาศสงครามของอัลลอฮ์ก็มาถึง ซึ่งเป็นฉากสุดท้ายที่สร้างความอัปยศให้แก่พวกเขาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

“พวกเจ้าจงต่อสู้กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ และไม่งดเว้นในสิ่งที่อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ได้ห้ามไว้ และไม่และไม่ถือมั่นต่อศาสนาที่เที่ยงธรรม จากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายภาษีคุ้มครองจากมือของพวกเขาในสภาพที่ต่ำต้อย” ซูเราะห์อัตเตาบะห์อายะห์ที่ 29

ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า “ข้อเท็จจริงของพวกเขาก็คือ : พวกเขาปฏิเสธท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงไม่เหลือการศรัทธาต่อนบีคนใดที่ถูกต้อง หรือแม้แต่สิ่งที่ถูกนำมาให้แก่พวกเขา พวกเขาได้ปฏิบัติตามอารมณ์,ความนึกคิด และปฏิบัติตามบรรพบุรุษของพวกเขา โดยไม่ได้เป็นไปตามศาสนบัญญัติ

เพราะหากพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขาอย่างถูกต้องแล้ว มันก็จะนำไปสู่การศรัทธาต่อท่านนบีมูฮัมหมัดด้วย เนื่องจากนบีก่อนหน้านี้ได้แจ้งข่าวเรื่องการมาของท่านนบีมูฮัหมัดไว้ และใช้ให้พวกเขาปฏิบัติตามท่าน แต่เมื่อนบีมูฮัมหมัดได้มาจริงๆ พวกเขาก็ปฏิเสธ ทั้งที่ท่านนั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่รอซูลทั้งหลาย

เป็นที่รู้กันดีว่า พวกเขามิได้ยึดถือบทบัญญัติของนบีก่อนหน้านี้ทั้งๆที่มันมาจากอัลลอฮ์ ฉะนั้นการศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อนบีก่อนหน้านี้มันจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธผู้นำแห่งบรรดานบี และเป็นนบีท่านสุดท้ายแห่งบรรดานบี ที่ดีที่สุด” ตัฟซีรอิบนิกะษีร เล่มที่ 3 หน้าที่ 74

ในอายะห์ข้างต้นนี้ ทำให้เรารับทราบถึงสถานภาพของยะฮูดีและนัศรอนี ที่เป็นฉากสุดท้ายของพวกเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พระองค์อัลลอฮ์ได้บอก เตือนแก่พวกเขาหลายครั้ง จนในที่สุดคำสั่งให้ต่อสู้กับพวกเขาก็มาถึง ซึ่งในที่นี้คือยะฮูดีและนัศรอนีที่ ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์, ไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์, ไม่ละเลิกสิ่งที่ต้องห้าม,ไม่ดำรงไว้ซึ่งศาสนาที่เที่ยงธรรม ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ใช้คำว่า
مِنَ الَّذِيْنَ أُتْوُا الْكِتَابَ

“จากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์”

(หนังสือสถานภาพของยะฮูดีนัศรอนีและอะห์ลุลกิตาบ เล่มที่ 1 ของท่านอาจารย์ฟารีด หน้า 68-70)

จากที่ดิฉันได้เรียนรู้ในสิ่งที่อ.อิสฮาก เขียนไว้ในเอกสารชมรมอัซซะละฟียูน เรื่องอะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร ใครคืออะห์ลุ้ลกิตาบ ชุดที่ 1 หน้า 18 ว่า

“ การแปลอัลกุรอานด้วยความเห็นของตนล้วนๆ เป็นสิ่งที่มิควรกระทำยิ่ง และเป็นทางแห่งความวิบัติด้วยประการทั้งปวง ท่านนะบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ผู้ใดที่กล่าวเกี่ยวกับในเรื่องอัลกุรอ่าน (แปลหรืออธิบาย) ด้วยความเห็นของตน (ล้วนๆ) ก็จงเตรียมที่นั่งของตนในนรกได้”

ทำให้ดิฉันพยายามที่จะหาดูว่าอ.อิสฮากอธิบายอายะห์อัลกุรอ่านที่เกี่ยวกับอะหลุลกิตาบว่ามีที่มาอย่างไร แต่ไม่ก็ไม่สามารถหาความกระจ่างในจุดนี้ได้

รบกวนคุณ nop ช่วยพิจารณาให้หน่อยซิคะ ว่า การอธิบายอัลกุรอานเกี่ยวกับอะหลุลกิตาบของฝ่ายไหนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากัน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Mar 17, 2005 12:34 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สลามครับคุณ natee เดี๋ยวรอคำชี้แจงนะครับ ไม่ต้องรีบ
เดี๋ยวจะเจ้ามาพิมพ์ให้ ถ้ามีเวลาพิมพ์นะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Mar 17, 2005 3:41 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ natee ถามว่าผมได้มาอย่างไร ที่บอกว่า ยิว-คริสต์นั่นแหละอะหฺลุลกิตาบ
คงไม่ใช่แค่ผมนะ อุละมาอฺหรือโต๊ะครู หรือมุสลิมทั่วไปก็เข้าใจกันดีว่าอะหฺลุลกิตาบคือยิว-คริสต์
เอ้าแต่เราไม่สน ใครจะว่ายังไงก็ช่างเราต้องมีหลักฐานของเรา
ผมเอามาจากไหน? ก็จากกุรอานอายะฮฺต่างๆนี่แหละ จะเอาบทเดียวกันนี่ก็ได้ มันตอบในตัวมันชัดเจน
อายะฮฺที่คุณ natee อ้างอิงมานั่นแหละครับ อธิบายความหมายและลักษณะของอะหฺลุลกิตาบเป็นอย่างดี

เดี๋ยวผมจะอธิบายจุดหมายและเนื้อหาที่อัลลอฮฺประทานอายะฮฺเหล่านี้ลงมาไปด้วย
เวลาคุยกับคนที่เชื่อถือตัฟซีรฺของสุนนะฮฺด้วยกันมันง่าย
เชื่อของนักเรียนเก่าอาหรับนี่สบายล่ะ ไปด้วยกันง่าย
แต่ถ้าจะมีพวกที่เข้าใจกุรอานในแบบอื่น อันนั้นก็คุยกันได้ แต่มันจะงงๆ อธิบายยากหน่อย

>>>
อายะฮฺก่อนหน้านี้พูดถึงพวกมุชริกว่ามีความเชื่อที่เลอะเทอะโสมม แล้วก็ไม่ต้องง้อไม่ต้องไปกลัวจนถ้าไม่ได้ขายค้าหรือผลประโยชน์จากเค้า
แต่พอมาตรงนี้ อายะฮฺต่อมาพูดถึงยิว-คริสต์แล้วนะครับ
(9:29) " พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและรสูลห้ามไว้
และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ .."

เอาท่อนนี้ก่อน ทำไมเขาจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและโลกหน้าล่ะครับ แต่ในที่นี้อัลลอฮฺเหมารวมไปเลยครับ
ว่าถ้าแกไม่ศรัทธาต่อมุฮัมมัด ก็เท่ากับว่าแกไม่เชื่ออัลลอฮฺ ไม่เชื่อโลกหน้า
ก็คือกาเฟรฺนั่นเองครับ ถึงแม้พวกยิว-คริสต์จะศรัทธาและสักการะอัลลอฮฺ
แต่พอส่งมุฮัมมัดลงมากลับปฏิเสธ ทั้งๆที่คัมภีร์เขาก็บอก (ในเตารอดและอินญีล) ว่ามุฮัมมัดจะมา
ตรงนี้อัลลอฮฺกล่าวชัดเจนตายตัวเลยว่า พวกนี้เป็นกาเฟรฺ(นับจากยุคนั้นเรื่อยมาและเรื่อยไป)
หากเอ็งไม่ศรัทธาต่อมุฮัมมัดก็ถือเป็นกาเฟรฺ ไม่ว่าเอ็งจะศรัทธากี่นบีที่แล้วมาก็ตาม
มิหนำซ้ำ อัลลอฮฺยังแฉว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่นบีของพวกเขาห้ามไว้ (ตัวอย่างเช่นห้ามกินหมูมันก็กิน)
และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ ก็คือบัญญัติศาสนาที่อยู่ในเตารอดและอินญีล
คัมภีร์พวกเขาสั่งแบบนั้น แต่เขาดันไม่ทำตาม แต่ไอ้ที่ห้ามกลับทำ
อัลลอฮฺกล่าวเช่นนี้ ผู้ศรัทธาต้องเข้าใจเลยว่าอัลลอฮฺโกรธพวกเขา
เพราะฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจว่าเขาศรัทธาอัลลอฮฺเหมือนๆกัน เชื่อนบีเก่าๆเหมือนกัน
ไม่ต้องสงสารเลย อัลลอฮฺให้ลุย ให้ต่อสู้กับพวกเขาได้เลย
แล้วทีนี้คนพวกนี้คือใครล่ะ? ที่อัลลอฮฺบอกว่าปฏิเสธอัลลอฮฺและปรโลก (ข้อหาที่ปฏิเสธมุฮัมมัด)
ที่อัลลอฮฺบอกไม่ยอมปฏิบัติตามคัมภีร์ของพวกเขา
อายะฮฺเดียวกันนี้เลย อัลลอฮฺกล่าวต่อว่า
"..อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์.." (คืออะหฺลุลกิตาบ)
ชัดเจนหรือยังครับ?
เอ้า เรียงให้ดูใหม่
" พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและรสูลห้ามไว้
และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์.."

ก็คือพวกนี้แหละครับ ชัดเจนที่สุด พวกนี้อัลลอฮฺเรียกว่า "อะหฺลุลกิตาบ" คือยิว-คริสต์นี่แหละครับ
เอาให้จบอายะฮฺก็คือ
"..จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย"
คือต่อสู้กับพวกยิว-คริสต์หรืออะหฺลุลกิตาบนี่แหละ จนกว่าพวกนี้จะยอมอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม

ต่อมาอัลลอฮฺพูดถึงอะหฺลุลกิตาบ (ตามตัฟซีรฺจะแปลว่าบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์) ที่กล่าวไปข้างต้นต่อว่า
(9:30) " และชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยร์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ.. "
ถ้าผมจำไม่ผิด คือนักปราชญ์ยิวที่เขียนคัมภีร์ขึ้นใหม่เรียกว่าทัลมูต (ถ้าผิดช่วยท้วงติงด้วย)
" ..และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัล-มะซีห์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ.."
อันนี้ก็คือถูกบิดเบือน จากการแปลไบเบิ้ลมาไม่รู้กี่ภาษา ซึ่งในยุคแรกๆชาวคริสต์ไม่ได้เชื่อแบบนี้
ถึงวันนี้ก็ยังมีบางนิกายไม่เชื่อแบบนี้ พวกเขาบอกว่าเป็นการตีความผิด ในไบเบิ้ลเยซูไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า
" ..นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขากล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน.."
อันนี้ถ้าอัลลอฮฺไม่บอกเราจะไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้าพวกยิวพวกคริสต์นี่ก็มีพวกหลงผิดคล้ายๆอย่างนี้
พวกเอานักปราชญ์มั่ง นบีมั่งขึ้นยกย่องเคารพบูชา ไม่รู้ว่ามีศาสนาอื่นไหนบ้างที่แตกตัวออกไป (อัลลอฮุอะลัม)
"..ขออัลลอฮฺทรงละอ์นัตพวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเหไปได้อย่างไร "
อัลลอฮฺทิ้งบทดุอาอฺให้เลย ถ้าเราไม่อยากหลงผิดเหมือนพวกเขา เป็นดุอาอฺที่อัลลอฮฺมอบให้ประชาชาติปัจจุบัน
เรื่องเดียวกับดุอาอฺในฟาติฮะหฺ มันแยกกันชัดเจนว่าประชาชาติปัจจุบันมุสลิมเป็นที่โปรดปรานของอัลลอฮฺ

ยังไม่พอ อัลลอฮฺชี้แจงถึงพวกอะหฺลุลกิตาบต่อว่า
(9:31) " พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ.."
อันนี้ยิวและคริสต์ จะเห็นได้ว่าพวกเขาสักการะนักบวช นักบุญ มาตั้งแต่ก่อนนบีมุฮัมมัดจะมาแล้ว
นี่แหละครับพวกยิวและคริสต์ที่พอนบีมุฮัมมัดมาแล้วเค้าปฏิเสธ อัลลอฮฺเรียกว่า"บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์"โดยเฉพาะ
" ..และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย.."
ตรงนี้คืออะหฺลุลกิตาบในส่วนของพวกคริสต์ ที่บอกนบีอีซาเป็นพระเจ้า มีมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้านบีมุฮัมมัดจะมา

" ..ทั้ง ๆที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ที่สมควรได้รับการเคารพสักการะ แต่เพียงองค์เดียว
ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น "

อันนี้อัลลอฮฺย้ำเตือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งย้ำเตือนพวกเรา ผู้ที่ศรัทธานบีมุฮัมมัด ศรัทธาอัลกุรอาน คือมุสลิม
แน่นอนคัมภีร์นี้ คนที่เชื่อก็คือมุสลิม อัลลอฮฺจึงบอกย้ำเตือนกับพวกเรา
อัลลอฮฺย้ำเลยว่าอย่าไปทำแบบพวกอะหฺลุลกิตาบ อัลลอฮฺทรงโกรธกริ้วมาก ตรงนี้มุสลิมต้องรู้ให้ฝังใจเลยว่า
จะเชื่ออุละมาอฺ จะยกย่องหรือยึดถือฟัตวาอุละมาอฺไปกว่ากุรอานและหะดีษไม่ได้
ดังนั้น ใครก็ตามที่ไปยกอิมามอบูหะนีฟะฮฺ อิมามชาฟีอีย์ แล้วไม่รับฟังหะดีษเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มั่ง
ตรงนี้แหละครับเข้าข่ายตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ
อย่าว่าแต่อิมามพวกนั้นเลย ใครยึดอิมามมุรีด อิมามอิสหาก อิมามฟาริด อิมามริฎอ อิมามบิน บาส
ยึดแบบไม่ลืมหูลืมตา ขัดกุรอาน ขัดหะดีษก็ยังตามอีก อันนี้ก็เข้าข่ายเช่นกัน (อย่าไปว่าแต่พวกตามมัซหับ)

(9:32) " พวกเขาต้องการจะดับแสงสว่างของอัลลอฮฺด้วยปากของพวกเขา.."
จะเห็นได้ว่า พวกอะหฺลุลกิตาบชอบใส่ไคล้ โจมตีศาสนาอิสลาม ถึงยุคนี้มันด่านบีมุฮัมมัดไม่มีดี
หาเรื่องต่อต้านโจมตีอิสลาม
หรือหากหมายถึงก่อนหน้านู้น พวกยิว พวกคริสต์มันก็บ่อนทำลายบัญญัติศาสนา
ขายศาสนามั่ง ฝ่าฝืนหลักการมั่ง พวกบาดหลวง พวกนักปราชญ์หาผลประโยชน์กับศาสนา
อย่างเราเห็นได้ชัดในยุคอาณาโรมันคาธอลิกเป็นใหญ่ มีการขายใบบุญมั่งอะไรมั่ง
ถ้าเรารับฟังข้อมูลของทางตะวันตกจะพบว่าพวกเขาออกมาแฉประวัติศาสตร์ที่เลวทรามของสันตะปาปาเก่าๆ
" ..และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงยินยอม นอกจากจะทรงให้แสงสว่างของพระองค์สมบูรณ์เท่านั้น
และแม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะชิงชังก็ตาม "

ในเมื่อศาสนาที่รสูลเก่าๆนำมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยก็จบเอาแบบนี้ คือถูกบิดเบือนถูกทำเสียหาย
อัลลอฮฺก็จึงส่งรสูลมาเรื่อยๆเพื่อชี้แจงสัจจธรรม บอกให้รู้ความจริง ความสว่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นบีมุฮัมมัด ซึ่งศาสนาที่ท่านรับหน้าที่มาเผยแผ่
เป็นแสงสว่างตลอดไปเหนือศาสนาความเชื่อเท็จอื่นๆ
ซึ่งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นจะชิงชัง แน่นอนอันนี้คือความจริง ใครก็ตามที่ปฏิเสธศรัทธามักจะเกลียดอิสลาม
ใครบอกรักอิสลามอย่าไปเชื่อ ใครๆเขาก็เกลียดอิสลาม นอกจากพวกเอนเอียง พวกที่มีใจหันเหมาทางอิสลาม
ตรงนี้มุสลิมต้องรู้ทัน ใครไม่เข้าใจกุรอานน่ะไม่รู้แน่ๆ บางคนรักกาเฟรฺ ปกป้องกาเฟรฺยิ่งกว่ามุสลิมซะอีก

(9:33) " พระองค์นั้นคือผู้ที่ได้ส่งรสูลของพระองค์มาพร้อมด้วยคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจจะ
เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจจะนั้นประจักษ์เหนือศาสนาทุกศาสนา และแม้ว่าบรรดามุชริกจะชิงชังก็ตาม "

พอมาตรงนี้พูดถึงมุชริกซะแล้ว แล้วตกลงพูดเรื่องยิวและคริสต์อยู่ ทีนี้จึงแสดงว่าพวกนี้คือมุชริก?
โปรดสังเกตว่าอายะฮฺก่อนก็มีคำว่า"ผู้ปฏิเสธศรัทธา" ซึ่งหมายถึงผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหมดแล้วนะครับ
และอายะฮฺนี้พูดถึงผู้ตั้งภาคี มันก็หมายถึงผู้ที่ตั้งภาคีทั้งหมด
แต่แน่นอนมันก็มีคิลาฟกันว่า ยิวและคริสต์ล่ะรวมอยู่ในพวกนี้ด้วยหรือเปล่า
ถ้าใช่ เอ้าก็ถือไปว่ายิวและคริสต์ที่ตั้งภาคี แต่งงานไม่ได้ (เพราะกุรอานห้าม)
ส่วนยิวและคริสต์ที่ไม่ตั้งภาคีเนี่ย แต่งได้ เอ้าถ้าถือตามนี้ฟัตวาต้องออกมาแบบนี้
ส่วนถ้าถือว่าไม่ใช่มุชริกในที่นี้ คือมุชริกจริงๆ กุรอานแยกยะฮูด นัศอรอ และมุชริกไว้คนละหมวดหมู่
ไม่ว่าจะพุทธ จะฮินดู จะที่ไหนก็ตามที่มีเคารพเจว็ดก็คือมุชริก
หรือบางฟัตวาบอกว่า พวกไม่นับถืออะไรเลยก็มุชริก ก็คือนับถือตัวเอง เพราะมนุษย์จะมีที่ยึดเหนี่ยว
เช่นเราบอกว่า เหล้าหะรอม ทำไม? ก็เรามีที่ยึดถือคืออัลลอฮฺ ส่วนใครที่ยึดถือปัญญาตนเอง ไม่นับถืออะไร
นี่แหละก็คือมุชริก ซึ่งลักษณะมุสลิมที่ไม่ละหมาดตามคำสั่งอัลลอฮฺ นบีก็เปรียบเทียบกับมุชริกเช่นกัน
(ตกลงมุสลิมขาดละหมาดโดยเจตนาแต่งงานด้วยได้หรือไม่? ให้คิด)

ส่วนอายะฮฺต่อจากนี้ก็พูดถึงความคดโกงของนักปราชญ์และบาดหลวง
และพูดถึงการญิฮาดต่อเมื่อแฉพฤติกรรมของพวกเขาเรียบร้อย
แล้วจากนั้นอัลลอฮฺก็ท้วงติงผู้ที่ไม่ทำการญิฮาดว่าหลงดุนยาหรือเปล่า ตามลำดับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Mar 17, 2005 4:08 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมเข้าใจนะครับ คือฝ่ายนึงมองว่าอายะฮฺเนี้ยก็สามารถเอามาประกอบคำชี้แจงได้ว่า
อะหฺลุลกิตาบเนี่ยก็มีสองส่วน ก็มีทั้งปฏิบัติตามคำสอน และไม่ปฏิบัติตามคำสอน
ถูกต้องครับ พวกยึดถือปฏิบัติตามคัมภีร์มันก็มี (คัมภีร์ที่ถูกบิดเบือนไปแล้วนั่นแหละ)
แล้วส่วนพวกที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนมันก็มี
ทีนี้ไอ้พวกไม่ปฏิบัติตามคำสอนเนี่ย ขอหลักฐานที่คุณเชื่อถือครับว่า
เหตุใดจึงไม่เรียกว่า "อะหฺลุลกิตาบ"
(เดี๋ยวทีนี้ผมจะมาชี้แจงตรงจุดนั้น แต่ขอให้ตอบมาก่อน ดูซิว่าเป็นไปอย่างที่ผมคาดหรือเปล่า)

ส่วนบทสรุปของสัยยิดกุฏุบ 7 ประการ ใครเชื่อตามนี้ไม่ว่า (ถ้าเชื่อว่าตรงกุรอาน)
ทีนี้ถามก่อนว่าไอ้ 7 ประการนี่คือ มีแค่ข้อใดข้อหนึ่ง ก็หลุดพ้นความเป็นอะหฺลุลิตาบ?
หรือ.. ต้องมีครบ 7 ข้อ จึงจะหลุดพ้นความเป็นอะหฺลุลกิตาบ?
แล้วลองมาแย้งดู
ถ้าบอกว่าต้องครบ 7 ข้อนี่จบเลยครับ ข้อ.1ก็จอดแล้ว เพราะยิว-คริสต์ที่เค้านับถือศาสนาของเค้า
เค้าก็ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและโลกหน้าครับ เค้าเชื่อว่ามี God มีพระยะโฮวาห์ และเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์
แต่ที่อัลลอฮฺกล่าวแบบนั้นเพราะเขาปฏิเสธนบีมุฮัมมัดครับ
อัลลอฮฺจึงหุกุมเลยว่าเขาปฏิเสธอัลลอฮฺและปรโลกแล้ว คือเป็นกาเฟรฺแล้ว

เอ้าตอบเลย ในที่นี้คือมีแค่ข้อใดข้อหนึ่งคือไม่ใช่อะหฺลุลกิตาบแล้ว
ยกตัวอย่างโต้แย้งในข้อ 3. ไม่ดำรงไว้ซึ่งศาสนาที่เที่ยงธรรม
ผมขอถามเลยว่า แล้วพวกไหนล่ะที่ดำรงไว้ซึ่งศาสนาอันเที่ยงธรรม?

เอ้าตอบแค่นี้ก่อนว่า พวกแบบไหนที่เรียกว่าดำรงไว้ซึ่งศาสนาอันเที่ยงธรรม
แล้วเราจะมาอธิบายตรงจุดนั้น
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Fri Mar 18, 2005 10:16 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณอ้างอัลกุรอ่านฉบับแปลของนักเรียนเก่าอาหรับนะคะ

(9:29) " พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและรสูลห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์.." "..จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย"

คุณบอกว่า “ก็คือพวกนี้แหละครับ ชัดเจนที่สุด พวกนี้อัลลอฮฺเรียกว่า "อะหฺลุลกิตาบ" คือยิว-คริสต์นี่แหละครับ”

แต่จากที่คุณนำฟัตวาเชคบินบาซมาให้ดูนั้น ท่านก็ตั้งเงื่อนไขไว้นี่คะ ว่า พวกที่จัดว่าเป็นอะหลุลกิตาบได้นั้น จะต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลกด้วย และในอัลกุรอ่านฉบับนักเรียนเก่าอาหรับ ก็อธิบายไว้ว่า หมายถึงพวกยิวและพวกคริสต์ เท่านั้นเองไม่ได้บอกว่า “อะหลุลกิตาบ”

จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างอยู่ตรงคำแปลอัลกุรอ่าน ที่คุณนำมาว่า “อันได้แก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์” แต่ที่ท่านอาจารย์ฟารีดได้นำเสนอ ท่านใช้ว่า “จากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์” ตรงนี้เองที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งถือว่า อายะห์นี้หมายถึง “อะหลุลกิตาบ “ ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่า “เป็นพวกที่หลุดจากอะหลุลกิตาบแล้ว” ซึ่งเรื่องนี้ท่านอาจารย์ฟารีดได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วในหนังสือของท่าน เล่มที่ 1 หน้า 70-71 โดยอ้างอิงจากตัฟซีรอัลกุรตุบีย์

เมื่อเข้าใจอัลกุรอานซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 29 ต่างกัน ก็ย่อมทำให้ความเข้าใจในอายะห์ที่ 30-34 ต่างกันไปด้วย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Fri Mar 18, 2005 10:30 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพื่อสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ ดิฉันขออนุญาตนำสิ่งที่ท่านอาจารย์ฟารีดได้เคยกล่าวไว้ในรายการวิทยุสื่ออนุรักษ์ฯ เมื่อวันพุธที่ 1 กันยายน 2547 มาให้พิจารณานะคะ

จาก ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ อายะที่ 29 ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บอกว่า “กอฏิลุลละซีนะยุมินูน…………ซอฮิรูน” อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บอกว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงต่อสู้ กับบรรดาผู้ซึ่งที่ เขาไม่อีหม่านต่ออัลลอฮ์ และก็เขาไม่อีหม่าน ไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ “วะลาญุฮัรริมูนะมาฮัรเราะมัลลอฮ์” แล้วก็เขาไม่ ฮะหร่าม เขาไม่ยับยัง เขาไม่ละเลิก ในสิ่งที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงห้ามเขาไว้ “วะร่อซูลุฮู “ และที่ร่อซูลของพระองค์ได้ห้ามเขาไว้ ..ก็คือท่านนบีมูซา และก็ท่านนบีอีซา นะครับที่ได้เอาคำสอนมาบอกว่าตรงนั้นฮะลาล ตรงนี้ฮะรอม แต่พวกนี้…เอา…ของฮะรอม…เนี่ยไปเป็นของฮะลาล “วะลาญะดีนูนะดีนัลฮัก” แล้วก็พวกเขาก็ไม่ดำรงมั่นไว้ซึ่งศาสนาที่เที่ยงธรรม “มินัลละซีนะอูตุลกิตาบ” จาดบรรดาผู้ซึ่งที่ เคยเป็นอะลุลกิตาบ “ฮัตตายั๊วฏุ้นญิซญะห์” จนกว่าพวกเหล่านี้จะได้จ่าย “ญิซญะห์” ก็คือจ่าย ภาษีคุ้มครอง “อันญะดีวะฮุมซอฮิรูน” .จ่าย ญิซญะห์ ด้วยกับมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ที่ต่ำต้อย ในอายะห์นี้…เนี่ย.เป็นต้นเรื่องของการเรียกเก็บ ญิซญะห์ ก็คือเก็บภาษีหัว หมายถึง การจ่ายภาษีคุ้มครองให้กับรัฐอิสลาม จากคนที่เคยเป็นอะลุลกิตาบที่พวกเขาเคยศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และศรัทธามั่นในคำสอนของนบีมูซา นบีอีซา ที่ได้เคยสั่งสอนไว้ แต่พอต่อมาพวกเขาเปลี่ยนอะกีดะห์ เขาเลิกศรัทธาต่ออัลลอฮ พวกเขาไม่ดำรงมั่นในคำสอนของนบีอีซาและนบีมูซา ในตอนต้นอายะห์เนี่ย อัลลอฮ์ได้พูดรวมนะครับ ที่บอกว่ารวมก็คืออัลลอฮ์บอก “อัลละซีนะลาญุมินูนะบิลละห์” ผู้ซึ่งที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ถ้าเราอ่านแค่นี้..เนี่ย..หมายถึงผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ทั้งหมด หรือ “วะลาบิลเยามินอาคิร” ไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ทั้งหมด
ในอายะห์นี้ อัลลอฮ์มาเจาะให้ในตอนท้าย นะครับว่า ผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ในที่นี้ก็คือ “มินัลละซีนะอูตุลกิตาบ” จากผู้ที่เคยเป็นอะลุลกิตาบ ไม่ได้หมายความว่าอะลุลกิตาบไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ นะครับ หมายถึงผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่เคยเป็นอะลุลกิตาบ “วะลาบิลเยามินอาคิร” และผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อวัน อาคิเราะห์ ที่เขาเคยเป็นอะลุลกิตาบ เขาไม่ฮาหร่ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ห้ามไว้ และร่อซูลของอัลลอฮ์ได้ห้ามไว้

.พี่น้องครับ …..มีบางท่านบอกว่า ในอายะห์นี้…เนี่ย…เป็นหลักฐาน…ที่บอกว่า แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไป แต่อัลลอฮ์ก็ยังเรียกพวกเขาว่า อะลุลกิตาบ ตรงนี้ไม่ใช่นะครับ เพราะคำว่า “มิน” ในคำว่า “มินั่ลละซีนะอูตุลกิตาบ” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขายังเป็นอะลุลกิตาบอยู่ แต่ “มินัลละซีนะอูตุลกิตาบ” ในที่นี้หมายถึง “จากส่วนหนึ่งของผู้ที่เคยเป็นอะลุลกิตาบ” ซึ่งจริง ๆ แล้วเนี่ย คำว่า “มิน” ในภาษาอาหรับ มีความหมายได้หลายกรณี
อย่างเช่นที่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงบอกว่า “วะมินันนาซิมัยยะกูลุอามันนา บิลลาฮิวะบิลเยามิลอาคิริ วะมาฮุมบิมุมินีน” ใน..ตอนต้น ๆ ของซูเราะห์ อัลบะเกาะเราะห์ อัลลอฮ์บอกว่า..มี..มนุษย์อยู่ส่วนหนึ่ง มีคนอยู่ส่วนหนึ่ง ที่เขากล่าวว่า “อามันนาบิลลาฮิ วะบิลเยามิลอาคิริ” พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และพวกเราศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ “วะมาฮุมบิมุมิน” แต่อัลลอฮ์บอกว่า พวกเหล่านี้ไม่ใช่มุอมิน ไม่ได้หมายความว่าในอายะห์นี้ อัลลอฮ์บอกคนที่กล่าวว่าศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ ไม่ใช่มุอมินทั้งหมดไม่ใช่นะครับ หมายถึงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เขากล่าวว่า ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ แต่พวกเขาไม่ใช่มุอมิน อัลลอฮ์ได้พูดถึงบรรดามุนาฟิกีนนะครับ ที่ศรัทธากันแต่เพียงปากและอัลลอฮ์ก็เอาพฤติกรรมของเขามาแฉซึ่งอยู่ในช่วงของ ต้น ๆ ประมาณอายะห์ที่ 8 , ที่ 9 ใน ในซูเราะห์อัลบะเกาะเราะห์

หรืออย่างเช่นในอีกอายะห์หนึ่ง ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บอกว่า “วะอินฏออิฟะตานี นัลมุอมินีนัฆตะตะลู” ที่อัลลอฮ์บอก หาก สองฝ่ายจากมุอมินที่เขาสู้รบกัน อันนี้อยู่ในซูเราะห์ อัลฮุญรอจ์ อายะห์ที่ 9 ถ้าเราอ่านอัลกุรอ่านโดยที่ อ่านตามตัวอักษร..เนี่ยเราจะเห็นได้ว่า อัลลอฮ์บอกว่า มุอมินเขาต่อสู้กัน พี่น้องก็สงสัยว่า..เอ..มุอมินเขารบกันเองหรือ ถ้าเขารบกัน แล้วเขายังจะเป็นมุอมินอยู่อีกหรือ ทั้ง ๆ ที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็บอกว่า “อิซัลฟะกออัลมุสลิมา นิมิซัยฟัยยิฮิมา ฟัลกอฏิลุวัลมัฆตูลุฟิลนาซ” เมื่อมุอมินสองกลุ่มเขาเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ ยุธโทปกรณ์ ทั้งผู้ที่ถูกฆ่า และก็ผู้ที่ฆ่า อยู่ในนรก
เราไปดูคำตอบอย่างนี้นะครับ อย่างเช่นหะดีษ ที่ท่านอะบี ฮุรอยเราะห์ รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานว่า “ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวอย่างงี้ “ลาญัซนีอัซซานี ฮีนะญัซนี วะฮูวะมุอมินูน” คนที่ทำซินานั้นเขาจะไม่ทำซินา ในขณะที่เป็นมุอมิน “วะลาญัซเราะห์บุลฆ็อมเราะฮีนะญัซร็อบ วะฮุวะมิอมิน” และผู้ที่ดื่มเหล้านั้นเขาจะไม่ดื่มเหล้าในขณะที่เขาเป็นมุอมิน “วะลาญัซริกุฮีนะญัซริก วะฮุวะมุอมิน” แล้วก็เขาจะไม่ลักขโมยในขณะที่เขาลักขโมยเนี่ยเขาเป็นมุอมิน เมื่อเราได้ฟัง การอรรถาธิบายจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างเงี้ยนะครับ เราก็เข้าใจว่า คนที่กำลังละเมิดคำสั่งของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อยู่เนี่ย ในขณะนั้นเนี่ยเขาไม่ใช่มุอมิน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาอาจเป็นผู้ศรัทธาก็ได้ เพราะงั้นเราอย่าไปพูดว่ามุอมินทำซินา หรือมุอมินกินเหล้า มุอมินลักขโมย เพราะตอนที่เขาทำ ตอนที่เขากิน เขาไม่ใช่มุอมิน เพราะฉะนั้นเมื่ออัลลอฮ์ ได้บอกว่า “วะอินฏออิฟะตานิมินัลมุอมินีนักตะตะลู” บอกว่าหากสองฝ่ายจากมุอมินที่สู้รบกันนั้น หมายถึง เขาเป็นมุอมินทั้งคู่จริง ๆ แต่ถ้าเขาสู้รบกันเมื่อไหร่ เขาก็ทิ้งความเป็นมุอมินไว้ข้างหลัง ฉะนั้น เราอย่าไปบอกว่ามุอมินฆ่ากัน

พอเราได้เข้าใจอย่างนี้แล้วเนี่ย เราก็ย้อนกลับมาดู…ในคำของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่บอกว่า “มินัลละซีนะอูตุลกิตาบ” จากบรรดาผู้เคยได้รับคัมภีร์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ตอนที่เขาปฏิเสธอัลลอฮ์เขาเป็นอะลุลกิตาบ เมื่อเขาปฏิเสธต่อวันอาคิเราะห์เขาเป็น อะลุลกิตาบ ไม่ใช่นะครับ แต่หมายถึงเขาเคยเป็นอะลุลกิตาบ เขาเคยมีอะกีดะห์ของอะลุลกิตาบจริง ๆ แต่พอหลังจากที่เขาได้เลิกศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เขาเลิกศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ เขาไม่หะหร่ามในสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซูลหะหร่าม ไว้ เขาไม่ดำรงมั่น ศาสนาที่ร่อซูลของเขาได้มาสอนเนี่ย เขาก็ทิ้งความเป็นอะลุลกิตาบไว้เบื่องหลัง แล้วก็เขาไม่ได้อยู่ในสภาพของ อะกีดะห์ของอุลุลกิตาบ นะครับ

ถ้าผมจะเปรียบเทียบเป็นภาษาไทยง่าย ๆ อย่างเงี้ยะเนี่ย อย่างเช่นบอกว่า นาย ก มีครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วก็มีชื่อ อยู่ในทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนว่า ระบุบอกว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ถ้าจะถามว่า แล้วก็ถิ่นฐานบ้านเกิดของนาย ก จริง ๆ นะ อยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนเชียงใหม่ แต่เขาย้ายถิ่นฐานมาเป็นคนกรุงเทพฯ แล้ว ก็คือพื้นเพของเขาน่ะ เป็นคนเชียงใหม่ แต่ว่า เมื่อเขามาอยู่กรุงเทพฯ เขามีครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯ มีบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เป็นคนกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้น เมื่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มหานครที่ผ่านมา เขาก็ไปใช้สิทธิ์ในฐานะของคนกรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่พื้นเพของเขาเนี่ยเป็นคนเชียงใหม่ อันนี้เป็นกรณีที่ผมเปรียบให้ดู นะครับ
แต่ในกรณีของอะลุลกิตาบ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่เนี่ย เขาไม่ได้ย้ายบ้าน แต่เขาย้ายอะกีดะห์ จากอะกีดะห์ของอะลุลกิตาบ มาเป็นอะกีดะห์ของผู้ที่ปฏิเสธต่ออัลลอฮ์ เพราะฉะนั้น อัลลอฮ์จึงได้สั่งให้ผู้ศรัทธาได้ สู้รบกับคนพวกนี้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า อัลลอฮ์สั่งให้สู้กับอะลุลกิตาบ นะครับ แต่อัลลอฮ์สั่งให้สู้กับคนที่เขาเคยเป็นอะลุลกิตาบแต่เขาได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นอะลุลกิตาบไปแล้ว จนกว่าพวกเขาจะยอมจำนน แล้วก็ ยอมจ่ายญิซญะ หรือจ่ายภาษีคุ้มครองให้กับรัฐอิสลามที่พวกเขาได้เคยอาศัยอยู่

ทีนี้พอเราไปดูคำอรรถาธิบายของ บรรดามุฟัซซิรีน นะ..อย่างเช่นในตัฟซีร อิบนิ กะซีร เนี่ย ที่ได้บอกว่า “ ฟะฮุมฟีนัฟซินอัมริลิมากะฟะรู บิมุฮัมมะดิน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมะ ลัมยัรเกาะละฮุมอีมานุน ซออีฮุนบิอะฮะดิฮิ รุซูลุน วะลาบิมาญาอุบิฮี” พวกเหล่านี้นั้น ก็คือ พวกเขาได้ปฏิเสธต่อท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และพวกเขาก็ไม่เหลือการอีหม่าน การศรัทธาอย่างถูกต้อง ต่อร่อซูลคนใดก็ตาม คือนอกจากไม่ศรัทธาต่อนบีมูฮัมหมัดแล้ว ก็ไม่ได้ศรัทธาต่อนบีอีซา นบีมูซา ไม่เหลือการศรัทธาที่ถูกต้องต่อนบีคนใด “วะลาบิมายาอุบิฮี” หรือแม้กระทั่งคำสั่งคำสอนที่บรรดานบี บรรดาร่อซูลเหล่านั้น ได้นำเอามาบอกกล่าว พวกเขาก็ไม่เหลือ…การศรัทธาความเชื่อที่ถูกต้อง เนี่ยคือ อะลุลกิตาบที่ย้ายอะกีดะห์นะครับ ก็คือ พวกเขาสิ้นสภาพจากการเป็นอะลุลกิตาบ อะกีดะห์อะลุลกิตาบของเขาหมดไป แต่กลายเป็นยะฮูดี นัสรอนีที่ปฏิเสธ

เพราะฉะนั้น พอขึ้นต้นคำอรรถาธิบายในอายะห์ถัดไป..เนี่ย ท่านอิบนิ กะซีร ก็บอกว่า “ ฮาซาวะฮาซาอิกรออุมินัลลอฮิตะอาบิลมุอมินีนะอะลากิตาริลมุซริกีนะอัลกุฟฟาร มินันยะฮูร วัลนะซอรอ” อิบนิ กะซีร บอกว่า นี่คือคำสำทับของอัลลอฮ์ ที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธา ในการต่อสู้กับบรรดาผู้ตั้งภาคี บรรดาผู้ปฏิเสธจากยะฮูดี นัสรอนี เป็นคำอรรถาธิบายใน การขึ้นต้นอรรถาธิบายในซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะที่ 30 นะครับ เพราะฉะนั้น ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้บอกว่า “กอฏิลุลละซีนะลายุมินู บิลลาฮิวะลาบิลเยามิลอาคิร” พวกเจ้าทั้งหลายจงต่อสู้กับบรรดาผู้ซึ่งที่ เขาไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ไม่เชื่อว่าวันอาคิเราะห์มีจริง “วะลายุฮัรริมูนะมาฮัรเราะมัลลอฮุวะร่อซูลุฮู” แล้วพวกเขาไม่ฮาหร่ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ และร่อซูลของพระองค์ ได้ทรงห้ามไว้ “วะลายะดีนูนะดีนัลฮักก” พวกเขาไม่ดำรงมั่นไว้ซึ่งศาสนา แห่งสัจจธรรม “มินัลละซีนะอูตุลกิตาบ” จากคนที่เคยเป็นอะลุลกิตาบ “ฮัตตายั๊วะตุลญิซญะ อันยะดีวะฮุมซอฮิรูน” จนกว่าพวกเขาจะได้จ่ายภาษีคุ้มครอง ด้วยมือของพวกเขาเองในสภาพทีเป็นผู้ที่ต่ำต้อย พระองค์ อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ได้นำเอาพฤติกรรมของเขามาแฉเหมือนอย่างที่ท่าน อิบนิ กะซีร ได้บอกไว้นะครับว่า อัลลอฮ์ทรงสำทับต่อไปว่า “วะกอละฏิลยะฮูดุ อุซัยรุกุมุลลอฮ” โดยที่พวกยะฮูด ส่วนหนึ่งได้บอกว่า “อุซัย” ก็คือบุตรของอัลลอฮ์ “วะกอละฏิลนะซอรอ อัลมะเซี๊ยะรุกุมุลลอฮ์” และพวกนะซอรอ ก็บอกว่า มะเซี๊ยะก็คือนบีอีซา นะครับ บอกว่านบีอีซา ก็คือ พระบุตร คือ บุตรของอัลลอฮ์ “ซาลิกะเกาลุฮุมบิอัฟวาฮิฮิม” ซึ่งคำของพวกเขาเนี่ย คำพูดของพวกเขา เป็นคำที่ออกมาจากปากของพวกเขาเอง มันไม่ได้เป็นคำที่อัลลอฮ์ บอกแก่เขา พวกเขาพูดของพวกเขาเอง “ยุฏอฮิอูนะ เกาลัลละซีนะกะฟะรู มิงก็อบลุ” ซึ่งมันเป็นคำที่มันคล้ายคลึงกับถ้อยคำของบรรดาผู้ปฏิเสธก่อนหน้านี้ “กอตะละฮุมุลลอฮุ อันนายุฟะกุมุล” อัลลอฮ์ ก็บอกว่า “กอตะละฮูมุลลอฮ์” ตรงนี้นะครับ หมายถึง ขอดุอาอ์ หรือเป็นการประนามที่อัลลอฮ์บอกขออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงให้เขาได้ห่างไกลจากความเมตาของพระองค์อัลลอฮ์ “อันนายุฟะกูน” เพราะอะไรเล่าที่เขาได้ถูกหันเหออกไป พวกเขาถูกหันเหออกไปได้อย่างไร

หลังจากนั้นเนี่ย ในอายะห์ที่ 31 ต่อมา อัลลอฮ์ก็บอกว่า เอาพฤติกรรมของเขามาแฉอีกนะครับ อัลลอฮ์ บอกว่า “อิตตะเคาะซูอะบาเราะฮุม วะรั๊วะบานะฮุม อัรบาดัมมินดูนินลาห์” พวกเขาเหล่านี้ได้ไปเอาพวกบรรดานักปราชณ์ เอาบาทหลวงของพวกเขา มาเป็นพระเจ้า นอกเหนือจากอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา “วัลมะเซี๊ยะฮับวัลมัรญะมะ” แล้วก็รวมถึงไปเอา มะเซี๊ยะ นบีอีซานั้น นบีอีซาบุตรของมัรญัมนั้น เอามาเป็นพระเจ้า คู่เคียงกับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วย “วะมาอุมิรู อิลลาลิญะบุดู อิลาฮัล วาฮิดัน” ซึ่งพวกเขานั้นไม่เคยถูกใช้นอกเสียจากว่าเพื่อ ให้อิบาดะห์ ให้เคารพสักการะต่อพระเจ้าองค์เดียว “ลาอิลาฮะอิลลาฮุวะ” ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ เท่านั้นนอกจากพระองค์ “ซุบฮานะฮุ อัมมาญุซริกูน” มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในสิ่งที่พวกเขาได้ไปเอามาเป็นภาคี เอามา สักการะ เทิดทูน คู่เคียงกับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นี้ก็คือ พฤติกรรมของบรรดาคนที่เคยเป็นอะลุลกิตาบ และพวกเขาย้ายอะกีดะห์ จนกระทั่งอัลลอฮ์ลงฮุก่มในเรื่อง ญิซญะ มาให้ต่อสู้กับพวกเขาจนกระทั่ง จนกว่าเขาจะจ่ายญิซญะ ซึ่งเขาย้ายอะกีดะห์ของเขาเนี่ยก็คือ ไปบอกว่า อุซัย เป็นพระบุตร ไปบอกว่า มะเซี๊ยะ นบีอีซาเป็น พระบุตร หรือไปยึดเอาบรรดาผู้รู้ บรรดานักปราชญ์ของพวกเขา เอาบาทหลวงของพวกเขา มาเป็นพระเจ้าคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งอย่างงี้นะครับ เราก็ได้บทสรุปว่าพวกเขาเหล่านี้เนี่ย เขาเคยเป็นอะลุลกิตาบ แต่ต่อมาเนี่ยเขาเปลี่ยนอะกีดะห์ของเขาจนกระทั่งเขาไม่เหลือสภาพของความเป็นอะลุลกิตาบ

ในอายะห์อัลกุรอ่านที่เราได้อ่านไปเนี่ยนะครับ จากซูเราะห์ อัตเตาบะห์ อายะที่ 29 ที่อัลลอฮ์บอกถึงพวกที่เคยเป็นอะลุลกิตาบที่เปลี่ยนอะกีดะห์เนี่ย อายะห์นี้ ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส ซอฮาบะห์ของท่านร่อซูลนะครับ ก็ใช้เป็นหลักฐานในการที่บอกว่าไม่หะลาล ไม่อนุญาตให้ไปแต่งงานกับคนพวกนี้นะครับ ไปแต่งงานกับคนที่ได้ต่อสู้กับมุสลิม กับผู้ศรัทธา “ฟะก็อตซุอิละอิบนุอับบาสฟิลอัลซาลิกะฟะกอละลาตะฮิล” อิบนุอับบาส นั้นถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เนี่ย ท่านก็บอกว่าไม่หะล้าลไม่เป็นที่อนุมัติ “วะตะลาเกาลัลลอฮิอัซซะวะญัล” แล้วท่านก็อ่านคำของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา “กอติลุลละซีนะลาญุมินูนะบิลลาฮิวะลาบิลเยามิลอาคิร” ท่านก็อ่านอายะห์นี้นะครับ มาเป็นหลักฐาน เพราะฉะนั้นตรงนี้เราจะเห็นได้ว่า ไม่ได้หมายความว่า ยะฮูดี นัสรอนี นั้นจะเซาะห์ทั้งหมด จะได้ทั้งหมดนะครับ มันก็มีแต่ละส่วนแต่ละประเภท ที่บรรดาซอฮาบะห์ ที่ซอฮาบะห์ของท่านร่อซูลได้ชี้แนะให้เราได้เห็นนะครับ

พี่น้องครับ ในประเด็นอะลุลกิตาบเนี่ยไม่ใช่เป็นประเด็นที่ เป็นปัญหาที่เรามาถกเถียงกันนะครับ แต่สิ่งที่ผมพยายามที่จะนำเสนอแล้วก็ชี้แนะให้ได้รู้ก็คือ ถ้านอกจากอะลุลกิตาบแล้วเราอย่าไปเหมารวมทั้งหมดครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Sat Mar 19, 2005 4:46 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สลามครับคุณ natee

ไม่ใช่ผมสับสนนะครับ แต่เวลาอ่านผมขอนิดนึงว่าคุณช่วยทำความเข้าใจช้าๆนะครับ
สมมุติว่าเราคุยโต้กันแบบช้าๆนิ่มนวลและกัน อย่าแบบถามไปถามมาโดยยังไม่ทันคิดพิจารณา

จากฟัตวาของเชคบินบาส ที่ว่าเงื่อนไขอะหฺลุลกิตาบคือต่อศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปรโลก
แต่กุรอานกลับบอกว่าพวกนี้ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปรโลก
ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วว่า โดยจริงๆแล้วชาวยิวชาวคริสต์ไม่ได้ปฏิเสธปรโลกหรอกครับ
เค้าก็เชื่อว่าโลกหน้าคือนรกสวรรค์ แต่ในที่นี้อัลลอฮฺตัดสินไปว่าเขาปฏิเสธเท่านั้นเอง
โทษฐานที่ไม่ยอมรับท่านนบีมุฮัมมัด เข้าใจเจตนารมณ์ที่อัลลอฮฺดำรัสเช่นนั้นให้ดีครับ
อัลลอฮฺแสดงถึงความโกรธกริ้ว และนี่แหละครับที่จะทำให้เราผู้อ่านกล้ารบกับพวกเขาโดยไม่ต้องไปสงสารเค้า

อ๋อถ้าคุณจะบอกตามนั้นคือพวกที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปรโลกก็ไม่เรียกว่าอะหฺลุลกิตาบ
จะตัฟซีรฺมาแบบไหนก็ออกมาความหมายเหมือนกันครับ
คนที่ไม่เชื่ออัลลอฮฺและปรโลก ก็ไม่ใช่อะหฺลุลกิตาบ ตามกุรฺตูบีย์ที่คุณบอก หรือตามไหนๆก็แล้วแต่ มันให้เหตุผลในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ผมเห็นด้วย ทำไม? ก็นี่แหละความหมายของเชคบินบาส คนที่มันไม่เชื่อว่าอัลลอฮฺมี โลกหน้ามี
มันจะเป็นอะหฺลุลกิตาบได้อย่างไร มันจะเป็นยิวเป็นคริสต์ได้อย่างไร ก็ศาสนาของเค้าก็สอนให้เชื่อในพระเจ้าและนรกสวรรค์
คุณลองไปถามจอร์จ บุชนะว่าเค้าเชื่ออัลลอฮฺและปรโลกหรือเปล่า? แน่นอนเค้าเชื่อ
คุณลองไปถามทหารอเมริกันนะว่าเค้าเชื่ออัลลอฮฺและปรโลกหรือเปล่า? แน่นอนเค้าเชื่อ
คุณลองไปถามสันตะปาปาว่าเค้าเชื่ออัลลอฮฺและปรโลกหรือเปล่า? แน่นอนเค้าเชื่อ
คุณลองไปถามพวกที่เผยแพร่หนังสือ "พลังแห่งชีวิต" ว่าเค้าเชื่อหรือเปล่า? แน่นอนว่าเค้าเชื่อ

พวกนี้แหละ คืออะหฺลุลกิตาบ! บอย โกสิยะพงษ์ ก็เชื่ออัลลอฮฺ เชื่อในนรกสวรรค์
แต่หากใครก็ตาม อ้างตัวว่าเป็นคริสต์ แต่บอกพระเจ้าไม่มี ผมรักเยซูเฉยๆ นรกสวรรค์ไม่มี เป็นแค่กุศโลบายหลอกๆ
พวกนี้แหละหลุดพ้นจากความเป็นอะหฺลุลกิตาบ!
ส่วนนักเรียนเก่าอาหรับอธิบายให้ชัดขึ้นว่า สำหรับอัลลอฮฺ ถึงแม้พวกเขาจะอ้างว่าเชื่ออัลลอฮฺ
แต่ปฏิเสธมุฮัมมัด อัลลอฮฺหุกุมเลยว่าเป็นกาเฟรฺ โดยการหุกุมว่าเค้าปฏิเสธอัลลอฮฺและปรโลก(ถึงแม้จริงๆจะไม่ได้ปฏิเสธ)
เป็นการบอกให้รู้ว่าไอ้ศาสนาเก่าของพวกเค้าอัลลอฮฺยกเลิกหมดเลย เค้าจะนับถืออะไรอัลลอฮฺก็ไม่รับ นอกจากอิสลามเท่านั้น
หิกมะฮฺมันเป็นไปตามนี้ แต่ขอมะอัฟที่ผมมีความสามารถอธิบายได้เท่านี้

>>

ส่วนคำฟัตวาตามเงื่อนไขของเชคบินบาส (ซึ่งไม่จำเป็นว่าทุกคนก็ถือตามนี้) ยกตัวอย่างเหตุการณ์ดังนี้
>>
นาย นพัฒน์ เป็นมุสลิมอินเดียเกิดเมื่อ 400 ปีที่แล้ว แพ้สงครามถูกเกณฑ์ไปอยู่อังกฤษ
ซึ่งในเมืองมีแต่มุสลิมเพศชายซึ่งถูกเกณฑ์ไป แต่ผู้คนที่นั่นนับถือคริสต์โปรแตสแตนท์
นาย นพัฒน์ ได้รู้จักกับผู้คนมากมายทั้งหญิงและชาย ด้วยเวลาผ่านไปก็ต้องการแต่งงานเพื่อทำตามศาสนาสั่ง
และเป็นการป้องกันการทำซินากับผู้หญิงที่ตนรู้จักมากมาย
นาย นพัฒน์ จึงต้องคัดสรรค์ผู้หญิงที่ดีที่สุด จึงพิจารณา
1. มุสลิมะฮฺที่เคร่งคัด ปรากฏว่าไม่มี
2. มุสลิมะฮฺที่ไม่เคร่งคัด ปรากฏว่าไม่มี
หมดตัวเลือก นาย นพัฒน์ จึงนึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่ให้ไว้ในกุรอานว่า "วันนี้เราได้ให้สิ่งดีๆกับสูเจ้าแล้ว..."
ก็พบว่าอะหฺลุลกิตาบสามารถแต่งงานได้ อาหารของเขาที่เชือดตามแบบศาสนาพวกเขาก็กินได้
นาย นพัฒน์ จึงพิจารณาสตรีชาวคริสต์ว่า
นางศรัทธาต่อศาสนาจริงหรือเปล่า เชื่อว่าโลกหน้ามี มีนรกมีสวรรค์หรือเปล่า
นางมารยาทดี นิสัยดีหรือเปล่า พอคัดมาปรากฎว่าตรงตามที่ตั้งเป้าไว้ก็จึงแต่งทันที
และก็ได้แต่งกับสตรีชาวคริสต์ 3 คน (เป็นต้นครับ)
ต่อมานาย นพัฒน์ ก็ไม่ได้ทิ้งหน้าที่ ทำการเผยแผ่สัจธรรมเรื่อยมา ว่าพระเจ้าได้ส่งรสูลคนสุดท้ายมาแล้วนะ
นบีมุฮัมมัดเป็นรสูลของมนุษยชาตินะ นบีอีซาไม่ใช่พระเจ้านะ เป็นเพียงรสูลท่านหนึ่ง
นาง Mary ภรรยาคนแรก ไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร นางยังคงเป็นคริสต์เช่นเดิม
นาง Christina ภรรยาคนที่สอง เชื่อ ยอมรับศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด แต่ไม่ยอมเลิกเชื่อว่านบีอีซาเป็นพระเจ้า เช่นนี้นางยังคงไม่ถือว่าเป็นมุสลิม
นาง Joan ภรรยาคนที่สาม เชื่อ ยอมรับนบีมุฮัมมัด และไม่ยึดนบีอีซามาเป็นภาคีต่ออัลลอฮฺแล้ว
เช่นนี้ถือว่า นาง Joan เป็นมุสลิมแล้วนะครับ ไม่ใช่อะหฺลุลกิตาบแล้วนะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Sat Mar 19, 2005 5:28 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อนึ่ง หะดีษ 73 กลุ่ม จะนำมาเสริมไม่ได้นะครับ เพราะมีสำนวนที่ขัดแย้งกัน
สำนวนนึงบอกว่า ยิวลงนรก มีกลุ่มเดียว(ของยิว)เข้าสวรรค์ , คริสต์ลงนรก มีกลุ่มเดียว(ของคริสต์)เข้าสวรรค์
ส่วนอีกสำนวนบอกว่า ยิวลงนรกหมด, คริสต์ลกนรกหมด, มุสลิมลงนรกหมด มีกลุ่มเดียว(ของมุสลิม)เข้าสวรรค์
ดังนั้นมีหะดีษที่ให้ยังให้ความหมายขัดแย้งกันก็จะนำมาใช้เป็นหลักฐานฟันธงเรื่องยิวและคริสต์ไม่ได้นะครับ
แต่หะดีษนี้เศาะฮิ้หฺตรงจำนวน 73 กลุ่มของุมสลิมครับ ที่ไม่มีการขัดแย้งกัน ว่า73 กลุ่มเข้าสวรรค์กลุ่มเดียว

----------------

แล้วที่คุณ natee ยกการอธิบายของอาจารย์ฟาริดมามันไม่ได้ช่วยให้จูนหรือปรับเปลี่ยนความเข้าใจให้ดีขึ้นเลย
นักวิชาการบางคนอธิบายอย่างนึง บางคนก็อธิบายไปอีกอย่างนึง
เพราะฉะนั้นใครๆก็อ่านแล้ว ใครๆก็ฟังกันมาแล้วทั้งหลายฝ่าย
ไม่จำเป็นต้องยกมาซ้ำนะครับ เพราะจะให้บอกว่าการอธิบายความหมายที่คุณยกมานี้ชัดกว่า
ผมบอกไม่ใช่ ผมบอกว่ามันหลวม ของที่ผมยกมาชัดกว่า ลึกกว่า เห็นมั๊ยครับว่าเข้าใจไม่ตรงกันซะแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะไม่ดูแบบนั้นแล้วครับว่านักวิชาการเค้าอธิบายกันอย่างไร
เพราะสำหรับตัวเรา เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราเข้าใจอย่างไร!?!
..อีกทีนะครับ เวลามีคนถามว่าทำไมเราบอกว่าอะหฺลุลกิตาบแต่งได้(หรือไม่ได้)
เราจะไม่ตอบว่า ก็อาจารย์มุรีดบอกแบบนี้ อาจารย์ฟาริดบอกแบบนี้ อาจารย์อิสหากบอกแบบนี้ เชคริฎอบอกแบบนี้
แต่เราจะตอบว่า ..(จากกุรอานและหะดีษ ที่นักวิชาการอธิบาย).. เราเข้าใจแบบนี้.!.

เพราะฉะนั้นข้อความที่แล้วผมก็ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ว่าผมเข้าใจแบบนั้น
ทีนี้คุณ natee ช่วยอธิบายด้วยว่าคุณเข้าใจแบบไหน?
เอ้า ถามเลยแล้วกัน
(รวมคำถามที่แล้วด้วย)
- พวกแบบไหนที่เรียกว่าดำรงไว้ซึ่งศาสนาอันเที่ยงธรรม?
- ในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด มีอะหฺลุลกิตาบในความหมายของคุณหรือไม่? (ช่วยยกหลักฐานด้วย)
- ยะฮูดและนัศอรอคุณถือว่าพวกเขาย้ายอะกีดะฮฺไปหมดแล้ว จึงไม่เรียกว่าอะหฺลุลกิตาบ ดังนั้นอะหฺลุลกิตาบหรือพวกที่ยังไม่ย้ายอะกีดะฮฺนั้น เป็นแบบไหน?
- พวกอะหฺลุลกิตาบในความหมายของคุณจะต้องยึดคัมภีร์อะไร?
(ขอชี้แจงเสริมว่ายะฮูดีย์เดิมๆยึดเตารอดอย่างเดียว
ส่วนนัศรอนีย์เดิมๆยึดเตารอดและอินญีล)
- และถ้าหากคัมภีร์ของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปแล้ว
แต่เขายังคงยึดถือตามคัมภีร์(ที่ถูกเปลี่ยนแปลง)จะถือว่าเป็นอะหฺลุลกิตาบหรือไม่?


> ขอถามแค่นี้ก่อนครับ ช่วยตอบตามความเข้าใจของคุณด้วย ผมจะได้ช่วยเฟ้นคำตอบออกมา <

เหตุที่ตัวเราต้องมีคำตอบให้ตัวเองเพราะศาสนาเราต่างคนต่างปฏิบัตินะครับ
ก่อนปฏิบัติเราจึงต้องมีความเข้าใจให้เคลียร์เสียก่อน นอกจากว่าอะวามเท่านั้นแหละครับ
จึงจะโยนไปว่าฉันไม่รู้ ฉันอ่านกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺไม่เข้าใจ ฉันจึงตามโต๊ะครูคนนั้นคนนี้
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Sat Mar 19, 2005 5:35 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้อ อีกประการ

กุรอาน (2:8-9) นั้นน่ะครับ อัลลอฮฺไมได้พูดถึงมุสลิมหรือมุอฺมินนะครับ แต่อัลลอฮฺพูดถึงมุนาฟิกครับ

" และจากหมู่ชนนั้น มีผู้กล่าว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่
เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้สึก "


มันเอามาลิงค์กับเรื่องอะหฺลุลกิตาบไม่ได้นะครับ
พวกมุนาฟิกคือพวกแกล้งกล่าวกาลิมะฮฺหลอกๆ เพื่ออะไรก็แล้วแต่ บอกคนอื่นว่าเป็นมุสลิม แต่จริงๆตนเองไมได้ศรัทธา
ส่วนพวกยิว คริสต์ที่หันเหออกจากศาสนาเดิมๆ ไม่ใช่พวกเขาไม่ศรัทธา หรือศรัทธาหลอกๆครับ
เพียงแต่การศรัทธาของเขาเป็นเรื่องหลงผิด หันเหออกนอกศาสนาเดิมของเขานั่นเองครับ
ลักษณะของสองจำพวกนี้ต่างกัน เอามาเปรียบเทียบกันไมได้นะครับ ไม่ว่าจะด้านจิตใจของพวกเขา
หรือการเปรียบเทียบการให้ความหมายเชิงตัวอักษรก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Tue Mar 22, 2005 10:45 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณ nop
ดูคุณจะติดยึดกับความคิดที่ว่า อะหลุลกิตาบ คือ ยะฮูดี-นัสรอนี ทั้งหมดจังเลยนะคะ ไม่เปิดรับความรู้ที่แตกต่างเพิ่มเติมสักหน่อยเหรอคะ และที่คุณบอกว่า "หนังสือ "อะหฺลุลกิตาบ"ของอาจารย์ฟาริดเอง หรือคำชี้แจงของท่านก็ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน " นั้น ดิฉันชักสงสัยซะแล้วสิคะว่า คุณได้อ่านได้พิจารณาสิ่งที่ท่านนำเสนอ จริงๆ หรือเปล่า

เพราะคำถามที่คุณถามไว้นั้น มีคำตอบอยู่แล้วในหนังสือของท่านอาจารย์แหละค่ะ และดิฉันก็เข้าใจตามนั้นละค่ะ คงไม่ต้องยกมาอธิบายหรอกนะคะ เพราะดิฉันไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะอธิบายเรื่องศาสนาที่ต้องอาศัยความแม่นยำในเนื้อหาและตัวบทหลักฐาน เพื่อให้ใครเข้าใจได้เหมือนอย่างที่ดิฉันได้รับรู้จากต้นเรื่องจริงๆ ดังนั้นถ้าจะให้ดิฉันอธิบายก็คงหนีไม่พ้นต้องหยิบยกเอาข้อความหรือการนำเสนอของท่านอาจารย์มาให้คุณดูอีกนั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ผิดไปจากกติกาที่คุณวางไว้เลย นั่นคือ สิ่งที่นำมาล้วนมีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและฮาดีส ตลอดจนแหล่งอ้างอิงอันเป็นที่ยอมรับของมุสลิมโลกทั้งสิ้น และต้องขอบอกนิดนึงนะคะว่า ดิฉันจำเป็นต้องบอกให้รู้ถึงแหล่งที่มาของข้อความหรือการนำเสนอที่ดิฉันได้หยิบยกมา เพราะเหล่านั้นไม่ใช่ความรู้ ความสามารถของดิฉันเอง จึงต้องให้เกียรติกับเจ้าของข้อมูลนั้นๆ ซึ่งตรงนี้เป็นมารยาทที่พึงต้องกระทำ มิใช่เป็นเรื่องที่จะนำอาจารย์มาชนกันเหมือนที่บางคนเข้าใจนะคะ

อีกอย่างนึงนะคะ จากที่ดิฉันได้อ่านข้อความของคุณ nop นะคะ ดิฉันหาความมั่นใจไม่ได้เลยว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะเป็นคำของคุณล้วนๆ ดิฉันแยกไม่ออกหรอกค่ะว่าตรงไหนคุณเอาหลักการมา เพราะ ไม่มีการยกมาอ้างอิงให้ผู้อ่านได้มีโอกาสพิจารณาเลยนะคะ เป็นการรวบยอดสรุปมาเบ็ดเสร็จ ดิฉันได้รับการสั่งสอนมาว่า “เราต้องพินิจพิจารณา แยกระหว่างคำของอัลลอฮ์ รอซูล กับคำของคน “ เมื่อไม่สามารถแยกได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรค่ะ

ขอชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องกุรอาน (2:8-9) ในการนำเสนอของท่านอาจารย์ฟารีด ที่คุณ nop เข้าใจว่า ท่านอาจารย์เอามา link กับเรื่องอะหลุลกิตาบนั้นน่ะค่ะ ในความเป็นจริงแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้ยกมาเกี่ยวโยงกับเรื่องอะหลุลกิตาบแต่อย่างใด เป็นเพียงการยกตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างชัดในการอธิบายความหมายอัลกุรอานคำว่า "มิน" ซึ่งมีผู้ให้ความหมายแตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นก็ดังเช่นที่คุณได้นำมาโดยให้ความหมายว่า "อันได้แก่" นั่นเอง ซึ่งการอธิบายของท่านอาจารย์จะใช้อัลกุรอานอธิบายอัลกุรอ่านให้เห็นว่าความหมายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ค่ะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Tue Mar 22, 2005 11:02 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณnop คะ
เพื่อไม่ให้เป็นการหักหาญน้ำใจ เมื่อคุณต้องการที่จะให้ดิฉันอธิบายความเข้าใจของดิฉันโดยตรง ก็ได้ค่ะ ดิฉันขอเริ่มด้วยกับฮิกมะห์ที่คุณ nop ว่าละกันนะคะ อันนี้ดิฉันไม่ทราบคุณได้มาจากหลักฐานใด เมื่อไม่ปรากฏให้ดิฉันเห็น ก็ขอเข้าใจว่า คุณคิดเอาเองละกันนะคะ

ทีนี้ขอดิฉันคิดเองบ้างนะคะ ว่า การประทานอัลกุรอานซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 5 มา ที่อนุมัติให้มุสลิมกิน/ แต่งกับอะหลุลกิตาบได้นั้น อะหลุลกิตาบเนี่ยจะต้องมีอะไรที่ใกล้เคียงใกล้ชิดกับมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง และอย่างที่คุณบอกนั่นแหละค่ะว่า
”ที่อัลลอฮ์อนุญาตให้แต่งงานกับพวกเขาได้นั้น มันต้องสอดคล้องกับหลักการแน่นอน ว่าอันดับแรกเราต้องพิจารณาคู่ครองด้วยศาสนา”

เพราะฉะนั้นศาสนาของมุสลิมกับอะหลุลกิตาบนั้นจะต้องเป็นศาสนาของอัลลอฮ์ที่ส่งรอซูลมาประกาศเรียกร้องเชิญชวนไปสู่การสักการะต่ออัลลอฮ์ และออกห่างจากเจว็ดเหมือนกัน โดยที่มุสลิมมีนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมมีอัลกุรอาน และอะหลุลกิตาบมีนบีมูซามีคัมภีร์เตารอต มีนบีอีซามีคัมภีร์อินญีล ดังนั้นการที่อัลลอฮ์อนุมัติให้แต่งงานกับอะหลุลกิตาบเนี่ย ก็จะต้องเป็นพวกที่ยึดถือศาสนาของอัลลอฮ์ตามที่รอซูลมาประกาศ แล้วอย่างนี้ อะหลุลกิตาบจะเป็นยิวเป็นคริสต์ทั้งหมดได้อย่างไรคะ คุณเองก็บอกไว้ไม่ใช่หรือคะว่า

“เราเห็นฝรั่งหัวแดงเราอย่านึกว่านั่นเป็นคริสต์ทั้งหมดนะครับ ในหมู่พวกเค้าก็มี communist มี atheist มี satanist และอื่นๆ ซึ่งลัทธิเหล่านี้ ไม่นับถือพระเจ้า กล่าวคือบางลัทธิเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ไม่นับถือ บางลัทธินั้นเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าอยู่เลย
ดังนั้นใครไปยึดถือลัทธิเหล่านี้แหละครับที่เค้า(เชคบินบาซ)ฟัตวาว่าไม่ใช่ยิว ไม่ใช่คริสต์ “
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Mar 24, 2005 1:51 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ระวัง !! จะเขวเพราะนัฟซู

---------------------------------------------------------------------------------
การโต้เถียงด้วยนัฟซูต้องหลีกเลี่ยง

---------------------------------------------------------------------------------

สลามครับ

คุณ natee ครับ
ก่อนอื่นขอนิดนะครับ
จะได้ไม่ต้องไปไหนไกล
ผมว่าบัดนี้ผู้อ่านคงกระจ่างแล้วนะครับ
บัดนี้ผมว่าผู้อ่านคงจะตัดสินใจเลือกได้อย่างดีแล้วครับว่าจะยึดทัศนะไหน
ยิ่งถ้าคุณยังไม่ตอบคำถาม หรืออาจารย์ท่านใดก็ตามที่ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ แน่นอนฟัตวาของท่านจะไร้ผลนะครับ
เพราะคนก็จะเริ่มรู้สึกว่าน้ำหนักมันชักน้อยลงน้อยลงเข้าทุกทีๆ

คุณ natee ช่วยทำความเข้าใจนะครับว่าคำถามนี้สำคัญมาก ต้องตอบนะครับอย่าเลี่ยง
แล้วทุกอย่างมันจะกระจ่างครับ
เพราะถ้าคุณตอบไม่ได้ หรืออาจารย์ท่านใดตอบไม่ได้ นั่นแสดงว่าทัศนะนั้นตกไปเลยนะครับ
ตอบก่อนนะครับ ช่วยตอบเป็นข้อเลยๆ

- พวกแบบไหนที่เรียกว่าดำรงไว้ซึ่งศาสนาอันเที่ยงธรรม?
- ในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด มีอะหฺลุลกิตาบในความหมายของคุณหรือไม่? (ช่วยยกหลักฐานด้วย)
- ยะฮูดและนัศอรอคุณถือว่าพวกเขาย้ายอะกีดะฮฺไปหมดแล้ว จึงไม่เรียกว่าอะหฺลุลกิตาบ ดังนั้นอะหฺลุลกิตาบหรือพวกที่ยังไม่ย้ายอะกีดะฮฺนั้น เป็นแบบไหน?
- พวกอะหฺลุลกิตาบในความหมายของคุณจะต้องยึดคัมภีร์อะไร?
(ขอชี้แจงเสริมว่ายะฮูดีย์เดิมๆยึดเตารอดอย่างเดียว
ส่วนนัศรอนีย์เดิมๆยึดเตารอดและอินญีล)
- และถ้าหากคัมภีร์ของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปแล้ว
แต่เขายังคงยึดถือตามคัมภีร์(ที่ถูกเปลี่ยนแปลง)จะถือว่าเป็นอะหฺลุลกิตาบหรือไม่?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Mar 24, 2005 2:06 am    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อย่าลืมตอบนะครับคุณ natee อยากรู้คำตอบสั้นๆ ตรงประเด็น
จะได้เข้าใจความหมายของคุณทันที

ตอบด้วยนะครับ หรือจะต้องรอให้ผมแต่งงานกับคุณซะก่อนถึงคุณจะตอบ?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
natee
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 108


ตอบตอบ: Thu Mar 24, 2005 2:32 pm    ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แหม ! เล่นยื่นคำขาดแบบนี้เลยหรือคะ
เอ! หรือจะรอ.. ยื่นข้อเสนอมาซิคะ ว่าคุณมีดีอะไร
ประเภทหวังรวยทางลัด เกาะชายกระโปรงผู้หญิงอะไรทำนองเนี้ย ไปให้ไกลๆ เลยนะคะ น่ารังเกียจค่ะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 17, 18, 19 ... 22, 23, 24  ถัดไป
หน้า 18 จากทั้งหมด 24

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.11 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ