ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 02, 2014 8:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เมื่อเขากล่าวหาว่า เช็คอุษัยมีนหลงผิด
มีครูอะชาอิเราะฮท่านหนึ่ง กล่าวหา เช็คอุษัยมีน ว่า
อุลามาอฺที่หลงผิดและพาผู้อื่นหลงผิดไปด้วยในด้านอะกีดะฮ์ต่ออัลลอฮฺจากกลุ่มวะฮาบี มีนามเรียกขานว่า อุษัยมีน อุลามาอ์ใหญ่วะฮาบีที่ประเทศซาอุ กล่าวและยอมรับว่า " อัลลอฮฺทรงมีสถานที่และเคลื่อนย้ายไปมาอีกที่หนึ่งได้ (ขออัลลอฮฺทรงให้พวกเราชาวซุนนะฮ์แท้ รอดพ้นจากแนวคิดของชัยตอนและวะฮาบีย์เหล่านี้ด้วยเถิด)
อุษัยมีน โกหกใส่อัลลอฮฺและอุลามาอฺว่า
يجيء يوم القيامة مجيئا حقيقا
พระองค์ทรงได้เสด็จมาในวันกิยามะฮ์นั้น เป็นการเสด็จมาโดยแท้จริง เป็นการเสด็จมาด้วยตัวของพระองค์เอง ...
หนังสือ อัสมาอุลลอฮิวะศิฟาติฮี ของอุษัยมีน หน้าที่ 23
.............................
ขอชี้แจงว่า
มาดูรายละเอียดต่อไปนี้
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
;كَلاَّ إِذَا دُكَّتِ الأرْضُ دَكًّا دَكًّا، وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا
ความ ว่า หามิได้ เมื่อแผ่นดินถูกทำให้สั่นสะเทือนทลายลง และพระผู้อภิบาลของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมลาอิกะฮฺเป็นแถวๆ (อัลฟัญจ์รฺ อายะฮฺที่ 21-22)
อิหม่ามอิบนุญะรีร ปราชญ์ตัฟสีรชาวสะลัฟอธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا ) يَقُولُ تَعَالَى ذِكْرُهُ : وَإِذَا جَاءَ رَبُّكَ يَا مُحَمَّدُ وَأَمْلَاكُهُ صُفُوفًا صَفًّا بَعْدَ صَفٍّ .
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพระผู้อภิบาลของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมลาอิกะฮฺเป็นแถวๆ) หมายถึง พระองค์ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า โอ้มุหัมหมัด พระผู้อภิบาลของเจ้าได้เสด็จมา พร้อมกับมวลมลาอิกะฮของพระองค์ เป็นแถวๆ - ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 24 น้า 417
อิหม่ามอิบนุกะษีร อธิบายว่า
فَيَجِيءُ الرَّبُّ تَعَالَى لِفَصْلِ الْقَضَاءِ كَمَا يَشَاءُ ، وَالْمَلَائِكَةُ يَجِيئُونَ بَيْنَ يَدَيْهِ صُفُوفًا صُفُوفًا .
พระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่ง เสด็จมา เพื่อตัดสิน ตามที่ทรงประสงค์ และบรรดามวลมลาอิกะฮ พวกเขาได้มา อยู่ต่อหน้าพระองค์ เป็นแถวๆ- ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 8 หน้า 400
...............
จะเห็นได้ว่าปราชญ์ ทั้งสองท่านข้างต้น ไม่ได้ตีความใดๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งความหมายเดิม และได้ยืนยันความหมายนั้น ด้วยการอธิบาย
อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ หัวหน้ามัซฮับอะชาอิเราะฮเองก็กล่าวยืนยันการเสด็จมาของอัลลอฮในวันกิยามะฮ ว่า
وأنه يجيء يوم القيامة هو وملائكته كما قال : {وجاء ربك والملك صفاً صفاً
และแท้จริง พระองค์เสด็จมาในวันกิยามะฮ, พระองค์ พร้อมกับบรรดามลาอิกะฮของพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า (และพระผู้อภิบาลของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมลาอิกะฮฺเป็นแถวๆ) ดู มะกอลาตอัลอิสลามียีน เล่ม 1 หน้า 128
และท่านอบูหะซัน ได้กล่าวอีกว่า
وأجمعوا على أنه عز وجل يجيء يوم القيامة والملك صفا صفا لعرض الأمم وحسابها وعقابها وثوابها فيغفر لمن يشاء من المذنبين ويعذب منهم من يشاء
และ พวกเขา(อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ) มีมติ ว่า แท้จริง พระองค์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง เสด็จมาในวันกิยามะฮ พร้อมกับมลาอิกะฮ เป็นแถว เพื่อแสดงให้ปรากฏต่อบรรดาอุมมะฮ ,เพื่อสอบสวน, เพื่อลงโทษ และ ตอบแทนผลบุญต่อพวกเขา แล้วทรงอภัยโทษ แก่ผู้ทีทรงประสงค์ จากบรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลาย และทรงลงโทษ ส่วนหนึ่งจากพวกเขา ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ดู ริสละฮ ลิอะฮลิษษะอฺรี หน้า 210
และอัลบัฆวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชัรหอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 168 ว่า
"والإصبع المذكورة في الحديث صفة من صفات الله عز وجل وكذلك كل ما جاء به الكتاب أو السنة من هذا القبيل من صفات الله تعالى؛ كالنفس، والوجه، والعين، واليد، والرجل، والإتيان، والمجيء، والنزول إلى السماء الدنيا, والاستواء على العرش، والضحك، والفرح" أ.هـ.
และบรรดานิ้ว ที่ถูกระบุในหะดิษ ก็เป็นคุณลักษณะหนึ่งจากบรรดา คุณลักษณะของอัลลอฮ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกรียงไกร และในทำนองเดียวกันนั้น ทุกสิ่งที่ อัลกิตาบ หรือ อัสสุนนะฮ นำมา เกี่ยวกับการนี้ จากบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ (ซ.บ) เช่น ตัวตน, ใบหน้า, ตา ,มือ ,เท้า ,การไป ,การมา, การลงมายังฟากฟ้าชั้นที่หนึ่ง ,การประทับบนบัลลังก์ ,การหัวเราะ และ การยินดี
..............
สรุปว่าท่านอิบนุอุษัยมีน ได้ยึดอะกีดะฮ ตามแนวทางสะลัฟ ถ้าท่านอิบนุอุษัยมีน หลงผิด ก็แสดงว่า อิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ หลงผิดด้วย..
วัลอิยาซุบิลละฮ ท่านทั้งสอง อยู่ในแนวทางสะลัฟ ท่านย่อมไม่หลงผิดตามที่ถูกกล่าวหาอย่างแน่นอน _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย asan เมื่อ Fri Jan 23, 2015 10:08 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 02, 2014 8:50 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เพิ่มเติม
หากไม่ตัดตอนคำอธิบายของอิบนุอุษัยมีน จะพบว่าท่านอธิบาย ก่อน ข้อความ ที่ถูกนำอ้างว่า
قال أهل السنة والجماعة : جاء ربك أي هو نفسه يجيء - سبحانه وتعالى - ، لكنه مجيء يليق بجلاله وعظمته لا يشبه مجيء المخلوقين ، ولا يمكن أن نكيفه ، وعلينا أن نضيف الفعل إلى الله كما أضافه الله إلى نفسه . فنقول : إن الله تعالى يجيء يوم القيامة مجيئا حقيقيا يجيء هو نفسه ، وقال أهل التحريف معناه : وجاء أمر ربك .
ชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ พวกเขา กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเจ้ามา หมายถึง พระองค์เอง (ซ.บ)ได้เสด็จมา แต่ การเสด็จมานั้น เหมาะสมกับความสูงส่งและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่คล้ายคลึงกับการมาของบรรดามัคลูค และเราไม่สามารถที่จะอธิบายรูปแบบของมันได้ว่าเป็นอย่างไร และ หน้าที่บนพวกเราคือ อ้างอิงการกระทำนั้น แก่อัลลอฮ ดังที่อัลลอฮทรงอ้างอิงมันแก่ตัวของพระองค์เอง แล้วเรากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮตะอาลา ทรงเสด็จมา ในวันกิยามะฮ เป็นการเสด็จมาจริงๆ พระองค์เอง เสด็จมา และ นักบิดเบือน กล่าวว่า
ความหมายของมันคือ คำบัญชาของพระผู้อภิบาลของเจ้าได้มา ดู อัลอัสมาอฺวัสสิฟาต ของ เช็คอุษัยมีน
...........
เช็คอุษัยมีนได้อธิบาย ไว้ชัดเจน ว่า ทรงมา ไม่ได้แหมือนหรือคล้ายคลึงกับมัคลูค แต่คนฟิตนะฮ กลับตัดคำพูดของท่านมาท่อนหนึ่ง แล้วกล่าวหาว่า ท่านอิบนุอูษัยมีน โกหกใส่อัลลอฮ - นะอูซุบิลละฮ คนที่โกหกใส่อัลลอฮนั้น เป็นกุฟุร แล้วการกล่าวหาหนักแบบนี้ท่านครูแบกรับไหวหรือ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Mar 11, 2014 9:57 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ชี้แจง กรณี หนังสือ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์
ไปเจอข้อความข้างล่างนี้ ระบุว่า
จากหนังสือของ ..........อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์
หน้าที่ 61-62 ทำให้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าแนวทางกลุ่มคณะใหม่ วะฮาบี ไม่ใช่แนวทางของอะลุสสุนนะฮ์
ท่าน อ......... ท่านกล่าวว่า
การพรรณนาอัลลอฮฺให้มีความหมายคุณลักษณะของมนุษย์ เช่น บอกว่าอัลลอฮฺเป็นรูปร่าง มีรูปทรง เป็นสัดส่วนอวัยวะ มีสถานที่อยู่ มีการนั่ง มีการเคลื่อนย้ายเคลื่อนที่ไปมา ย่อมเป็นกาเฟร เพราะเป็นคุณลักษณะในความหมายของมนุษย์ ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
..
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการอุปโลกน์คำว่า ตัจซีม ขึ้นมา แล้วบอกว่าใครว่าอัลลอฮมีรูปร่างคนนั้น มีอะกีดะฮยิว และเป็นกาเฟร
การเอาคำว่า ตัจญซีม หรือ การพรรณนาว่าอัลลอฮมีรูปร่างนั้น ไม่ปรากฏในสมัยนบี ศอ็ลฯ และเหล่าสาวกวก ในการหุกุมเกี่ยวกับเรื่องนี้
คำว่า ตัจญซีม เป็นคำที่อะชาอิเราอุตริขึ้นมาที่หลัง
ดังที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ثُمَّ لَفْظُ " التَّجْسِيمِ " لَا يُوجَدُ فِي كَلَامِ أَحَدٍ مِنْ السَّلَفِ لَا نَفْيًا وَلَا إثْبَاتًا فَكَيْفَ يَحِلُّ أَنْ يُقَالَ : مَذْهَبُ السَّلَفِ نَفْيُ التَّجْسِيمِ أَوْ إثْبَاتُهُ بِلَا ذِكْرٍ لِذَلِكَ اللَّفْظِ وَلَا لِمَعْنَاهُ عَنْهُمْ
ต่อมา คำว่า อัตตัจญซีม (การมีรูปร่าง) ไม่พบในคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากชาวสะลาฟ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธ หรือ การรับรอง ดังนั้น
จะอนุญาตให้พูดว่า มัซฮับสะลัฟ ปฏิเสธการมีรูปร่าง หรือ รับรองมัน ได้อย่างไร โดยที่ไม่การกล่าวถึงถ้อยคำดังกล่าวและไม่ได้กล่าวถึงความหมายของมัน จากพวกเขา ดู มัจญมัวะ ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ เล่ม 4 หน้า 152 เรื่อง อะกีดะฮ
........
กล่าวคือ คำว่า ตัจญซีม ไม่เคยปรากฏว่าปราชญ์ชาวสะลัฟ กล่าวถึงคำนี้ ไม่ว่า ในเชิงปฏิเสธ หรือ ในเชิง การรับรองให้แก่อัลลอฮ
เพราะฉะนั้น ไม่ควรเอาคำนี้มาอ้างถึงทัศนะของชาวสะลัฟ เพราะพวกเขาไม่เคยกล่าวถึง เลย
นักปราชญชาวสะลัฟนั้น พวกเขารับรองสิ่งที่อัลลอฮ กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านและที่นบี ของพระองค์กล่าวไว้ในอัลหะดิษ และไม่ถือว่าการเชื่อตามสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกนั้น เป็นการเอาอัลลอฮ ไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับมัคลูคแต่อย่างใด
وَقَالَ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ : مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِشَيْءٍ مِنْ خَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ أَنْكَرَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ ، وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولُهُ تَشْبِيهٌ
และ นุอัยมฺ บิน หัมมาด กล่าวว่า ผู้ใดเปลียบเทียบอัลลอฮ ว่าคล้ายคลึงด้วยสิ่งใดๆจากมัคลูคของพระองค์ แน่นอน เขาเป็นกุฟุร และผู้ใด ปฏิเสธ สิ่งที่อัลลอฮทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน แน่นอนเขาเป็นกุฟุร และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ (พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน)นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ(หมายถึงไม่ใช่เป็นเปรียบเทียบว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัคลูค) ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม หน้า 85 และ ดู ชัรหุอุศูลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เล่ม 2 หน้า 532 หะดิษหมายเลข 936
ท่านอิสหาก บิน รอฮาวียะฮ ปราชญ์ชาวสะลัฟ (ฮ.ศ 161 - 238 )กล่าวว่า
إِنَّمَا يَكُونُ التَّشْبِيهُ إِذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أَوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ. فَإِذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَّشْبِيهُ وَأَمَّا إِذَا قَالَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى يَدٌ وَسَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلَا يَقُولُ كَيْفَ وَلَا يَقُولَ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لَا يَكُونُ تَشْبِيهًا وَهُوَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى فِى كِتَابِهِ: { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น (หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
เพราะฉะนั้น การที่เราเชื่อ ตามที่อัลลอฮทรงบอกว่า ทรงมี พระหัตถ์ หรือ สิฟัตอื่นๆ ตามที่ทรงบอกไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นการเปรียบเทียบกับมัคลูค หรือ มีรูปร่างเหมือนมัคลูค เพราะพระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
อยากให้ท่านเจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์เล่มนั้น มาดูคำพูดอิบนุตัยมียะฮที่พวกท่านด่าเช้าด่าเย็น ต่อไปนี้
فَإِنَّ الله لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ لَا فِي ذَاتِهِ، وَلَا فِي صِفَاتِهِ، وَلَا فِي أَفْعَالِهِ. فَإِذَا كَانَ لَهُ ذَاتٌ حَقِيقِةٌ لَا تُمَاثِلُ الذَّوَاتِ، فَالذَّاتُ مُتَّصِفَةٌ بِصِفَاتٍ حَقِيقَةٍ لَا تُمَاثِلُ سَائِرَ الصِّفَاتِ.
แท้จริงอัลลอฮนั้น ไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน พระองค์ ไม่ว่า ในเรื่องเกี่ยวกับซาตของพระองค์ ,ไม่ว่าในเรื่อง บรรดาคุณลักษณะของพระองค์ และไม่ว่าในเรื่องการกระทำต่างๆของพระองค์ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าพระองค์ทรงมีซาต(ตัวตน)จริงๆ ที่ไม่เหมือนบรรดาซาต ดังนั้น ซาต(ตัวตน)ที่มีคุณลักษณะ ด้วยบรรดาคุณลักษณะจริงๆ ก็จะไม่เหมือนกับบรรดาซาต(ตัวตน)อื่นๆ ดู ฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮ เล่ม 3 หน้า 21
อยากจะถามว่า ผู้ที่มีอะกีดะฮ แบบอิบนุตัยมียะฮข้างต้น เป็นการเฟร อย่างนั้นหรือ นะอูซุบิลละฮ
และอย่ากจะถามว่า เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น เคยใข้ คำว่า ซาต(ตัวตน)กับอัลลอฮไหม ถ้าเคยใช้.. แสดงว่า ท่านว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองใช่ไหม เพราะคำว่า ซาต แปลว่าตัวตน แสดงว่า เชื่อว่าอัลลอฮมีรูปร่างใช่ไหม
เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น อ้างจาก หนังสือ ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะฮาวียะว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
ท่านน่าจะอ่านคำอธิบายต่อจากนั้นที่เขาอธิบายว่า
وَلَيْسَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا مَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ تَشْبِيهًا ، بَلْ صِفَاتُ الْخَالِقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ ، وَصِفَاتُ الْمَخْلُوقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ
และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมันนั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค)แต่ทว่า บรรดาสิฟาตผู้สร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสมกับพระองค์ และบรรดาสิฟาตผู้ถูกสร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสม/คู่ควร กับเขา ดูชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207 _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Mar 11, 2014 10:00 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์อ้างวา
ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
...........
มาดูคำออธิบายครับ
อิบนุอะบิลอิซ อัดดะมัชกีย์ อธิบายว่า
نَبَّهَ بَعْدَ ذَلِكَ عَلَى أَنَّهُ تَعَالَى بِصِفَاتِهِ لَيْسَ كَالْبَشَرِ ، نَفْيًا لِلتَّشْبِيهِ عَقِيبَ الْإِثْبَاتِ ، يَعْنِي أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى وَإِنْ وُصِفَ بِأَنَّهُ مُتَكَلِّمٌ ، لَكِنْ لَا يُوصَفُ بِمَعْنًى مِنْ [ ص: 207 ] مَعَانِي الْبَشَرِ الَّتِي يَكُونُ الْإِنْسَانُ بِهَا مُتَكَلِّمًا ، فَإِنَّ اللَّهَ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
หลังจากดังกล่าวนั้น(หลังจากกล่าวว่า อัลกุรอ่านเป็นคำพูดของอัลลอฮจริงๆ) เขา(เช็คอัฏเฏาะหาวีย) ได้เตือนว่า อัลลอฮตะอาลานั้น ทรงคุณลักษณะด้วยบรรดาคุณลักษณะ ที่ไม่เหมือนมัคลูค เป็นการปฏิเสธการเปรียบเที่ยบว่าคล้ายคลึง (กับมัคลูค)หลังจากที่ได้ให้การรับรอง หมายความว่า แท้จริงอัลลอฮ ตะอาลา แม้ว่าพระองค์ทรงถูกให้มีคุณลักษณะ ว่า พระองค์ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิมุน) แต่ พระองค์ ไม่ถูกให้มีคุณลักษณะ ด้วยความหมาย จากบรรดาความหมายของมนุษย์ ที่ปรากฏว่า มนุษย์ เป็นผู้ที่พูดด้วยมัน เพราะแท้จริง อัลลอฮ นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน ทรงเป็นผู้ที่เห็นยิ่ง ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏฏอฮาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207
คำอธิบายข้างต้นต้องการจะบอกว่า แม้ว่าเราจะพรรณนาคุณลักษณะให้แก่อัลลอฮ เช่น ผู้ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิม) ก็ไม่ได้หมายความว่า
การเป็นผู้พูดนั้น เหมื่อนกับ การเป็นผู้พูดของมนุษย์ หรือ เช่น เรา กล่าวว่า ทรงมีพระหัตถ์ /มือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทรงเหมือนกับมือตามความหมายมือของมนุษย์ หรือ การเป็นผู้ได้ยิน ก็จะไม่จินตนาการไปว่า ได้ยินด้วยหูเหมือนการได้ยินของมนุษย์ เป็นต้น เพราะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
ข้างต้นคือ คำอธิบายของปราชญ์ผู้รู้ จริง คนที่ถูกเรียกว่า วะฮบีย์ เขาแปลว่ามือตามความหมายจริง แต่เขาไม่ได้บอกว่าอัลลอฮมีมือเหมือนกับมือมนุษย์
และไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร และจะไม่ถามว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่นอกเหนือจินตนาการ
ส่วนคำอธิบายของอิบนุญะรีรที่ที่เขานำมาอ้างคือ
ท่านอิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบบีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
يُخْبِر جَلَّ ذِكْره عَنْهُمْ أَنَّهُمْ ضَلُّوا بِمَا لَا يَضِلّ بِمِثْلِهِ أَهْل الْعَقْل , وَذَلِكَ أَنَّ الرَّبّ جَلَّ جَلَاله الَّذِي لَهُ مُلْك السَّمَوَات وَالْأَرْض وَمُدَبِّر ذَلِكَ , لَا يَجُوز أَنْ يَكُون جَسَدًا لَهُ خُوَار
"อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงบอกเล่าถึงพวกบนีอิสรออีลว่า พวกเขามีความลุ่มหลง ด้วยกับสิ่งที่ผู้มีสติปัญหาจะไม่หลุ่มหลงเฉกเช่นนี้ ดังกล่าวก็คือ อัลเลาะฮ์ตะอาลาซึ่งเป็นผู้เอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและเป็นผู้บริหารสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตสำหรับพระองค์ในการเป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง" ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ ซูเราะฮ์ อัลอะอฺร็อฟ : 148
.
ขอชี้แจงว่า......ข้างต้น เป็นการอธิบายว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าผู้มีเอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน นั้น เป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง
และ การเชื่อตามที่อัลลอฮ ตรัสบอกไว้ ในการพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์ เช่น ทรงมีพระหัตถ์ ไม่ได้หมายถึง การเชื่อว่าพระเจ้ามีอวัยวะเหมือนมัคลูค ตามความเข้าใจของอะชาอีคนนี้
มาดูอายะฮนี้ คำอธิบายอายะฮต่อไปนี้ของอิบนุญะรีร
قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ أَسْتَكْبَرْتَ أَمْ كُنْتَ مِنَ الْعَالِينَ
พระองค์ตรัสว่า อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง ศอด/47
ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า
( لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ) يَقُولُ : لِخَلْقِ يَدَيَّ ، يُخْبِرُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - بِذَلِكَ أَنَّهُ خَلَقَ آدَمَ بِيَدَيْهِ .
ต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า) เขากล่าวว่า ต่อการสร้างของสองมือของข้า ,ผู้ซึ่งการสดุดีพระองค์ สูงส่งยิ่ง ได้บอกด้วยดังกล่าว ว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์
.................. อิบนุญะรีร บอกว่า อัลลอฮสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ โดยท่านไม่ได้ตีความ แบบนี้หมายว่า มีอะกีดะฮว่าพระเจ้ามีรูปร่างตามการโจมตีของเจ้าของตำราข้างต้นอย่างนั้นหรือ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย asan เมื่อ Thu May 07, 2015 6:51 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 12, 2014 2:24 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การรับรองคำว่าเสียง ให้แก่สิฟัตกะลามของอัลลอฮ
เพิ่มเติม
มาดูหะดิษที่ยืนยัน คำว่า เสียง แก่สิฟัตกะลามของอัลลอฮ
وَقَالَ مَسْرُوقٌ عَنْ ابْنِ مَسْعُودٍ إِذَا تَكَلَّمَ اللَّهُ بِالْوَحْيِ سَمِعَ أَهْلُ السَّمَوَاتِ شَيْئًا فَإِذَا فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ وَسَكَنَ الصَّوْتُ عَرَفُوا أَنَّهُ الْحَقُّ وَنَادَوْا مَاذَا قَالَ رَبُّكُمْ ، قَالُوا الْحَقَّ وَيُذْكَرُ عَنْ جَابِرٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أُنَيْسٍ ، قَالَ : سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، يَقُولُ : يَحْشُرُ اللَّهُ الْعِبَادَ فَيُنَادِيهِمْ بِصَوْتٍ يَسْمَعُهُ مَنْ بَعُدَ كَمَا يَسْمَعُهُ مَنْ قَرُبَ أَنَا الْمَلِكُ أَنَا الدَّيَّانُ
รายงานจากมัสรูก จากอิบนิมัสอูด ว่า เมื่ออัลลอฮทรงพูดด้วย วะหยู บรรดาชาวฟากฟ้า ก็จะได้ยินสิ่งหนึ่ง แล้วเมือ แล้วเมื่อความกลัวถูกถอนจากหัวใจของพวกเขา และเสียงนั้นได้สงบ พวกเขารู้ว่า แท้จริง มันความความจริง แล้วพวกเขา เรียกว่า พระผู้อภิบาลของพวกท่านกล่าวอะไร ? พวกเขากล่าวตอบว่า คือ ความจริง และได้ถูกระบุว่ารายงานจากญาบีร จากอับดุลลอฮ บิน อุนัยสฺ ว่าเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า อัลลอฮจะทรงรวบรวมบรรดาบ่าว แล้ว ทรงเรียกพวกเขาด้วยเสียงหนึ๋ง ซึ่งผู้ที่อยู่ใกลได้ยินมัน เหมือนกับผู้ที่อยู่ใกล้ได้ยินมัน ว่า ข้าคือ ราชา ข้าคือ ผู้พิพากษา รายงานโดย บุคอรี
มาดูอุลามาอฺของจริงเขาอธิบาย
อิหม่ามบุคอรีกล่าวว่าا
, وَيُذْكَرُ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّهُ كَانَ يُحِبُّ أَنْ يَكُونَ الرَّجُلُ خَفيضَ الصَّوْتِ ، وَيَكْرَهُ أَنْ يَكُونَ رَفِيعَ الصَّوْتِ ، وَإِنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ يُنَادِي بِصَوْتٍ يَسْمَعُهُ مَنْ بَعُدَ كَمَا يَسْمَعُهُ مَنْ قَرُبَ ، فَلَيْسَ هَذَا لِغَيْرِ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ ذِكْرُهُ , وَفِي هَذَا دَلِيلٌ أَنَّ صَوْتَ اللَّهِ لا يشبه أَصْوَاتَ الْخَلْقِ ، لأَنَّ صَوْتَ اللَّهِ جَلَّ ذِكْرُهُ يُسْمَعُ مِنْ بُعْدٍ كَمَا يُسْمَعُ مِنْ قُرْبِ ، وَأَنَّ الْمَلائِكَةَ يُصْعَقُونَ مِنْ صَوْتِهِ ، فَإِذَا تَنَادَى الْمَلائِكَةُ لَمْ يُصْعَقُوا ،
และได้ถูกระบุจากนบี ศอ็ลฯ ว่า ท่านชอบให้บรรดาผู้คนพูดเสียงเบาๆ และไม่ชอบ ให้เป็นเสียงดัง และแท้จริงอัลลอฮผู้ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง ทรงเรียก ด้วยเสียง ที่ผู้อยู่ใกล ได้ยิน เหมือนกับผู้ที่อยู่ใกล้ ดังนั้น กรณีนี้ ย่อมไม่ใช่(เสียง)ของผู้อื่นจากอัลลอฮ ผู้ซิ่ง เกียรติของพระองค์ ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง และในหะดิษนี้ เป็นหลักฐาน แสดงบอกว่า แท้จริงเสียงของอัลลอฮ ไม่คล้ายคลึงกับบรรดาเสียงของมัคลูค เพราะเสียงของ อัลลอฮ ผู้ซิ่ง เกียรติ์ของพระองค์ ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง ถูกได้ยินจากที่ใกล เหมือนกับได้ยินจากที่ใกล้ และแท้จริง บรรดามลาอิกะฮ พวกเขาเป็นลม/เกิดอาการงงงวย อันเนื่องมาจากได้ยินเสียงอัลลอฮ เพราะ เมื่อมลาอิกะฮเรียก ก็ไม่ถูกทำให้พวกเขา(บรรดาบ่าว) เป็นลม /หรือเกิดอาการงงงวย - - คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด หน้า 149 หะดิษหมายเลข 173
...................
ข้างต้นเป็นอะกีดะฮอิหม่ามบุคอรี ท่านเชื่อว่าอัลลอฮทรงมีเสียง แต่ไม่เหมือนมัคลูค เพราะเสียงอัลลอฮนั้น ผู้อยู่ใกลได้ยิน เหมือนกับผู้ที่อยู่ใกล้ๆ แต่อะชาอิเราะฮปฏิเสธ คำว่าเสียง ในสิฟัตกะลาม (ทรงพูด)ของอัลลอฮ -นอูซุบิลละฮ
_________________ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Mar 15, 2014 8:38 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อัลบัรบะฮฮารีย(รฮ) ( ฮ.ศ 329)กล่าวว่า
والإيمان بأن الله تبارك وتعالى هو الذي كلم موسى بن عمران يوم الطور وموسى يسمع من الله الكلام بصوت وقع في مسامعه منه لا من غيره فمن قال غير هذا فقد كفر بالله العظيم
และการศรัทธา ว่าแท้จริง อัลลอฮ ตาอาลา คือ ผู้ที่พูดกับมูซา บิน อิมรอน ในวันหนึ่งที่ภูเขาฏูร และมูซา ได้ยินคำพูดจากอัลลอฮ ด้วยเสียง
หนึ่ง ที่ผ่านหูของเขาโดยตรง ไม่ใช่โดยอื่นจากมัน(หมายถึงไม่ได้ผ่านคนกลาง และผู้ใดกล่าวอื่นจากนี้ แน่นอนเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮ ผู้ยิ่งใหญ่ ดู ชัรหุอัสสุนนะฮ หน้า 90 หะดิษหมายเลข 76
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสแก่ท่านนบีมูสา อะลัยฮิสสลามว่า
فاستمع لما يوحى . إنني أنا الله لا اله إلا أنا فاعبدني وأقم الصلاة لذكري " .
ดังนั้น จงฟังสิ่งที่ถูกวะหยูแท้จริงข้าคืออัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้าและจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพื่อรำลึกถึงข้า ฏอฮา/13-14
อิบนุกะษีร อธิบายว่า
وقوله: ( فَاسْتَمِعْ لِمَا يُوحَى ) أي: اسمع الآن ما أقول لك وأوحيه إليك
และคำตรัสของพระอง์ที่ว่า ดังนั้น จงฟังสิ่งที่ถูกวะหยูแก่เจ้า กล่าวคือ ขณะนี้ จงฟังสิ่งที่ข้ากล่าวแก่เจ้าและข้าจะวะหยูแก่เจ้า ตัฟสีรอิบนิกะษีร
อิบนุญะรีร ปราชญ์ยุคสะลัฟอธิบายว่า
( فَاسْتَمِعْ لِمَا يُوحَى ) يقول: فاستمع لوحينا الذي نوحيه إليك وعه، واعمل به.
(ดังนั้นจงฟังสิ่งที่ถูกวะหยูแก่เจ้า) พระองค์ตรัสว่า ดังนั้น เจ้าจงฟังวะหยูของเรา ซึ่งเราได้วะหยูแก่เจ้า จงให้ความสนใจมันและปฎิบัติตามมัน ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์
..
อัลลอฮ สั่งให้นบีมูซา อะลัยฮิสลาม ฟังที่ที่พระองค์วะหยูแก่ท่าน การฟัง ย่อมฟังเสียง ถ้าไม่เป็นเสียง จะใช้คำว่าฟังได้อย่างไร
อัลลอฮตะอาลาตรัสว่า
إنَّمَا أَمْرُهُ إذَا أرَادَ شَيْئاً أنْ يَقُوْلَ لَهُ كُنْ فَيَكُوْنُ
ที่จริงแล้วพระบัญชาของพระองค์นั้น เมื่อพระองค์ประสงค์สิ่งใด ก็เพียงแต่กล่าวกับสิ่งนั้นว่า ..จงเป็น.. แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา ซูเราะห์ ยาซีน อายะห์ที่ 82
إنَّمَا قَوْلُنَا لِشَيْئٍ إذَا أَرَدْنَاهُ أنْ نَقُوْلَ لَهُ كُنْ فَيَكُوْنُ
ที่จริงแล้วประกาศิตของเราที่มีแก่สิ่งใดนั้นคือ เมื่อเราปรารถนาสิ่งนั้นก็เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า... จงเป็น... แล้วมันก็จะเป็นขี้นมา ซูเราะห์ อัลนะฮล์ อายะห์ที่ 40
..................คำว่า "กุน แปลว่า จงเป็น เป็นคำที่ประกอบด้วย อักษรกาฟ และอักษรนูน แสดงให้เห็นว่าว่า คำพูดของอัลลอฮนั้นเป็นอักษร แต่อะชาอิเราะฮเชื่อว่า คำพูดของอัลลอฮ ไม่เป็นอักษรและไม่เป็นเสียง
อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
ومِنْ صِفات الله - تعالى - أنَّه مُتَكَلِّمٌ بكلامٍ قَديمٍ، يُسْمِعُه مَنْ شَاءَ مِنْ خَلْقِه، سَمِعَهُ مُوسى - عليْه السلامُ - مِنْهُ، مِنْ غير وَاسِطَة، وسَمِعَه جِبْريلُ - عليْه السلامُ - وَمَنْ أَذِنَ لَهُ مِنْ ملائكتِهِ، وَرُسُلِه
ส่วนหนึ่งจากบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ ตะอาลานั้น คือ แท้จริง พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงพูด ด้วยคำพูดมาแต่เดิม มันถูกให้ได้ยิน แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากมัคลูคของพระองค์ ,มูซา อะลัยฮิสสลาม ได้ยินจากพระองค์ โดยไม่ผ่านคนกลาง ,ญิบรีล ได้ยินมัน และ ผู้ที่พระองค์ทรงอนุญาต จากมลาอิกะฮและบรรดารอซูลของพระองค์ (ก็ได้ยินมัน) ดูลัมอุลเอียะติกอด
อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า
وَقَدْ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلٍ فِي كِتَابِ السُّنَّةِ : سَأَلْتُ أَبِي عَنْ قَوْمٍ يَقُولُونَ لَمَّا كَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى لَمْ يَتَكَلَّمْ بِصَوْتٍ ، فَقَالَ لِي أَبِي : بَلْ تَكَلَّمَ بِصَوْتٍ ، هَذِهِ الْأَحَادِيثُ تُرْوَى كَمَا جَاءَتْ وَذَكَرَ حَدِيثَ ابْنِ مَسْعُودٍ وَغَيْرِهِ .
และแท้จริง อับดุลลอฮ บิน อะหมัด บิน หัมบัล ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัสสุนนะฮ ว่า ข้าพเจ้าได้ถามบิดาของข้าพเจ้า (หมายถึงอิหม่ามอะหมัด) เกี่ยวกับ คนกลุ่มหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า ขณะที่อัลลอฮทรงพูดกับมูซานั้น พระองค์ไม่ได้ทรงพูดด้วยเสียง แล้วบิดาของข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า แต่ทว่า พระองค์ทรงพูดด้วยเสียง ,บรรดาหะดิษเหล่านี้ ได้มีการรายงาน ตามที่มันได้มีมา และเขาได้ระบุหะดิษอิบนุมัสอูดและคนอื่นจากเขา ฟัตหุลบารีย์ กิตาบุตเตาฮีด อธิบายหะดิษหมายเลข ๗๐๔๕ และ เฏาะบะกอตอัลหะนาบะละฮ ของ อิบนุ อะบีย ยะอลา เล่ม ๑ หน้า ๑๘๕
ส่วนหะดิษอิบนุมัสอูดที่ว่าคือ
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ اللَّهُ يَا آدَمُ فَيَقُولُ لَبَّيْكَ وَسَعْدَيْكَ فَيُنَادَى بِصَوْتٍ إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكَ أَنْ تُخْرِجَ مِنْ ذُرِّيَّتِكَ بَعْثًا إِلَى النَّارِ
อบูสะอี๊ด (อัลคุดรีย์) รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า อัลลอฮ ตรัสว่า โอ้อาดัมเอ๋ย แล้วอาดัมกล่าวตอบว่า ครับ ข้าจงรักภักดีและน้อมรับคำบัญชาของพระองค์ (ท่านเล่าต่อไปว่า)แล้วเขาถูกเรียกด้วยเสียงหนึ่งว่า แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญชาเจ้าให้เจ้า คัดเอาผู้ที่ถูกส่งไปลงนรก จากลูกหลานของเจ้า
พี่น้องอะชาอิเราะฮ อ้างว่า
ท่านอิบนุฟูร็อก กล่าวว่า
اِعْلَمْ أَنَّ كَلاَمَ اللهِ تَعَالَى لَيْسَ بِحَرْفٍ وَلاَ صَوْتٍ عِنْدَنَا وَإِنَّمَا الْعِبَارَاتُ عَنْهُ تَارَةً تَكُوْنَ بِالصَّوْتِ وَالْعِبَارَاتُ هِيَ الدَّالَّةُ عَلَيْهِ
ท่านโปรดรู้เถิดว่า แท้จริงกะลามของอัลลอฮฺนั้นไม่ใช่เสียงและอักษร(หมายถึงกะลามนัฟซีย์หรือซาตีย์ที่อยู่ ณ ที่ซาตของพระองค์)ตามทัศนะของเรา และแท้จริงบรรดาสำนวนคำพูดจากกะลาม(นัฟซีย์)ของอัลลอฮฺนั้นบางครั้งด้วยกับเสียงและบรรดาสำนวนคำพูดของกะลามนั้นก็คือสิ่งที่บ่งชี้ถึงกะลาม(นัฟซีย์)ของอัลลอฮฺ(ที่มีมาตั้งแต่เดิม)อิบนุฟูร็อก, มุชกิลุลหะดีษและวะยานุฮู, หน้า 351
.
ข้างต้น เป็นการอ้างทัศนะของ อุลามาอฺ ชื่อ
ابْنُ فُورَكَ
ท่านอิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
الْإِمَامُ الْعَلَّامَةُ الصَّالِحُ ، شَيْخُ الْمُتَكَلِّمِينَ ، أَبُو بَكْرٍ ، مُحَمَّدُ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ فُورَكَ الْأَصْبَهَانِيُّ
อิหม่ามผู้ทรงคุณวุฒิผู้ทรงคุณธรรม ,เป็นผู้อวุโสของบรรดานักกะลาม,อบูบักร์ มุหัมหมัด บิน อัลหะซัน บิน ฟุรอ็ก อัลอัศบะฮานีย์ สิยะรุอะลามิลนุบะลาอฺ เล่ม 17 หน้า 216
และอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวอีกว่า
قُلْتُ : كَانَ أَشْعَرِيًّا ، رَأْسًا فِي فَنِّ الْكَلَامِ ، أَخَذَ عَنْ أَبِي الْحَسَنِ الْبَاهِلِيِّ صَاحِبِ الْأَشْعَرِيِّ
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า เขาเป็นอัชอะรีย์ ,เป็นระดับหัวหน้าในด้านวิชากะลาม เขาเอา มาจาก อบีอัลหะซัน อัลบาฮิลีย์ สหายของอัลอัชอะรีย์(หมายถึง สหายของอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ จากตาราและหน้าที่อ้างแล้ว
............
ข้างต้นจึงเป็นทัศนะของนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิทางด้าน วิชากะลาม หรือวิชาวิภาษวิทยา หรือเทววิทยา
กลุ่มตะกัลลิมีน (Mutakallimin) คือกลุ่มนักเทววิทยาที่เน้นการเอาเหตุผลทางปัญญา และทางตรรกวิทยามาอธิบายหลักความเชื่อในอิสลาม
พี่น้องอะชาอิเราะฮอ้างว่า
ท่านอะบูมันศูร อัลมาตูริดีย์ ได้กล่าวว่า
وَقَوْلُهُ تَعَالَى : أَوْ مِنْ وَرَاءِ حِجَابٍ. نَحْوُ ماَ كَلَّمَ مُوْسَى عَلَيْهِ السَّلاَمُ أَلْقَى فِيْ مَسَامِعِهِ صَوْتاً مَخْلُوْقاً عَلَى مَا شَاءَ ، وَكَيْفَ شَاءَ
และคำตรัสของอัลลอฮฺตะอาลาที่ว่า (พระองค์ทรงพูด)จากเบื้องหลังหม่าน นั้น เช่นการพูดของพระองค์กับนะบีย์มูซา อะลัยอิสสะลาม โดยพระองค์ทรงโยนเสียงที่ถูกสร้างขึ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์และรูปแบบที่พระองค์ทรงประสงค์ให้อยู่ในสถานที่ได้ยินต่างๆ ของมูซา ตะวีลาตอะฮ์ลิสซุนนะฮ์, เล่ม 4, หน้า 417
.................
พี่น้องข้างต้นแปลคำว่า
أَلْقَى فِيْ مَسَامِعِهِ صَوْتاً مَخْلُوْقاً
ทรงโยนเสียงที่ถูกสร้างขึ้น
ความจริง น่าจะแปลว่า
ทรงใส่เสียงที่ถูกสร้างขึ้นในหูของเขา
ความจริง หมายถึงทรงให้ได้ยินเสียงผ่านหูของเขานั้นเอง
มาดู หลักฐานต่อไปนี้คือ
อัลบัรบะฮฮารีย(รฮ) ( ฮ.ศ 329)กล่าวว่า
والإيمان بأن الله تبارك وتعالى هو الذي كلم موسى بن عمران يوم الطور وموسى يسمع من الله الكلام بصوت وقع في مسامعه منه لا من غيره فمن قال غير هذا فقد كفر بالله العظيم
และการศรัทธา ว่าแท้จริง อัลลอฮ ตาอาลา คือ ผู้ที่พูดกับมูซา บิน อิมรอน ในวันหนึ่งที่ภูเขาฏูร และมูซา ได้ยินคำพูดจากอัลลอฮ ด้วยเสียงหนึ่ง ที่ผ่านหูของเขาโดยตรง ไม่ใช่โดยอื่นจากมัน(หมายถึงไม่ได้ผ่านคนกลาง และผู้ใดกล่าวอื่นจากนี้ แน่นอนเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮ ผู้ยิ่งใหญ่ ดู ชัรหุอัสสุนนะฮ หน้า 90 หะดิษหมายเลข 76 _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 16, 2014 10:48 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
مذهب معظم السلف أو كلهم أنه لا يتكلم في معناها , بل يقولون يجب علينا أن نؤمن بها ونعتقد لها معنى يليق بجلال الله تعالى وعظمته مع اعتقادنا الجازم أن الله ليس كمثله شيء وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة وعن سائر صفات المخلوق وهذا القول هو مذهب جماعة من المتكلمين واختاره جماعة من محققيهم وهو أسلم
คือมัซฮับส่วนมากของสะลัฟหรือทั้งหมด กล่าวคือ จะไม่มีการพูดกันในความหมายของมัน แต่พวกเขากล่าวว่า จำเป็นบนเราต้องศรัทธาเชื่อด้วยกับมัน(บรรดาอายะฮ์และหะดิษซีฟาต) และเราเชื่อมั่นกับความหมายที่เหมาะสมกับความเกรียงไกรและความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา พร้อมกับให้เราเชื่อมั่นว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ตะอาลา "ไม่มีผู้ใดที่มาคล้ายเหมือนกับพระองค์" และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง และปราศจากการเหมือนบรรดาคุณลักษณะอื่น ๆ ของบรรดามัคโลค และนี้คือทัศนะคำกล่าวของมัซฮับกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลาม และกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลามที่ทรงความรู้อันแน่นแฟ้นได้เลือกเฟ้น และมันคือทัศนะที่ปลอดภัยกว่า" ชัรหุมุสลิม เล่ม 3 หน้า 19
..
ข้างต้น เป็นคำอธิบายของอิหม่ามนะวาวีย์ข้างต้น ที่อ้างว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
..............
ข้อความข้างต้นเป็นความเห็นของท่านอิหม่ามนะวาวีย์เองไม่ใช่ทัศนะของปราชญ์ชาวสะลัฟ เพราะไม่มีสะลัฟคนใด กล่าวถึง คำว่าอัลลอฮ เป็นมวลสารหรือรูปร่าง ในเชิงรับรอง(อิษบาตร)และ ในเชิงปฏิเสธ และคำว่า ทิศ ก็เช่นเดียวกัน สะลัฟไม่ได้กล่าวถึงคำนี้
ดังอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ตัฟสีรที่มีแนวคิดเอนเอียงไปทางอะชาอิเราะฮ ได้ยืนยันไว้คือ
وَقَدْ كَانَ السَّلَف الْأَوَّل رَضِيَ اللَّه عَنْهُمْ لَا يَقُولُونَ بِنَفْيِ الْجِهَة وَلَا يَنْطِقُونَ بِذَلِكَ , بَلْ نَطَقُوا هُمْ وَالْكَافَّة بِإِثْبَاتِهَا لِلَّهِ تَعَالَى كَمَا نَطَقَ كِتَابه وَأَخْبَرَتْ رُسُله
บรรดาสลัฟยุคแรก (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ คำว่า"ทิศ" และพวกเขาไม่ได้พูดมัน ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเองทั้งหมด ต่างก็กล่าวรับรอง มัน(ทิศ) แก่อัลลอฮ (ซ.บ) ดังที่ คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารซูลของพระองค์ได้บอกเอาไว้ - - อัลญามิอุนอะหกามอัลกุรอ่าน 7/219
ส่วนการปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ
คำว่า รูปร่างหรือเป็นรูปร่าง ก็เช่นเดียวกัน ชาวสะลัฟไม่ได้พูดถึง แต่เป็นคำที่อุตริขึ้นมา อธิบายเกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ ของคนยุคหลังเท่านั้น ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
ليس في كتاب الله ولا سنة رسول الله صلى الله عليه وسلم ولا قول أحد من سلف الأمة وأئمتها أنه ليس بجسم وأن صفاته ليست أجساما وأعراضا فنفي المعاني الثابتة بالشرع بنفي ألفاظ لم ينف معناها شرع ولا عقل جهل وضلال
ไม่ปรากฏในคัมภีร์อัลลอฮ และสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และไม่ปรากฏคำพูดคนหนึ่งคนใดจากอุมมะฮยุคสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ว่า แท้จริงพระองค์ ไม่ใช่รูปร่าง/มวลสาร และ(ไม่มีผู้ใดที่กล่าวมา กล่าวว่า)แท้จริงบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่ใช่บรรดามวลสาร/รูปร่างและบรรดาสิ่งของ ดังนั้น การปฏิเสธ บรรดาความหมายที่ยืนยันด้วยบทบัญญัต ด้วย การปฏิเสธ บรรดาถ้อยคำ ที่ บทบัญญัติ(หมายถึงอัลลอฮและรอซูล)และสติปัญญาไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมัน นั้น คือ ความงี่เง้าและหลุ่มหลง ดู บะยานตัลบิสอัลญะมียะฮ เล่ม 1 หน้า 101
...........
กล่าวคือ ไม่มีสะลัฟคนใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นมวลสาร หรือไม่เป็นมวลสาร(รูปร่าง) และการปฏิเสธความหมายของบรรดาถ้อยคำที่อัลลอฮและรอซูลได้ยืนยันไว้ และไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมันนั้น ถือเป็นความโง่เขลาและหลุ่มหลง
.......
_________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 16, 2014 10:51 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
قال ابن تيمية :" من المعلوم أن السنة والإجماع لم تنطق بأن الأجسام كلها محدثة وأن الله ليس بجسم ولا قال ذلك إمام من أئمة المسلمين"
เป็นที่รู้กันว่า แท้จริงอัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺ นั้น ไม่ได้พูดว่า บรรดาสิ่งที่เป็นมวลสาร(หรือรูปร่าง)ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ถูกให้บังเกิดใหม่ และ(ไม่ได้พูด)ว่าแท้จริง อัลลอฮ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง และไม่มีอิหม่ามหนึ่งคนใดจากบรรดาอิหม่ามแห่งมวลมุสลิม กล่าวถึงดังกล่าวนั้น บะยานตัลบิสอัลญะฮมียะฮ เล่ม 1 หน้า 118 สำนักพิมพ์อัลหุกูมะฮ เมืองมักกะ ฮ.ศ 1391
.............
สรุปว่า คนที่อ้างว่าอัลลอฮ ไม่เป็นรูปร่าง เป็นการพูดล้ำหน้า อัสสุนนะฮ และอัลอิจญมาอฺ ไม่มีอายะฮและอัสสุนนะฮสักบทเดียว ที่บอกและอธิบายว่า อัลลอฮ ไม่ใช่รูปร่าง หรือ เป็นรูปร่าง แต่สิ่งเหล่านี้มาจากนักจินตนาการ ที่ไปคิดว่า อัลลอฮเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่พระองค์ทรงอยู่เหนือจินตนาการ
ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
.
ชี้แจง
ตามที่ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า คำพูดข้างต้นเป็นเป็นความเห็นของอิหม่ามนะวาวีย์ ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ
หนึ่ง เพราะสะลัฟ ไม่ปรากฏพวกเขาพูดถึง คำว่า อัจญตัจญซีมเลย ขอนำหลักฐานต่อไปนี้
สลัฟยุคท่านนบี ศอลฯและยุตเศาะหายบะฮ เขาไม่ได้ พูดถึงมุญัสสิมะฮนะครับ ดูในหนังสือ
( เอียะติกอดอะอิมมะติลหะดิษ )ของ อบูบัก อัลอิมาอีลีย์ (ประวัติให้ดูจาก ( البداية والنهاية 11/317
มีคำดัชนี อธิบายคำว่า มุญัสสิมะฮ ว่า
التجسيم من الألفاظ المجملة المحدثة التي أحدثها أهل الكلام ، فلم ترد في الكتاب والسنة ولم تعرف عن أحد من الصحابة والتابعين وأئمة الدين ، فلذلك لا يجوز إطلاقها نفيا ولا إثباتا ، فإن الله لا يوصف إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسوله صلى الله عليه وسلم نفيا أو إثباتا
อัตตัจญซีม เป็นส่วนหนึ่งของบรรดา ถ้อยคำที่สรุป ที่ถูกประดิษขึ้นมา โดยนักวิภาษวิทยา (พวกอธิบายวิชาอะกีดะฮด้วยความเห็น) ดังนั้น มัน(คำนี้)จึงไม่ปรากฏในอัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ไม่เป็นที่ยืนยันจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาสาวกของท่านนบี บรรดาตาบิอีน และบรรดาผู้นำศาสนา ดังกล่าวนั้น จึงไม่อนุญาตให้อ้างถึงมัน ในการปฏิเสธ และในการรับรอง แท้จริงอัลลอฮนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวคุณลักษณะ นอกจากด้วยคุณลักษณะที่พระองค์ได้แจงคุณลักษณะนั้นให้แก่ตัวของพระองค์เอง หรือ ศาสนทูตของพระองค์(ศอลฯ)ได้แจงคุณลักษณะนั้น ในการปฏิเสธ หรือ การรับรอง(ให้แก่อัลลอฮ)......... _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 16, 2014 10:52 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
..
ชี้แจง
คำว่า
والإنتقال
ซึ่งแปลว่า การเคลื่อนย้าย
การอ้างว่า ชาวสะลัฟ กล่าวว่า อัลลอฮบริสุทธิ์จากการเคลื่อนย้ายก็ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟเช่นกัน
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ: مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
رواه البخاري (1145) و (6321) و(7494)، ومسلم (758
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة
และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
อบูนัศรุสสัจญซีย์ กล่าวว่า
"أئمتنا كسفيان الثوري ومالك وحماد بن سلمة وحماد بن زيد وسفيان بن عيينة والفضيل وابن المبارك وأحمد وإسحاق متفقون على أن الله سبحانه بذاته فوق العرش وعلمه بكل مكان وأنه ينزل إلى السماء الدنيا وأنه يغضب ويرضى ويتكلم بما شاء
อิหม่ามของเรา เช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ ,มาลิก,หัมมาด บุตร สะละมะฮ ,หัมมาด บุตร ซัยดฺ,สุฟยาน บุตร อุญัยนะฮ ,อัลฟะฎีล,อิบนุ้ลมุบารอ็ก,อะหมัดและอิสหาก พวกเขาเห็นฟ้องกันว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนอะรัช ,ความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสถานที่ ,แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ,พระองค์ทรงกริ้ว,ทรงพอพระทัยและทรงพูด ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ "
المختصرالعلو ص 266وينظر سير أعلام النبلاء17/656
...............
คนที่เชื่อตามหะดิษ ถูกกล่าวหาว่า เป็นบิดอะฮ แล้วที่ไม่ตามหะดิษจะเรียกอะไรดี _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Mar 16, 2014 5:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสลามูอาลัยกุมวาเราะห์มาตุ้ลลอฮฺ
ผมอยากทราบว่า
1.อัลกุรอาน ไม่ใช่มัคลูกทั้ง อักษร และ เสียง ใช่ไหมครับ
......................
มาดูคำอธิบายต่อไปนี้
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَقَدْ ذَكَرَ الشَّيْخُ أَبُو الْحَسَنِ مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ الْمَلِكِ الكرخي فِي كِتَابِهِ الَّذِي سَمَّاهُ ( الْفُصُولُ فِي الْأُصُولِ قَالَ سَمِعْت الْإِمَامَ أَبَا مَنْصُورٍ مُحَمَّدَ بْنَ أَحْمَد يَقُولُ : سَمِعْت أَبَا حَامِدٍ الإسفراييني يَقُولُ : مَذْهَبِي وَمَذْهَبُ الشَّافِعِيِّ وَفُقَهَاءِ الْأَمْصَارِ أَنَّ الْقُرْآنَ كَلَامُ اللَّهِ غَيْرُ مَخْلُوقٍ وَمَنْ قَالَ : مَخْلُوقٌ فَهُوَ كَافِرٌ وَالْقُرْآنُ حَمَلَهُ جِبْرِيلُ مَسْمُوعًا مِنْ اللَّهِ وَالنَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَمِعَهُ مِنْ جِبْرِيلَ وَالصَّحَابَةُ سَمِعُوهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ الَّذِي نَتْلُوهُ نَحْنُ بِأَلْسِنَتِنَا وَفِيمَا بَيْنَ الدَّفَّتَيْنِ وَمَا فِي صُدُورِنَا : مَسْمُوعًا وَمَكْتُوبًا وَمَحْفُوظًا وَكُلُّ حَرْفٍ مِنْهُ كَالْبَاءِ وَالتَّاءِ كُلُّهُ كَلَامُ اللَّهِ غَيْرُ مَخْلُوقٍ وَمَنْ قَالَ : مَخْلُوقٌ فَهُوَ كَافِرٌ عَلَيْهِ لَعَائِنُ اللَّهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِينَ
และ แท้จริง เช็ค อบูหะซัน มุหัมหมัด บิน อับดิลมาลิก อัลกัรญีย์ ได้ระบุใน ตำราของเขาชื่อ อัลฟุศูล ฟีลอุศูล ว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อิหม่ามอบูมัศศูร มุหัมหมัด บิน อะหมัด กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อบูหามีด อัลอิสฟะรอยีนีย์
กล่าวว่า ทัศนะของข้าพเจ้า,ทัศนะของชาฟิอีและบรรดาฟุเกาะฮาอฺ(นักปราชญ์ฟิกฮ)ร่วมสมัย คือ แท้จริง อัลกุรอ่าน เป็นคำพูดของอัลลอฮ ไม่ใช่มัคลูค และผู้ใดกล่าวว่า เป็นมัคลูค เขาคือ กาเฟร และอัลกุรอ่านนั้น ญิบรีลได้นำมันมา ถูกได้ยินจากอัลลอฮ และนบี ศอ็ลฯ ได้ยินมันจากญิบรีล และเหล่าเศาะหาบะฮได้ยินมันจากรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ และอัลกุรอ่านคือ ที่เราอ่านมันด้วยวาจาของเรา และสิ่งที่อยุ่ระหว่างสองหน้า(ของเล่มกุรอ่าน) และสิ่งที่(ท่องจำ)อยู่ในหัวอกของเรา คือ สิ่งที่ถูกได้ยิน ,ถูกบันทึก และถูกท่องจำ และทุกๆตัวอักษรจากมัน เช่น บาอฺ และ ตาอฺ ทั้งหมดนั้น คือ คำพูดของอัลลอฮ ไม่ใช่มัคลูค และผู้ใดก็ตาม กล่าวว่า เป็นมัคลูค (เป็นสิ่งถูกสร้างขึ้นมา) เขาคือ กาเฟร ,บรรดาการสาปแช่งของอัลลอฮ และมวลมนุษย์ทั้งมวล จะตกบนเขาผู้นั้น
- มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 12 หน้า 306
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَمِنْ الْمَشْهُورِ عَنْ السَّلَفِ : أَنَّ الْقُرْآنَ الْعَزِيزَ كَلَامُ اللَّهِ غَيْرَ مَخْلُوقٍ مِنْهُ بَدَأَ وَإِلَيْهِ يَعُودُ . وَأَمَّا " الجهمية " وَ " الْمُعْتَزِلَةُ " فَيَقُولُونَ : لَيْسَ لَهُ كَلَامٌ قَائِمٌ بِذَاتِهِ ; بَلْ كَلَامُهُ مُنْفَصِلٌ عَنْهُ مَخْلُوقٌ عَنْهُ
และที่แพร่หลายจากชาวสะลัฟ นั้น แท้จริง อัลกุรอ่าน อัลทรงเกียรติ คือ คำพูดของอัลลอฮ ไม่ใช่มัคลูค มันเริ่มจากพระองค์ และมันกลับไปยังพระองค์ สำหรับ กลุ่มญะฮมียะฮ และ มุอตะซิละฮนั้น พวกเขากล่าวว่า สำหรับมัน(อัลกุรอ่าน)นั้น ไม่ใช่คำพูดของอัลลอฮที่ดำรงอยู่ด้วยซาตของพระองค์ แต่ทว่า เป็นคำพูดของพระองค์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพระองค์ ถูกให้แยกจากพระองค์ ดูมัจญมัวฟะตาวา เล่ม 6 หน้า 219
มุหัมหมัด บิน เคาะลีล บิน ฮะรอซ กล่าวว่า
وَمِنَ الْإِيمَانِ بِاللَّهِ وَكُتُبِهِ الْإِيمَانُ بِأَنَّ الْقُرْآنَ كَلَامُ اللَّهِ ، مُنَزَّلٌ ، غَيْرُ مَخْلُوقٍ ، مِنْهُ بَدَأَ ، وَإِلَيْهِ يَعُودُ ، وَأَنَّ اللَّهَ تَكَلَّمَ بِهِ حَقِيقَةً ، وَأَنَّ هَذَا الْقُرْآنَ الَّذِي أَنْزَلَهُ عَلَى مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ هُوَ كلَامُ اللَّهِ حَقِيقَةً ، لَا كلَامُ غَيْرِهِ .
และส่วนหนึ่งจากการศรัทธาต่ออัลลอฮและ บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ คือ การศรัทธาว่า แท้จริงอัลกุรอ่านนั้น เป็น คำพูดของอัลลอฮ ไม่ใช่มัคลูค มันเริ่มมาจากพระองค์และกลับไปสู่พระองค์ และแท้จริง อัลลอฮได้พูกด้วยมันจริงๆ และ แท้จริงอัลกุรอ่านนี้ ซึ่ง อัลลอฮทรงประทานมัน แก่มุหัมหมัด ศอลฯ มันคือ คำพูดอัลลอฮ จริงๆ ไม่ใช่คำพูดของผู้อื่นจากพระองค์ ชัรหุอะกีดะฮอัลวาสิฏียะฮ เล่ม 1 หน้า 231
คำว่า " เริ่มจากพระองค์ " หมายถึง อัลลอฮทรงพูดด้วยมันและมันเริ่มต้นมาจากอัลลอฮ และคำว่า "มันกลับไปยังพระองค์ หมายถึง มันถูกยกออกจากหัวอกและเล่มคัมภีร์ ในช่วงปลายของกาลเวลา(อาคิรซะมาน) _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 19, 2014 10:51 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อาชาอิเราะฮยุคหลังบางกลุ่มกล่าวว่า
หากมีการพูดหรือเรียกด้วยเสียงจริงๆ ตามที่ได้อ้างถึงท่านอัลอาลูซีย์ ได้กล่าวไว้ว่านะบีย์มูซาได้ยินการพูดหรือการเรียกของอัลลอฮฺด้วยเสียงเป็นทัศนะของอิหม่ามอะบูมันศูร อัลมาตุรีดีย์นั้น ไม่ใช่เสียงที่เป็นศิฟัตกะลามนัฟซีย์(กะลาม ณ ที่ซาต)ที่มีมาตั้งแต่เดิม
ท่านอิหม่ามอัลมาตุรีดีย์ ได้กล่าวว่า
فَإِنْ قَالَ قَائِلٌ : هَلْ أَسْمَعَ اللهُ كَلاَمَهُ مُوْسَى حَيْثُ قَالَ : وَكَلَّمَ اللهُ مُوْسَى تَكْلِيْماً. قِيْلَ : أَسْمَعَهُ بِلِسَانِ مُوْسَى وَبِحُرُوْفٍ خَلَقَهَا وَصَوْتٍ أَنْشَأَهُ
ดังนั้นถ้าหากมีผู้หนึ่งกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินกะลามของพระองค์โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า และอัลลอฮฺได้ทรงพูดกับมูซาอย่างแท้จริง จึงถูกกล่าว(อธิบาย)ว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินด้วยภาษาพูดของมูซาและ(ทำให้ได้ยิน)ด้วยบรรดาอักษรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและด้วยเสียงที่พระองค์ทรงบันดาลขึ้นอัลมาตูริดีย์, อัตเตาฮีด, ตะห์กีก บักร ฏูบาลเอาฆ่อลีย์และมุฮัมมัดอารูตชีย์ (เบรุต: ดารุศอดิร, ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2001/ฮ.ศ. 1422), หน้า 122.
.................
ขอชี้แจงว่า ข้างต้นเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นเพียงการคาดคะเน โดยอ้างคำว่า
قِيْلَ : أَسْمَعَهُ بِلِسَانِ مُوْسَى وَبِحُرُوْفٍ خَلَقَهَا وَصَوْتٍ أَنْشَأَه
จึงถูกกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินด้วยภาษาพูดของมูซาและ(ทำให้ได้ยิน)ด้วยบรรดาอักษรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและด้วยเสียงที่พระองค์ทรงบันดาลขึ้น
ใครหรือครับ สะลัฟท่านใดบอกว่า เสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอัลลอฮ แต่เป็น เสียงสำเร็จรูปที่ถูกสร้างหรือ บันดาลมาให้เป็นภาษาของมูซา
อิบนุญะรีร กล่าวว่า
وَأَمَّا قَوْلُهُ : " وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا " ، فَإِنَّهُ يَعْنِي بِذَلِكَ جَلَّ ثَنَاؤُهُ : وَخَاطَبَ اللَّهُ بِكَلَامِهِ مُوسَى خِطَابًا
สำหรับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า และอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ แท้จริง พระองค์ ผู้ซึ่งการสรรเสริญพระองค์สูงส่งยิ่ง หมายถึงด้วยดังกล่าวนั้นว่า อัลลอฮทรงสนทนากับมูซา ด้วยคำพูดของพระองค์จริงๆ
แล้วอิบนุญะรีรได้รายงานว่า
حَدَّثَنَا ابْنُ حُمَيْدٍ قَالَ : حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ وَاضِحٍ قَالَ : حَدَّثَنَا نُوحُ بْنُ أَبِي مَرْيَمَ ، وَسُئِلَ : كَيْفَ كَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا ؟ فَقَالَ : مُشَافَهَةً
อิบนุหุมัยดฺ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า ยะหยา บิน วาเฎียะ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า นุฮ บิน อบี มัรยัม ได้เล่าเราว่า เขาถูกถามว่า อัลลอฮทรงพูดกับมูซาจริงๆนั้น เป็นอย่างไร ? เขากล่าวตอบว่า มุชาฟะฮฮะฮ(หมายถึงปากต่อปาก หรือตัวต่อตัว) - ดู ตัฟสีรอิบนุญะรีร เล่ม 9 หน้า 403
มีอีกอายะฮ
وَنَادَيْنَاهُ أَنْ يَا إِبْرَاهِيمُ
และเราได้เรียกเขาว่า โอ้ อิบรอฮีม เอ๋ย!
.........
อยากถามว่า นี่เป็นการเรียกด้วยคำพูดสำเร็จรูปที่ถูกสร้างมาใหม่อย่างนั้นหรือ.....
อะชาอิเราะฮ กล่าวว่า
หะดีษดังกล่าว ผมขอชี้แจงดังต่อไปนี้
1. หะดีษดังกล่าวนี้มีนักรายงานที่ชื่อว่า อับดุลลอฮฺ บิน มุฮัมมัด บิน อะกีล ซึ่งเขามีปัญหาในเรื่องความจำไม่ดี
ท่านยะกูบ บิน ชัยบะฮ์กล่าวว่า
وَابْنُ عَقِيْلٍ صَدُوْقٌ وَفِيْ حَدِيْثِهِ ضَعْفٌ شَدِيْدٌ جِدًّا
และอิบนุอะกีล นั้นไม่ถูกกล่าวหาโกหก และในหะดีษของเขานั้นฏ่ออีฟอย่างมากๆ อิบนุหะญัร, ตะฮ์ซีบ อัตตะฮ์ซีบ, เล่ม 6, หน้า 13
..
ชี้แจงดังนี้คือ
หะดีษดังกล่าวคือ
إنَّ اللَّهَ يَحْشُرُ الْعِبَادَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ فَيُنَادِيهِمْ بِصَوْتٍ يَسْمَعُهُ مَنْ بَعُدَ كَمَا يَسْمَعُهُ مَنْ قَرُبَ (رواه البخاري في خلق أفعال العباد برقم 89 وغيره)
ความ ว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะต้องรวมบ่าวของพระองค์ ณ วันกียามะฮฺ แล้วพระองค์ทรงเรียกพวกเขาด้วยเสียงที่ได้ยินโดยคนที่อยู่ไกลเสมือนกับคนที่ อยู่ใกล้ได้ยิน
.
.
สำหรับผู้รายงานที่ คู่เสวนา ของอ. อิบรอฮีม อ้างคำวิจารณ์ว่า
ท่านยะกูบ บิน ชัยบะฮ์กล่าวว่า
وَابْنُ عَقِيْلٍ صَدُوْقٌ وَفِيْ حَدِيْثِهِ ضَعْفٌ شَدِيْدٌ جِدًّا
และอิบนุอะกีล นั้นไม่ถูกกล่าวหาโกหก และในหะดีษของเขานั้นฏ่ออีฟอย่างมากๆ
คือ
عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ
...............
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าสรุปว่า เป็นคนที่มีสัจจะ เพราะเหตุนี้ มีนักวิชาการส่วนหนุ่งนำหะดิษที่เขารายงานมาเป็นหลักฐาน
เช่น
อิหม่ามอัตติรมีซีย์ได้รายงานหะดิษจาก อิบนุอะกีลคนนี้คือ
عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحَنَفِيَّةِ عَنْ عَلِيٍّ
عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ مِفْتَاحُ الصَّلَاةِ الطُّهُورُ وَتَحْرِيمُهَا التَّكْبِيرُ وَتَحْلِيلُهَا التَّسْلِيمُ
รายงานจากอับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล จาก มุหัมหมัด บิน หะนะฟียะฮ จาก อาลี จากนบี ศอ็ลฯ
ว่า กุญแจของละหมาด คือ ความสะอาด และ ข้อห้ามของมันคือ การกล่าวตักบีร และข้ออนุญาตของมันคือ การกล่าวสลาม
แล้วท่านอิหม่ามอัตตีรมิซีย์ กล่าวยืนยันว่า
هَذَا الْحَدِيثُ أَصَحُّ شَيْءٍ فِي هَذَا الْبَابِ وَأَحْسَنُ
นี้คือ หะดิษที่ถูกต้องกว่าและ สวยงามกว่าในเรื่องนี้ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 19, 2014 10:55 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แล้วอิหม่ามอัตติรมีซีย์กล่าวต่อไปว่า
وَعَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ هُوَ صَدُوقٌ وَقَدْ تَكَلَّمَ فِيهِ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ قِبَلِ حِفْظِهِ قَالَ أَبُو عِيسَى و سَمِعْت مُحَمَّدَ بْنَ إِسْمَعِيلَ يَقُولُ كَانَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ وَإِسْحَقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ وَالْحُمَيْدِيُّ يَحْتَجُّونَ بِحَدِيثِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ قَالَ مُحَمَّدٌ وَهُوَ مُقَارِبُ الْحَدِيثِ
อับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล คือ เป็นผู้มีสัจจะ และแท้จริง นักวิชาการ บางส่วน วิจารณ์เกี่ยวกับเขาในด้านความจำของเขา และอบูมูซา (หมายถึงอิหม่ามอัตติรมิซีย) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน มุหัมหมัด บิน อิสมาอีล(หมายถึงอิหม่ามบุคอรี) กล่าวว่า ปรากฏว่า อะหมัด บิน หัมบัล ,อิสหาก บิน อิบรอฮีม ,อัลหุมัยดีย์ พวกเขาอ้างหะดิษของ อับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล เป็นหลักฐาน และมุหัมหมัด(หมายถึงอิหม่ามบุคอรี)กล่าวว่า
وَهُوَ مُقَارِبُ الْحَدِيثِ
และเขา คือ มุกอริบุลหะดิษ- ดู หะดิษติรมืซีย์ เล่ม 1 หน้า 55
คำว่า มุกอริบุลหะดิษ ตามทัศนะอิหม่ามบุคอรีนั้น
อัสสะคอวีย์ ได้กล่าวว่า
معناها يُقارب الناس في حديثه ، أي : ليس حديثه بشاذ ولا منكر "
ความหมายของมันคือ ในหะดิษของเขาไกล้เคียงกับบรรดาผู้คน หมายถึง หะดิษของเขา ไม่ใช่เป็นหะดิษแหวกแนว และไม่ใช่หะดิษที่ถูกคัดค้าน ดู ฟัตหุลมุฆัยษ เล่ม 2 หน้า 115
..................
นี้แหละครับ อะชาอิเราะฮ เอามาแค่ส่วนที่ตนชอบเท่านั้น ทั้งที่คนๆนี้มีนักวิชาการคนสำคัญหลายคนยอมรับ เช่น อิหม่ามบุคอรีเป็นต้น
อะชาอิเราะฮผู้เสวนา กล่าวว่า
เมื่อไปดูอีกสายรายงานหนึ่งของท่านอิบนุมัสอูด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็จะอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของอัลลอฮฺแต่เป็นเสียงก้องกังวานของชั้นฟ้าไม่ใช่เสียงของอัลลอฮฺ
ท่านอะบูดาวูด ได้รายงานว่า
عَنْ مَسْرُوقٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِذَا تَكَلَّمَ اللَّهُ بِالْوَحْىِ سَمِعَ أَهْلُ السَّمَاءِ لِلسَّمَاءِ صَلْصَلَةً كَجَرِّ السِّلْسِلَةِ عَلَى الصَّفَا فَيُصْعَقُونَ فَلاَ يَزَالُونَ كَذَلِكَ حَتَّى يَأْتِيَهُمْ جِبْرِيلُ حَتَّى إِذَا جَاءَهُمْ جِبْرِيلُ فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ ». قَالَ : فَيَقُولُونَ : يَا جِبْرِيلُ مَاذَا قَالَ رَبُّكَ فَيَقُولُ : الْحَقَّ فَيَقُولُونَ : الْحَقَّ الْحَقَّ
รายงานจากมัสรูก จากอับอิลลาฮ์ อิบนุมัสอูด เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮฺทรงพูดด้วยวะห์ยู บรรดาชาวฟ้าก็ได้ยินชั้นฟ้ามีเสียงก้องกังวานเหมือนกับสายโซ่ลากอยู่บนหินเงาเรียบ แล้วพวกเขาก็สลบล้มลง พวกเขายังคงเป็นเฉกเช่นนั้นจนกระทั่งญิบรีลได้มาหาพวกเขา เมื่อญิบรีลได้มาที่พวกเขาแล้ว ความหวาดกลัวก็หายไปจากหัวใจของพวกเขา พวกเขาจึงกล่าวว่า โอ้ญิบรีล พระเจ้าของท่านได้ทรงตรัสอะไร ญิบรีลตอบว่า (พระงอค์ทรงตรัส)สัจธรรม ดังนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า (พระองค์ทรงตรัส)สัจธรรม (พระองค์ทรงตรัส)สัจธรรม รายงานโดยอะบูดาวูด, หะดีษเลขที่ 4740.
ผมขอชี้แจงดังนี้
ข้างต้น ท่านอะชาอิเราะฮ ที่อ้างว่า ไม่ใช่เสียงอัลลอฮ เป็นการเข้าใจเอาเอง ไม่ได้นำหลักฐานตามความเข้าใจของสะลัฟแต่อย่างใด
โปรดมาดูครับ อิบนุญะรีร ได้กล่าวว่า
حُدِّثْتُ عَنِ الْحُسَيْنِ قَالَ : سَمِعْتُ أَبَا مُعَاذٍ قَالَ : أَخْبَرَنَا عُبَيْدٌ قَالَ : سَمِعْتُ الضَّحَّاكَ يَقُولُ فِي قَوْلِهِ ( حَتَّى إِذَا فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ . . . ) الْآيَةَ قَالَ : كَانَ ابْنُ عَبَّاسٍ يَقُولُ : إِنَّ اللَّهَ لَمَّا أَرَادَ أَنْ يُوحِيَ إِلَى مُحَمَّدٍ ، دَعَا جِبْرِيلَ ، فَلَمَّا تَكَلَّمَ رَبُّنَا بِالْوَحْيِ ، كَانَ صَوْتُهُ كَصَوْتِ الْحَدِيدِ عَلَى الصَّفَا ، فَلَمَّا سَمِعَ أَهْلُ السَّمَاوَاتِ صَوْتَ الْحَدِيدِ خَرُّوا سُجَّدًا ، فَلَمَّا أَتَى عَلَيْهِمْ جِبْرَائِيلُ بِالرِّسَالَةِ رَفَعُوا رُءُوسَهُمْ ، فَقَالُوا : ( مَاذَا قَالَ رَبُّكُمْ قَالُوا الْحَقَّ وَهُوَ الْعَلِيُّ الْكَبِيرُ ) وَهَذَا قَوْلُ الْمَلَائِكَةِ
ข้าพเจ้าได้รายงานจากอัลหุสัยนฺ กล่าวว่า ฉันได้ยินอบูมุอาซ กล่าวว่า อุบัยดฺ ได้บอกเรา โดยเขากล่าวว่า ฉันได้ยินอัฎเฎาะหาก กล่าว เกี่ยวกับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
حَتَّى إِذَا فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ . .
จนกระทั่งเมื่อความหวาดกลัวได้คลายจากจิตใจของพวกเขา...จนจบอายะฮ เขากล่าวว่า อิบนุอับบาสกล่าวว่า
แท้จริงเมื่ออัลลอฮ ต้องการจะวะหยูแก่มุหัมหมัด พระองค์ได้เรียกญิบรีล แล้วขณะที่ พระผู้อภิบาลของเราทรงพูดด้วยวะหยูนั้น ปรากฏว่าเสียงของพระองค์ เสมือนหนึ่ง เหล็กลากบนหิน แล้วเมื่อ ชาวฟากฟ้าได้ยินเสียงก้องกังวานเหมือนกับเหล็ก(ลากอยู่บนหินเงาเรียบ) พวกเขาก็ก้มลงกราบ(สุญูด) แล้วเมื่อ ญิบรีลได้นำสาส์น มายังพวกเขา พวกเขาก็เงยศีรษะพวกเขาขึ้นพลางกล่าวว่า (พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ ? "สัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่") และนี้คือคำพูดของมลาอิกะฮ
- ดู ตัฟสีร อิบนุญะรีร เล่ม 20 หน้า 398 อธิบาย อายะฮที่ 23 ซูเราะฮ สะบาอฺ
...............
จากคำอธิบายนั้น ได้แสดงให้เห็นว่า เสียงกังวานเสมือนหนึ่ง เหล็กหรือโซ่ที่ถูกลากบนหินเรียบนั้น ของเสียงของอัลลอฮ ส่วนคำพูดของมลาอิกะฮนั้นคือ คำพูดที่ว่า
مَاذَا قَالَ رَبُّكُمْ قَالُوا الْحَقَّ وَهُوَ الْعَلِيُّ الْكَبِيرُ
พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ ? พวกเขากล่าวว่า "สัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่
...........
เพราะฉะนั้น คำพูดของท่านอะชาอิเราะฮจริงไม่มีน้ำหนักที่จะนำมาเป็นหลักฐานได้ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Mar 24, 2014 10:30 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อาจารย์อะชาอิเราะฮท่านหนึ่ง กล่าวว่า
หากมีการพูดหรือเรียกด้วยเสียงจริงๆ ตามที่ได้อ้างถึงท่านอัลอาลูซีย์ ได้กล่าวไว้ว่านะบีย์มูซาได้ยินการพูดหรือการเรียกของอัลลอฮฺด้วยเสียงเป็นทัศนะของอิหม่ามอะบูมันศูร อัลมาตุรีดีย์นั้น ไม่ใช่เสียงที่เป็นศิฟัตกะลามนัฟซีย์(กะลาม ณ ที่ซาต)ที่มีมาตั้งแต่เดิม
ท่านอิหม่ามอัลมาตุรีดีย์ ได้กล่าวว่า
فَإِنْ قَالَ قَائِلٌ : هَلْ أَسْمَعَ اللهُ كَلاَمَهُ مُوْسَى حَيْثُ قَالَ : وَكَلَّمَ اللهُ مُوْسَى تَكْلِيْماً. قِيْلَ : أَسْمَعَهُ بِلِسَانِ مُوْسَى وَبِحُرُوْفٍ خَلَقَهَا وَصَوْتٍ أَنْشَأَهُ
ดังนั้นถ้าหากมีผู้หนึ่งกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินกะลามของพระองค์โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า และอัลลอฮฺได้ทรงพูดกับมูซาอย่างแท้จริง จึงถูกกล่าว(อธิบาย)ว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินด้วยภาษาพูดของมูซาและ(ทำให้ได้ยิน)ด้วยบรรดาอักษรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและด้วยเสียงที่พระองค์ทรงบันดาลขึ้นอัลมาตูริดีย์, อัตเตาฮีด, ตะห์กีก บักร ฏูบาลเอาฆ่อลีย์และมุฮัมมัดอารูตชีย์ (เบรุต: ดารุศอดิร, ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2001/ฮ.ศ. 1422), หน้า 122.
.................
ข้างต้นเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นเพียงการคาดคะเน โดยอ้างคำว่า
قِيْلَ : أَسْمَعَهُ بِلِسَانِ مُوْسَى وَبِحُرُوْفٍ خَلَقَهَا وَصَوْتٍ أَنْشَأَه
จึงถูกกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงทำให้มูซาได้ยินด้วยภาษาพูดของมูซาและ(ทำให้ได้ยิน)ด้วยบรรดาอักษรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและด้วยเสียงที่พระองค์ทรงบันดาลขึ้น
ใครหรือครับ สะลัฟท่านใดบอกว่า เสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอัลลอฮ แต่เป็น เสียงสำเร็จรูปที่ถูกสร้างหรือ บันดาลมาให้เป็นภาษาของมูซา
อิบนุญะรีร กล่าวว่า
وَأَمَّا قَوْلُهُ : " وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا " ، فَإِنَّهُ يَعْنِي بِذَلِكَ جَلَّ ثَنَاؤُهُ : وَخَاطَبَ اللَّهُ بِكَلَامِهِ مُوسَى خِطَابًا
สำหรับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า และอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ แท้จริง พระองค์ ผู้ซึ่งการสรรเสริญพระองค์สูงส่งยิ่ง หมายถึงด้วยดังกล่าวนั้นว่า อัลลอฮทรงสนทนากับมูซา ด้วยคำพูดของพระองค์จริงๆ
แล้วอิบนุญะรีรได้รายงานว่า
حَدَّثَنَا ابْنُ حُمَيْدٍ قَالَ : حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ وَاضِحٍ قَالَ : حَدَّثَنَا نُوحُ بْنُ أَبِي مَرْيَمَ ، وَسُئِلَ : كَيْفَ كَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا ؟ فَقَالَ : مُشَافَهَةً
อิบนุหุมัยดฺ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า ยะหยา บิน วาเฎียะ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า นุฮ บิน อบี มัรยัม ได้เล่าเราว่า เขาถูกถามว่า อัลลอฮทรงพูดกับมูซาจริงๆนั้น เป็นอย่างไร ? เขากล่าวตอบว่า มุชาฟะฮฮะฮ(หมายถึงปากต่อปาก หรือตัวต่อตัว) - ดู ตัฟสีรอิบนุญะรีร เล่ม 9 หน้า 403
มีอีกอายะฮ
وَنَادَيْنَاهُ أَنْ يَا إِبْرَاهِيمُ
และเราได้เรียกเขาว่า โอ้ อิบรอฮีม เอ๋ย!
.........
อยากถามว่า นี่เป็นการเรียกด้วยคำพูดสำเร็จรูปที่ถูกสร้างมาใหม่อย่างนั้นหรือ..... _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Mar 24, 2014 10:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อะชาอิเราะฮยุคหลัง มีความเชื่อว่า อัลลอฮทรงสร้างเพคแกจเสียงขึ้นมาใหม่ แล้วนบีมูซาได้ยินเสียงนั้น ไม่ใช่อัลลอฮพูดด้วยเสียงที่ได้ยินหรือได้ยินจากอัลลอฮโดยตรง เพราะถ้าเชื่อว่ากะลามอัลลอฮ เป็นเสียง ก็จะเหมือนมัคลูค ซึ่งเรียงนี้ผมได้อธิบายไปแล้วว่า อิหม่ามบุคอรีย์ บอกว่า ไม่เหมือนกับมัคลูค เพราะเป็นเสียงที่ผู้อยู่ใกลได้ยินเหมือนกับคนอยู่ใกล้..ตามอ้างไว้แล้วด้วย ท่านกล่าวว่า
وَفِي هَذَا دَلِيلٌ أَنَّ صَوْتَ اللَّهِ لاَ يُشْبِهُ أَصْوَاتَ الْخَلْقِ ، لأَنَّ صَوْتَ اللَّهِ جَلَّ ذِكْرُهُ يُسْمَعُ مِنْ بُعْدٍ كَمَا يُسْمَعُ مِنْ قُرْبِ ، وَأَنَّ الْمَلاَئِكَةَ يُصْعَقُونَ مِنْ صَوْتِهِ ، فَإِذَا تَنَادَى الْمَلاَئِكَةُ لَمْ يُصْعَقُوا (خلق أفعال العباد، ص: 213)
ความ ว่า ในหะดีษนี้ (คือหะดีษที่กล่าวอย่างชัดเจนว่าอัลลอฮฺพูดด้วยเสียง) เป็นหลักฐานบ่งบอกว่า แท้จริงเสียงของอัลลอฮฺนั้นไม่เหมือนบรรดาเสียงของมัคลูก เพราะเสียงของอัลลอฮฺจะได้ยินจากไกลเหมือนกับการได้ยินจากใกล้ และบรรดามะลาอิกะฮฺต่างล้มลงจากการได้ยินเสียงของพระองค์ ซึ่งหากบรรดามะลาอีกะฮฺเรียกกันเอง แน่นอนพวกเขาจะไม่ล้มลงหมดสติไป
อะชาอิเราะฮ กล่าวว่า
หะดีษดังกล่าว ผมขอชี้แจงดังต่อไปนี้
1. หะดีษดังกล่าวนี้มีนักรายงานที่ชื่อว่า อับดุลลอฮฺ บิน มุฮัมมัด บิน อะกีล ซึ่งเขามีปัญหาในเรื่องความจำไม่ดี
ท่านยะกูบ บิน ชัยบะฮ์กล่าวว่า
وَابْنُ عَقِيْلٍ صَدُوْقٌ وَفِيْ حَدِيْثِهِ ضَعْفٌ شَدِيْدٌ جِدًّا
และอิบนุอะกีล นั้นไม่ถูกกล่าวหาโกหก และในหะดีษของเขานั้นฏ่ออีฟอย่างมากๆ อิบนุหะญัร, ตะฮ์ซีบ อัตตะฮ์ซีบ, เล่ม 6, หน้า 13
..
ชี้แจงดังนี้คือ
หะดีษดังกล่าวคือ
إنَّ اللَّهَ يَحْشُرُ الْعِبَادَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ فَيُنَادِيهِمْ بِصَوْتٍ يَسْمَعُهُ مَنْ بَعُدَ كَمَا يَسْمَعُهُ مَنْ قَرُبَ (رواه البخاري في خلق أفعال العباد برقم 89 وغيره)
ความ ว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะต้องรวมบ่าวของพระองค์ ณ วันกียามะฮฺ แล้วพระองค์ทรงเรียกพวกเขาด้วยเสียงที่ได้ยินโดยคนที่อยู่ไกลเสมือนกับคนที่ อยู่ใกล้ได้ยิน
.
.
สำหรับผู้รายงานที่ อะชาอิเราะ อ้างคำวิจารณ์ว่า
ท่านยะกูบ บิน ชัยบะฮ์กล่าวว่า
وَابْنُ عَقِيْلٍ صَدُوْقٌ وَفِيْ حَدِيْثِهِ ضَعْفٌ شَدِيْدٌ جِدًّا
และอิบนุอะกีล นั้นไม่ถูกกล่าวหาโกหก และในหะดีษของเขานั้นฏ่ออีฟอย่างมากๆ
คือ
عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ
...............
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าสรุปว่า เป็นคนที่มีสัจจะ เพราะเหตุนี้ มีนักวิชาการส่วนหนุ่งนำหะดิษที่เขารายงานมาเป็นหลักฐาน
เช่น
อิหม่ามอัตติรมีซีย์ได้รายงานหะดิษจาก อิบนุอะกีลคนนี้คือ
عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحَنَفِيَّةِ عَنْ عَلِيٍّ
عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ مِفْتَاحُ الصَّلَاةِ الطُّهُورُ وَتَحْرِيمُهَا التَّكْبِيرُ وَتَحْلِيلُهَا التَّسْلِيمُ
รายงานจากอับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล จาก มุหัมหมัด บิน หะนะฟียะฮ จาก อาลี จากนบี ศอ็ลฯ
ว่า กุญแจของละหมาด คือ ความสะอาด และ ข้อห้ามของมันคือ การกล่าวตักบีร และข้ออนุญาตของมันคือ การกล่าวสลาม
แล้วท่านอิหม่ามอัตตีรมิซีย์ กล่าวยืนยันว่า
هَذَا الْحَدِيثُ أَصَحُّ شَيْءٍ فِي هَذَا الْبَابِ وَأَحْسَنُ
นี้คือ หะดิษที่ถูกต้องกว่าและ สวยงามกว่าในเรื่องนี้
แล้วอิหม่ามอัตติรมีซีย์กล่าวต่อไปว่า
وَعَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ هُوَ صَدُوقٌ وَقَدْ تَكَلَّمَ فِيهِ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ قِبَلِ حِفْظِهِ قَالَ أَبُو عِيسَى و سَمِعْت مُحَمَّدَ بْنَ إِسْمَعِيلَ يَقُولُ كَانَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ وَإِسْحَقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ وَالْحُمَيْدِيُّ يَحْتَجُّونَ بِحَدِيثِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَقِيلٍ قَالَ مُحَمَّدٌ وَهُوَ مُقَارِبُ الْحَدِيثِ
อับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล คือ เป็นผู้มีสัจจะ และแท้จริง นักวิชาการ บางส่วน วิจารณ์เกี่ยวกับเขาในด้านความจำของเขา และอบูมูซา (หมายถึงอิหม่ามอัตติรมิซีย) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน มุหัมหมัด บิน อิสมาอีล(หมายถึงอิหม่ามบุคอรี) กล่าวว่า ปรากฏว่า อะหมัด บิน หัมบัล ,อิสหาก บิน อิบรอฮีม ,อัลหุมัยดีย์ พวกเขาอ้างหะดิษของ อับดุลลอฮ บิน มุหัมหมัด บิน อะกีล เป็นหลักฐาน และมุหัมหมัด(หมายถึงอิหม่ามบุคอรี)กล่าวว่า
وَهُوَ مُقَارِبُ الْحَدِيثِ
และเขา คือ มุกอริบุลหะดิษ- ดู สุนันติรมืซีย์ เล่ม 1 หน้า 55
คำว่า มุกอริบุลหะดิษ ตามทัศนะอิหม่ามบุคอรีนั้น
อัสสะคอวีย์ ได้กล่าวว่า
معناها يُقارب الناس في حديثه ، أي : ليس حديثه بشاذ ولا منكر "
ความหมายของมันคือ ในหะดิษของเขาไกล้เคียงกับบรรดาผู้คน หมายถึง หะดิษของเขา ไม่ใช่เป็นหะดิษแหวกแนว และไม่ใช่หะดิษที่ถูกคัดค้าน ดู ฟัตหุลมุฆัยษ เล่ม 2 หน้า 115 _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Mar 24, 2014 10:36 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อะชาอีเราะฮ อ้างว่า
เมื่อเสียงดังกล่าวไม่เหมือนกับเสียงของสิ่งใดมาก่อน แน่นอนว่าคุณลักษณะ(ศิฟัต)ของอัลลอฮฺต้องไม่เหมือนยิ่งกว่า ท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์จึงกำชับว่า
فَلاَ تَجْعَلُوْا للهِ أَنْدَاداً فَلَيْسَ لِصِفَةِ اللهِ نَدٌّ وَلاَ مِثْلٌ وَلاَ يُوْجَدُ شَيْءٌ مِنْ صِفَاتِهِ فِي الْمَخْلُوْقِيْنَ
พวกท่านอย่านำสิ่งใดมาคู่เคียงกับอัลลอฮฺ เพราะคุณลักษณะของพระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดมาคู่เคียงและเสมอเหมือนและไม่มีคุณลักษณะ(ศิฟัต)ใดของพระองค์อยู่ในมัคโลคทั้งหลาย อัลบุคอีรย์, ค็อลกุอัฟอาลิลอิดบาด, หน้า 98.
ดังนั้นถ้าหากเสียงเป็นคุณลักษณะ(ศิฟัต)ของอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ทรงพูดด้วยเสียงให้ได้ยินในหูของมนุษย์ แสดงว่าเสียงที่เป็นศิฟัตของพระองค์ก็จะอยู่ในมัคโลค(สิ่งที่ถูกสร้าง) และถ้าหากเสียงเป็นศิฟัตของอัลลอฮฺ แล้วเสียงของพระองค์ไปเหมือนกับเสียงก้องกังวานของระฆัง ก็ย่อมขัดแย้งกับคำพูดของท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์เอง ซึ่งมิใช่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเสียงที่อิหม่ามอัลบุคอรีย์หมายถึงนั้น มิใช่ศิฟัตของอัลลอฮฺตะอาลานั่นเอง วัลลอฮุอะลัม
.....................
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการอ้างด้วยเหตุผลของตัวเอง โดยการยกคำพูดอิหม่ามบุคอรีให้ดูดี คำพูดข้างต้นไม่ได้เกี่ยวกับ ประเด็นคำว่า การพูดของอัลลอฮ ด้วยเสียงเลย และความจริง อิหม่ามบุคอรี ก็รับรองว่าอัลลอฮ
พูด ด้วยเสียง ดังที่ผมเคยเสนอไปแล้วคือ
อิหม่ามบุคอรีกล่าวว่าا
, وَيُذْكَرُ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّهُ كَانَ يُحِبُّ أَنْ يَكُونَ الرَّجُلُ خَفيضَ الصَّوْتِ ، وَيَكْرَهُ أَنْ يَكُونَ رَفِيعَ الصَّوْتِ ، وَإِنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ يُنَادِي بِصَوْتٍ يَسْمَعُهُ مَنْ بَعُدَ كَمَا يَسْمَعُهُ مَنْ قَرُبَ ، فَلَيْسَ هَذَا لِغَيْرِ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ ذِكْرُهُ , وَفِي هَذَا دَلِيلٌ أَنَّ صَوْتَ اللَّهِ لا يشبه أَصْوَاتَ الْخَلْقِ ، لأَنَّ صَوْتَ اللَّهِ جَلَّ ذِكْرُهُ يُسْمَعُ مِنْ بُعْدٍ كَمَا يُسْمَعُ مِنْ قُرْبِ ، وَأَنَّ الْمَلائِكَةَ يُصْعَقُونَ مِنْ صَوْتِهِ ، فَإِذَا تَنَادَى الْمَلائِكَةُ لَمْ يُصْعَقُوا ،
และได้ถูกระบุจากนบี ศอ็ลฯ ว่า ท่านชอบให้บรรดาผู้คนพูดเสียงเบาๆ และไม่ชอบ ให้เป็นเสียงดัง และแท้จริงอัลลอฮผู้ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง ทรงเรียก ด้วยเสียง ที่ผู้อยู่ใกล ได้ยิน เหมือนกับผู้ที่อยู่ใกล้ ดังนั้น กรณีนี้ ย่อมไม่ใช่(เสียง)ของผู้อื่นจากอัลลอฮ ผู้ซิ่ง เกียรติของพระองค์ ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง และในหะดิษนี้ เป็นหลักฐาน แสดงบอกว่า แท้จริงเสียงของอัลลอฮ ไม่คล้ายคลึงกับบรรดาเสียงของมัคลูค เพราะเสียงของ อัลลอฮ ผู้ซิ่ง เกียรติ์ของพระองค์ ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง ถูกได้ยินจากที่ใกล เหมือนกับได้ยินจากที่ใกล้ และแท้จริง บรรดามลาอิกะฮ พวกเขาเป็นลม/เกิดอาการงงงวย อันเนื่องมาจากได้ยินเสียงอัลลอฮ เพราะ เมื่อมลาอิกะฮเรียก ก็ไม่ถูกทำให้พวกเขา(บรรดาบ่าว) เป็นลม /หรือเกิดอาการงงงวย - - คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด หน้า 149 หะดิษหมายเลข 173 _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|
|
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้ คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
Powered by phpBB
ฉ 2001, 2002 phpBB Group
|