ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Jul 05, 2005 10:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เข้ามาทำความเข้าใจ ในเรื่องนี้ :


ตามที่คุณ AlGhuraba กล่าวว่า,


“บ่อยครั้งที่จานแมทท์อ้างเหตุการณ์นี้ แต่อนิจจา.... 'จาน ทั่นกลับไม่เข้าใจนัยยะของเรื่องเลยว่า แท้ที่จริงนั่นน่ะเป็น การ ยืน ยันว่า ท่านนบีไม่มีทางสอนอะไรผิดๆพลาดๆ เป็นการยืนยันว่าจะไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของ ท่านรอซูลที่ อัลลอฮฺ จะทรงปล่อยให้คิดเองทำเองสั่งเองสอนเองตามอำเภอใจ แต่อัลลอฮฺจะทรงตรวจสอบอยู่ทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจ เมื่อใดก็ดีที่จะมีการพลัดออกนอกกรอบ จะมีคำทักท้วง ลงมาทันทีเพื่อนำทางท่านให้คงมั่นอยู่ ในแนวทางที่พระองค์ ทรงวางไว้ตลอดเวลา จากเหตุการณ์นี้ น่าแปลกใจที่ 'จาน แมทท์นำมาอ้างทั้งๆที่ไม่เข้าใจเลย"


ตามคำอธิบายของคุณ AlGhuraba เป็นการยอมรับแล้วว่า “ท่านรอซูลก็เป็นมนุษย์ ธรรมดาเช่น เดียวกับ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ผมไม่ทราบว่า คุณ AlGhuraba เข้าใจสิ่งที่คุณอธิบายหรือไม่?, ก็เพราะเหตุ ว่า ท่าน รอซูล เป็นมนุษย์ ธรรมดา ซึ่งอาจจะมีการ กระทำ ผิดพลาด เยี่ยงมนุษย์ทั้งหลาย ได้, ดังนั้นด้วยเหตุที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงเห็นและเข้าใจใน นิสัย ของมนุษย์


จากคำอธิบายของคุณ AlGhuraba ว่า, เป็นการยืนยันว่าจะ ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่ง ในชีวิตของ ท่านรอซูลที่ อัลลอฮฺ จะทรง ปล่อย ให้ท่านรอซูล คิดเอง ทำเองสั่งเองสอนเองตามอำเภอใจ แต่อัลลอฮฺ จะทรงตรวจสอบอยู่ทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจ เมื่อใดก็ดีที่จะมีการพลัดออกนอกกรอบ จะมีคำทักท้วง ลงมาทันที เพื่อนำ ทางท่านให้คงมั่นอยู่ ในแนวทางที่พระองค์ ทรงวางไว้ตลอดเวลา,

ที่คุณ AlGhuraba กล่าวมานี้ เป็นเพียงความเห็นของคุณเองทั้งสิ้น ไม่มี Refences ที่เชื่อถือได้มา อ้างอิงเลย คุณ AlGhuraba ลองคิดดูซิ ว่าถ้าอัลลอฮ์ แต่งตั้งให้ท่านรอซูลเป็นตัวแทนของพระองค์ นำ ข่าวสารของ พระองค์ มามอบให่ต่อมวลมนุษย์ แล้ว และ ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของ ท่านรอซูลที่ อัลลอฮฺ จะทรงปล่อย ให้ท่านรอซูล คิดเอง ทำเองสั่งเองสอนเองตามอำเภอใจ, นี่ก็แสดงว่า ถ้าสิ่งใดที่ ท่านรอซูล ปฏิบัติ หรือสั่งสอน อยู่ ใน กรอบข่าย บัญญัติ ของพระองค์ “อัลกุรอาน” แล้ว พระองค์ อัลลอฮ์ จะไม่มีข้อท้วงติงเลย, แต่ถ้าท่านรอซูลทำ ไปเนื่องจาก ใช้นิสัยของความเป็นมนุษย์ แล้ว ท่านจะต้องตักเตื่อน คุณ AlGhuraba อธิบายมาเป็น น้ำท่วมทุ่ง, แต่ คุณ AlGhuraba ไม่เข้าใจ ในคำอธิบาย ของคุณ AlGhuraba เอง เลยสักนิด

คุณ AlGhuraba จะ เห็นว่า ตามคำอธิบายของคุณ AlGhuraba ที่ว่า:, “แต่อัลลอฮฺจะทรงตรวจสอบอยู่ทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจ เมื่อใดก็ดีที่ จะมีการพลัดออกนอกกรอบ จะมีคำทักท้วง ลงมาทันทีเพื่อนำทางท่านให้คงมั่นอยู่ ในแนวทางที่พระองค์ ทรงวางไ ว้ ตลอดเวลา, คำอธิบายที่ว่า “เพื่อนำทางท่านให้คงมั่นอยู่ ในแนวทางที่พระองค์ ทรงวางไ ว้ ตลอดเวลา” อะไรเล่าที่เป็น “แนวทางที่ พระองค์ ทรงวางไว้” ถ้าไม่ใช่ “อัลกุรอาน” คุณ AlGhuraba เข้าใจ คำอธิบายของคุณ ตรงนี้ไหม?


คำอธิบายของคุณ AlGhuraba ตรงนี้ บอกไว้อย่าง ชัดเจน ว่า “แนวทางที่ พระองค์ ทรงวางไว้” คืออัลกุรอาน เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ ท่านรอซูลจะกล่าว นอก เหนือ ไป จาก “อัลกุรอาน” , ไม่ ใช่ “เรื่อง เล่า ต่างๆ ของ “บุคอรี” และ ของอื่นๆ เพราะสิ่งใดก็ตามถ้าท่านรอซูล กล่าวนอกเหนือ หรือ กระทำ ที่ผิด วัตถุปประสงค์ ของพระองค์, พระองค์ อัลลอฮ์ จะ ตักเตือน ท่าน รอซูลทันที, แต่ถ้าสิ่งที่ท่านรอซูล กล่าวหรือปฏิบัติ เยี่ยง มนุษย์ ธรรมดา โดยไม่ ผิด บัญญัติ และแนวทางที่ พระองค์ ทรง วางไว้ “อัลกุรอาน” แล้ว พระองอัลลอฮ์ ทรงเข้าใจและรอบรู้


ผมไม่เห็นเป็นการแปลก หรื่อทำ ให้ท่าน รอซูลเสียหายอย่างไร ในการ ที่เราจะยอมรับ ว่า ท่าน รอซูล ก็เป็น มนุษย์ธรรมดา เช่นเราๆ ทั้งหลาย ผู้หนึ่ง ซึ่งมี หลักฐานสนับสนุน อยู่ใน “อัลกุรอาน” อยู่หลายตอน แต่ที่ท่านแตกต่าง จาก “สามัญชน” ทั่วไปก็คือ ท่าน ได้ รับเลือก และได้รับการ แต่งตั้ง จาก อัลลอฮ์ ให้ รับตำแหน่ง เป็นศาสนฑูต ซึ่ง เป็น ตำแหน่ง ที่ สูงสุด และ เหนือ จาก “สามัญชน” ทั่วไป, เป็นตำแหน่งที่ ใกล้กับ “อัลลอฮ์” มากว่า สามัญชน ทั่วไป, ถึงแม้กระนั้น ตัวท่าน รอซูลเอง ก็ ยอมรับและ บอกแก่ เราผู้ ศึกษาอัลกุรอาน ว่า ท่านเองก็ เป็น มนุษย์ ธรรมดาไม่แตกต่างไปจาก เราๆทั้งหลาย


ซึ่งเราผู้เป็นสามัญชน จะต้อง รู้จัก หน้าที่ และมรรยาท ของเราที่ควร มีต่อ ท่าน รอซูล, โดยการเชื่อฟัง คำสอนของท่านรอซูล ไม่ใช่เชื่อ และปฏิบัติ ตามคำอกเล่าของผู้อื่น, ไม่ลบหลู่ หรืออ้างอิงถึงสิ่งที่ ท่านรอซุล อาจจะไม่ได้ กระทำ ก๋ได้, อย่านำชื่อท่านมาอ้างอิง ในสิ่งที่ไม่มีอะไรเกี่ยว กับตัวท่าน

(ผมว่าคุณจะต้องหาความ เข้าใจ ความหมายที่แตกต่างกัน ใน ภาษาไทย ของ คำว่า “มนุษย์” และ คำว่า “สามัญชน” แล้คุณจึงจะเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบาย)

มุสลิมไม่สมควรที่จะ ยกฐานะของ ท่านรอซูล ให้เป็นผู้ที่สามารถ จะแสดง อำนาจหรือปาฏิหาร หรีอ เป็น ผู้มี อำนาจ พิเศษ นอก เหนือ ไป จาก มนุษย์ ธรรม ดา เช่นล่วงรู้อนาคต และสามารถ ทำนายเหตุการ ต่างๆ ได้, ทั้งนี้ เพราะ อำนาจ เหล่านั้น เป็น ของ พระองค์ อัลลอฮ์ เท่านั้น และในที่สุด ก็จะหลงเข้าไปในทางเดียว กับ บรรดาที่ยกย่อง ท่านนบีอิซา ไปโดยไม่รู้ตัว


ข้อเสียและอันตราย ต่อ ศาสนาอิสลาม ในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญที่สุด คือ มุสลิมเราพยายาม ที่ จะยกย่อง ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด เกินไปกว่า ที่ ท่าน มุ่งหวัง, อัลกุรอาน สอนให้เราเชื่อฟัง อัลลอฮ์ และเชี่อ ฟังท่าน รอซูล มีอยู่หลาย อายะที่ ย้ำแล้วย้ำอีก ให้ มุสลิมทุกๆคน “เชื่อฟังท่านรอซูล” และแจ้ง โทษของการไม่เชื่อฟัง ท่านรอซูล “ถึงกับตกอยู่ใน “ไฟนรก”, ท่านรอซูล “สอนอะไร?” ที่เราจะต้องเชื่อ และปฏิบัติตาม, สี่งที่ท่านนำมาสอนเรานั้น ก็คือข่าวสาร ที่ท่านได้รับวะฮี มาจากอัลลอฮ์ นั้นก็คือ “อัลกุรอาน” ท่านรอซูลไม่เคย สอนเราเลยว่า จงเชื่อฟังและ ปฏิบัติตาม คำสอนของท่านจาก หนังสือ เล่มอื่น นอก เหนือ ไป จาก อัลกุรอาน


ถ้าคุณ AlGhuraba พยายามที่จะเรียกสิ่งที่ผม นำมาจากอัลกุรอาน และ มา กล่าวเตื่อน คุณ AlGhuraba ในที่ นี้ ว่า “ลัทธิอุบาท” แล้ว ผมอยาก จะทราบว่า “หนังสือที่คุณ AlGhuraba กำลังใช้เป็นหลัก ปฏิบัติ นอกเหนือ ไปจาก “อัลกุรอาน” นั้น ได้รับ “อณุมัติ” จากท่าน รอซูล และ “อัลลอฮ์” หรือไม่? และมาจาก ลัทธิใด?


การที่ผม นำสิ่งนี้ มากล่าวย้ำแล้วย้ำแล้วย้ำอีก มัน “ไม่ใช่ลัทธิอุบาท” อะไรที่ไหน? ทุกอย่าง มีอยู่ ในอัลกุรอาน, แต่การที่ผม ตำหนิและสงสัยในความไม่ เที่ยงแท้ ของการจด บันทึก ของ “บุคอรีนั้น” ไม่มี บัญญํติ อยู่ ใน อัลกุรอาน บังคับว่า “จงเชื่อ เรื่อง บอกเล่า เกี่ยวกับท่านรอซูลที่เล่าหรือจดบันทึกโดย บุคอรีและอื่นๆ” ทั้งนี้ เพราะ เรื่องเล่า ที่ เล่าโดยท่านรอซูลที่แท้จริง นั้น คือ “อัลกุรอาน” และมีอยู่เพียง ฉบับเดียวเท่านั้น มุสลิมบางท่านต่างหาก ที่ ทึกทัก เอาเองว่า "ยังมีหนังสือเล่มอื่นอีกที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติตาม นอกเหนือไปจากอัลกุรอาน"


คุณคงไม่ปฎิเสธว่า ในอัลกุรอาน มีทั้ง ข้อความที่ อุปมาอุปมัย การเปรียบเทียบและยก ตัวอย่างต่างๆ และอีกส่วนหนี่ง เป็นข้อความที่ เป็นบัญญํติ ที่ให้ความหมาย อย่างชัดเจน และไม่มีความกำกวม, ผมอยากจะเตือน คุณ AlGhuraba , ว่า อย่า เอาสอง อย่าง นี้ มา ปะปน ทำให้เกิด ความสับสน ใน ความหมาย เพื่อ สนับสนุน ความคิดจของ คุณ เอง


ตามที่คุณ AlGhuraba ว่า:

“ที่สำคัญก็คืออย่าลืมว่า ณ เวลานั้นท่านนบียังไม่ ได้รับคำชี้แนะใดๆจากอัลลอฮฺให้เลือก ทางใดทางหนึ่งเป็นการ เฉพาะ ดังนั้นเราจะกล่าวว่าท่านละเมิดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ หรือทำอะไรตามอารมณ์จากการที่ท่านเลือก ข้างพวกสูงศักดิ์ แห่งกุร็อยช์แทนที่จะให้ความสนใจกับชายตาบอดเพียงคนเดียวนี้ได้อย่างไร ?”

คุณทราบได้อย่างไร? ผมว่าคุณเข้าใจเอาเอง เสียมากกว่า เพราะเหตุผลที่คุณว่า:

“ ณ เวลานั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัว ต่อของการ เผย แผ่อิสลามท่ามกลางกุฟ ฟารมุชริก ที่จ้องแต่จะทำลายล้าง ระหว่างตัวเลือกสองตัว คือ ชายคนหนึ่ง ซึ่งรับอิสลาม เป็น มุสลิมด้วยใจอยู่แล้ว รออีกสักนิดก็ไม่มีทางที่เขาจะตีตัวออกห่างอย่างแน่นอน กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นคนใหญ่คน ผู้มีอำนาจ แห่งกุร็อยช์ ถ้าหากว่าท่านสามารถโน้มน้าวชัก ชวนบุคคล เหล่านี้เข้ามาอยู่ใต้ ร่มธงแห่ง อิสลาม ได้ ภารกิจหน้าที่ของท่านจะสะดวกง่ายดายขึ้นเพียงใด ผู้คนที่เคยเป็นปฏิปักษ์ จะพากันเข้ามารับ อิสลามอีกมาก ายเพียงใด และบรรดามุสลิมจำนวนน้อย ในเวลานั้นซึ่งล้วน แต่เป็นบุคคลระดับ ล่าง เป็นคนยากจน ขัดสนเป็น คน อ่อนแอที่ได้รับการกดขี่ทารุณต่างๆนานา ต้องหลบๆซ่อนๆไม่สามารถ ประกาศตน แสดงตัวได้ อย่างเปิด เผยนั้น จะกลับได้รับความคุ้มครองและปลอดภัย ขึ้นอีกขนาดไหน ด้วยภาวะที่เป็นอยู่เช่นนั้น ถ้าพลาดโอ กาส นี้ไปจะหมายถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่เพียงใด ต่ออัลอิสลาม คุณลองชั่งดูด้วยสำนึกแห่ง สามัญชน เถิด ว่า อันใด เป็นสิ่งที่น่าไขว่คว้าไว้ก่อนมากกว่ากัน”


ฟังดูเหตุผล ดังกล่าว ก็น่า ฟังดี แต่ความจริงแล้ว คุณทราบได้อย่างไรว่า ท่าน รอซูลท่าน คิดเช่นนั้น นอกจากคุณ จะเดา เอาเอง? คุณมี หลักฐานทางอัลกุรอาน หรือทาง ตัฟซีรที่อธิบาย อายะนี้หรือไม่? สำหรับ อายะนี้ เหตุผลอัน นี้เป็นความคิดของ คุณเองต่างหาก เป็น ความเข้าใจของ คุณ เอง อย่างที่คุณ กำลัง เข้า ใจ ว่า ใจว่า ผม กำลังทำลาย ล้างอิสลาม, ซึ่งความจริง หาเป็น เช่นนั้น ไม่,


คำอธิบาย ของ คุณ ตั้ง แต่ ต้น มาจนถึง จุดนี้ ขาด Logic และ หลักฐานจาก อัลกุรอาน มา สนับสนุน เป็น ความคิด ของคุณเอง ทั้ง นั้น คุณทราบได้อย่างไร ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ทรงลองใจ หรือ ทดลองใจท่าน รอซูล?


และตามที่คุณว่า

“และอีกประการหนึ่ง ท่านนบีไม่มีญาณพิเศษที่จะล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นตามมาในภายภาคหน้า ท่านมิอาจล่วงรู้ได้ว่าในใจของบุคคลเหล่านั้นคือความสนใจใคร่รู้เพื่อแสวงหาทางธรรม หรือเป็นการท้าทาย เพื่อเย้ยหยันกันแน่ ท่านมิอาจทราบได้เลยว่าสิ่งที่ท่านพร่ำบอกพร่ำสอน ให้ความกระจ่างชัดเจน แก่พวกเขา นั้นจะยังผลให้ พวกเขาเข้าใจและยอมจำนนหรือกลับจะทำให้พวกเขาดื้อด้านดันทุรัง เถียงข้างๆคูๆหนักข้อเข้าไปอีก”

คำกล่าวนี้ก็เป็นความเข้าใจ ของคุณเอง อีก นั้นแหละ และเหตุผลที่ ท่านนบีไม่มีญาณพิเศษที่จะล่วงรู้ ได้ว่าจะเกิด หตุการณ์ อะไร ขึ้นตามมาในภายภาคหน้า” นั้น, ข้อนี้ เป็นความจริง มีสนับสนุนอยู่ในอัลกุรอาน , แต่ขัดกับ อะหะดิษ อีกหลายบท ที่อ้างถึง เหตุการต่างๆ ที่ ท่าน รอซูล มองเห็น อนาคต และ สามารถทำนายเหตุการล่วงหน้า

ตามที่คุณว่า

... ครับ ขนาดท่าน นบียังไม่ทราบ ผมเองก็ยิ่งไม่ทราบเหมือนกันว่า ที่อุตส่าห์หลังขดหลังแข็งคีย์คำชี้แจง มาให้อ่าน ซะยืดยาวขนาดนี้ จะส่งผลอย่างไรแก่ 'จาน ทั่นบ้างหนอ ???


คำ อธิบายของคุณ ไม่ส่งผลอะไรต่อผมเลย ทั้งนี้ เป็น คำแก้ตัวที่ผมเคยได้ยินมา ก่อน นมนานแล้ว สำหรับผม ผมมี ความนับถือผู้ที่ขาดความรู้ในเรื่องใดแล้วยอมรับเพื่อที่เขาจะได้ เปิด ประตูสมอง ให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ในเรื่องนั้น


แต่ผู้ที่ พยายามปฎิเสธและหลอกตัวเอง ในสิ่ง ที่ตัวเองขาดความรู้แล้ว และแก้ตัวต่างๆนาๆ แม้แต่เพียง เรื่อง เล็ก น้อย เพียง นิด เดียว ก็อาจจะนำ ความ ไม่เชื่อถือ ไป ถึง เรื่อง อื่นๆ อีกได้


แต่คุณ AlGhuraba นอกจาก จะแสดงตัวว่า มีความรู้ทางศาสนา อย่าง หาตัวจับยากแล้ว คุณยัง ไม่แสดงหรือ ปฏิบัติ ตัว ตามซุนนะห์ ของ ท่าน รอซูล ให้ผมได้ประจักษ์เลย คือคุณ ขาด ความถ่อมตัว และ ความสุขุม

ทุกอย่างที่คุณอ้าง คุณกล่าว คุณตีความหมาย เอา เอง และ สรุปเอาเอง เอง “สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ “พยายาม เอาความคิดของตัวเอง โยนให้เป็นความคิด ของผู้อื่น, อย่างที่คุณพยายามที่ จะปรักปรำผม ว่านำ “ลัทธิอุบาท” มาทำลายอิสลาม, คุณ ควรเข้าใจ ให้แน่ชัดว่า “ศาสนาอิสลาม” ไม่ใช่ “ลัทธิ” ไม่ใช่ “Cult” ผมคิดว่า คุณ AlGhuraba คงเข้า ใจภาษาอังกฤษดีพอที่จะเข้าใจคำว่า “ Cult” ซึ่งหมายถึง

“A religion or religious sect generally considered to be extremist or false, with its followers often living in an unconventional manner under the guidance of an authoritarian, charismatic leader.”


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
yoohoo
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004
ตอบ: 65


ตอบตอบ: Wed Jul 06, 2005 9:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ปรานีเสมอ

จากซูเราะห์อัล-บะกะเราะห์

10. ในหัวใจของพวกเขามีโรคอย่างหนึ่ง(*1*) แล้วอัลลอฮฺได้ทรงเพิ่มโรคอีกอย่างหนึ่ง(*2*) ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขากล่าวเท็จ

(1) โรคแห่งความสงสัย
(2) โรคแห่งความดื้อดัน และปฏิเสธศรัทธา
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Thu Jul 07, 2005 7:13 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เรียนคุณแมทท์ครับ

ที่คุณแมทท์กล่าวถึงคุณAlqhuraba ตามด้านล่าง

" ทุกอย่างที่คุณอ้าง คุณกล่าว คุณตีความหมาย เอา เอง และ สรุปเอาเอง เอง “สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ “พยายาม เอาความคิดของตัวเอง โยนให้เป็นความคิด ของผู้อื่น, อย่างที่คุณพยายามที่ จะปรักปรำผม ว่านำ “ลัทธิอุบาท” มาทำลายอิสลาม, คุณ ควรเข้าใจ ให้แน่ชัดว่า “ศาสนาอิสลาม” ไม่ใช่ “ลัทธิ” ไม่ใช่ “Cult” ผมคิดว่า คุณ AlGhuraba คงเข้า ใจภาษาอังกฤษดีพอที่จะเข้าใจคำว่า “ Cult” ซึ่งหมายถึง "

ผมว่าประโยคนี้ ไม่น่าจะเป็นคุณ Alquaraba ครับ แต่น่าจะเป็นคุณมากกว่า คุณพูดถึงศาสนาอิสลาม แต่กลับพยายามบังคับให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่เวลาผู้รู้บังคับให้คุณเข้าใจภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการลงโองการ คุณกลับไม่เข้าใจ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Jul 07, 2005 11:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ปรานีเสมอ

จากซูเราะห์อัล-บะกะเราะห์

10. ในหัวใจของพวกเขามีโรคอย่างหนึ่ง(*1*) แล้วอัลลอฮฺได้ทรงเพิ่มโรคอีกอย่างหนึ่ง(*2*) ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขากล่าวเท็จ

(1) โรคแห่งความสงสัย
(2) โรคแห่งความดื้อดัน และปฏิเสธศรัทธา


ก่อนที่ จะเข้าใจ อายะ 2:10 นี้ ควรจะ ท้าว ความไป ถึง อายะ ที่ 2 ของ ซูเราะห์ นี้ ที่บอกให้เราทราบว่า อัลกุรอาน คือแนวทางอันเที่ยงตรง อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่มีศรัทธาและเกรงกลัว ต่ออัลลอฮ์ เพื่อใช้เป็น วิถีทาง ในการ ป้องกัน ความชั่วร้าย, อายะนี้ทำให้เราเข้าใจ ว่า “อัลกุรอาน” เป็นวิถีทาง สำหรับ ผู้ที่มี ความศรัทธาในศาสนาของ พระองค์อัลลอฮ์ โดยเคร่งครัด อย่างแท้จริง, การยึดถือ สิ่งอื่นใด นอกเหนือ ไปจากอัลกุรอาน เปรียบเสมือน ขาด ความจริงใจ ต่อความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์


ถึงแม้ว่า ในอายะ2:4 จะกล่าวว่าผู้ศรัทธาจะต้องยอมรับ คัมภีร์ เตารอดและอินญีล ที่ถุกวะฮี มาก่อน อัลกุรอานก็ตาม แต่ว่า อัลกุรอาน คือ บัญญัติ เล่มสุดท้าย ที่มีความสมบูรณ์ ของรายละเอียด ต่างๆ สำหรับผู้ศรัทธาอย่างครบครัน ซึ่งเป็น แนวทางอันเที่ยงตรง อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่มีศรัทธาและเกรงกลัว ต่ออัลลอฮ์ เพื่อใช้เป็น วิถีทาง ในการ ป้องกัน ความชั่วร้าย


ในอายะ 207 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ เช่น กัน กล่าว ถึง ผู้ ที่มีศรัทธา ต่อ พระองค์อัลลอฮ์ อย่าง แรง กล้า ถึงขนาด ที่ จะ พลีชีพ เพื่อ แสวงหา ความโปรดปราณ จาก อัลลอฮ์ และพระองค์ ก็ จะให้ความกรุณาปราณี ต่อ ความ เสียสละ ของ เขา ผู้ นั้น อย่าง เต็มที่


ผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแท้จริง สมควรที่จะได้ รับการสรรเสริญ อย่างยิ่ง คือผู้ที่ประกอบไปด้วยคุณลักษณะ ที่จะ ทนทานต่อการแปรผัน ของวิถีทาง แห่งชีวิต ของ ตน, อดทนต่อ ความ ยากลำบาก และ ความ ไม่ สะดวก ทั้งนี้ ก็ เพื่อ จะนำมาซึ่ง ความสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ อัลลอฮ์ ทั้งชีวิตและจิตใจ, สำหรับบุคคลผู้นี้ ถึงแม้ว่า ชีวิตของเขาในโลกนี้ จะเต็มไปด้วยภาระ ความรับผิด ชอบ ที่สำคัญ ต่างๆ แต่เขา ก็ สามารถที่ จะ สละชีวิต ของเขา และ ยอมสูญเสียสิ่งเหล่านั้น ตาม วิถีทาง ของ อัลลอฮ์ ได้ โดยไม่มีความหวาด กลัว ต่อ ความ ตาย, ท่านรอซูลมูฮัมมัดก็ เป็นผู้หนึ่ง ที่ มีคุณ ลักษณะ ดังกล่าวนี้ “ท่านยึดมั่น อยู่ ใน หลักการ ของ อัลกุรอาน แต่เพียงอย่าง เดียวเท่านั้น”


สำหรับบุคคลผู้ที่ ไม่มีความศรัทธา ต่อ พระองค์ อัลลอฮ์ อย่าง แท้จริง, คือผู้ที่ ไม่ยึดถืออัลกุรอานแต่เพียง อย่างเดียว เพื่อ เป็น แนวทางอันเที่ยงตรง , กับทั้งยังคิดว่า อัลกุรอานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต่อ ความศรัทธา และยังมี ข้อสงสัยในความสมบูรณ์ ของอัลกุรอาน, เขาผู้นั้นเป็นผู้ ที่ไม่มีศรัทธาและไม่มีความ เกรงกลัวต่ออัลลอฮ์, เมื่อใดก็ตาม เมื่อ ตัว เขา ประสพเคราะห์ กรรม หรือ จิตตก, เขาจะมีแต่ความหวาดกลัว, ไม่มีความแน่ใจและ ขาด ความ เชื่อ มั่น ในตนเอง ทั้งนี้ เพราะว่า เขามีความศรัทธา ที่ จอมปลอม ไม่มีความศรัทธาที่ แท้จริง ต่อ พระองค์ อัลลอฮ์ ในหัวใจเต็มไป ด้วย เล่ห์ เหลี่ยม และ การเสแสร้ง ขาดความแท้จริง, เปรียบเสมือนก็ เหมือน ผู้ ที่มี จิตใจที่ ไม่สมบูรณ์ มีโรค, ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมาน อยู่แล้ว, แต่เนื่องจากขาดศรัทธาที่แท้จริง ต่อพระองค์อัลลอฮ์, เมื่อ ตัว เขา ประสพเคราะห์ กรรม หรือ จิตตก จึงทำ ให้ เขาจะมีแต่ความหวาดกลัว, ไม่มีความแน่ใจและขาด ความ เชื่อ มั่น ในตนเอง เปรียบเสมือน ถูกเพิ่มอาการของโรคให้หนักยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการลงโทษของพระองค์อัลลอฮ์ ซ้ำสอง ในการ กล่าวเท็จต่อพระองค์(2:10)


มีคำกล่าวว่า ถ้าผู้ใดก็ตาม มีความเข้าใจ อายะนี้ (ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ : (10) และปฏิบัติตน สนองตอบความหมายของอายะนี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริง


ของฝาก สำหรับ ผู้ยึดมั่นใน “ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ”

“ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ” มุสลิม, เล่มที่ 7 (กิตาบ อัล- ฮัจจฺ) เลขที่ 2803.1 ในคุตฺบะฮฺ ครั้งสุด ท้าย ของท่าน นบีมูฮัมมัด ตอนหนึ่งมีความว่า:


“ ฉัน(มูฮัมมัด) ได้ทิ้งหนังสือของอัลลอฮ์เล่มนั้น(อัลกุรอาน)ไว้กับพวกท่านทั้งหลายแล้ว, และถ้าท่านทั้งหลายยึดถือมัน (อัลกุรอาน) อย่างมั่นคง, พวกท่านทั้งหลายจะไม่หลงไปในทางที่ผิด.”


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Jul 07, 2005 1:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

สวัสดีคุณ dabdulla


ผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วครับที่จะเรียนภาษา อรับ ให้เก่ง, แต่ไม่อาจเป็นไปได้หรอกครับ เพราะ เรียนด้วยตนเอง และ เรียนจาก เทป ภาษาที่เรียนมาแต่สมัยเด็กๆ ก็ใช้ไม่ได้ ผมพยายาม จะให้คุณ สบายใจ ที่เห็น ภาษา อรับ ผมเลย พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะคุยกับคุณ ในภาษาที่คุณถนัด


أكتب لك بالعربيّة

بينما تعرف أنّني غير جيّدًا في هذه اللّغة

أتعلّم بدراسة النّفس

قد يكون هناك أخطاء كثيرة

قد سألتك أسئلة كثيرةً

لا تجيبني أبدًا

هل هو صعب للإجابة ؟

เป็นอย่างไรครับ เข้าใจไหม? จะให้คะแนน สักเท่าใด? C- หรือ D+

คำถามต่างๆ เกี่ยวกับการแปลอัลกุรอานที่ผมถามคุณมา “เกี่ยวกับเรื่องดินเหนียวที่มี"เสียง" นั้นมันมีความเป็นมาอย่างไร? ผมไม่เห็น คุณอธิบายให้ผมฟังเลย ในซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน อายะที่ 14

خَلَقَ الْإِنسَانَ مِن صَلْصَالٍ كَالْفَخَّارِ

14. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากดินเหนียวมีเสียง เช่นเครื่องปั้นดินเผา”

อยากทราบว่า คำว่า “เสียง” ในอายะ ข้างบนนี้ ภาษาอรับ เขา ว่าอย่างไร?


ถามผมมามากแล้ว ขอให้ผมได้รับความรู้จากทางภาษา จากคุณบ้างนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้า ครับ วันนี้ขอคุยสนุกและเบาๆ หน่อยครับ เพราะ ตามอ่านเรื่องหนักๆ ทั้งวัน


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Thu Jul 07, 2005 11:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณแมทท์ครับ

โปรดใจเย็นๆ ครับ ผมเองก็ไม่ต่างไปจากคุณแมทท์ครับ ในเรื่องภาษาอาหรับ เราไม่ต่างกันครับ แต่การแก้ปัญหาของเรานั้นต่างกันครับคุณแมทท์ ผมอธิบายให้เข้าอย่างนี้นะครับ

เวลาที่เรามีปัญหากับภาษาอาหรับ ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร ผมไม่เคยเห็นคุณแมทท์ถามผู้รู้ในเวปเลยครับ แต่คุณแมทท์ แปลเองครับ แถมแปลจากคำภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ

เรื่องของดนตรี ที่คุณแมทท์ แปลว่า มลาอิกะห์ ร้องเพลง เล่นดนตรี เพราะในกุรอ่านแปลอังกฤษ คุณแมทท์ ไปเจอคำที่แปลเป็นเล่นดนตรี ซึ่งคุณ Alqhuraba ได้อธิบายคุณแมทท์ไป ในเมื่อคุณแมทท์ ยอมรับว่าไม่เก่งอาหรับ ซึ่งเป็นที่ลงของโองการอัลกุรอ่าน ไฉนคุณแมทท์ถึงกล้าฟันธงล่ะครับ ว่ามลาอิกะห์ ร้องเพลง

คุณแมทท์ แปลคำว่า เอาเราะห์ แปลว่าสิ่งอุจาด นั่นจึงเป็นเหตุให้คุณแมทท์ เข้าใจว่า ชุดว่ายน้ำ ก็ใส่ได้ ฮิญาบไม่ต้องคลุม ถ้าทุกคนที่นั่นไม่มองเป็นสิ่งอุจาด

ถามสิครับ ผู้รู้ในนี้ มีเยอะ ถ้าท่านไม่เข้าใจ แต่ที่ท่านทำอยู่คือ ท่านแปลเอง แล้วตรัสรู้เอง เสร็จแล้วก็มาเถียงกับคนที่มีความรู้ที่นี้


ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ครับคุณแมทท์ ในสมัยนบี ท่านนบี ซล ท่านนบีส่งบรรดาซอฮาบะห์ ไปยังเมื่องต่างๆ เพื่อสั่งสอน แก่คนเหล่านั้นในเมือง นบี ไม่ได้ส่งกุรอ่านไปให้เขา แล้วให้ศึกษากันเอาเอง แบบบุฟเฟต์ ใครเข้าใจยังงัยก็เชิญ เพราะเป็นอิสลามแบบบุฟเฟต์ หากินเอาเอง

คุณแมทท์ ดูกุรอ่าน ก็น่าจะเห็น ว่า คนที่ไม่รู้ สมควรที่จะต้องถามผู้รู้ ผมเห็นใจคุณแมทท์ครับ ถ้าคุณแมทท์ เป็นผู้ใฝ่รู้ที่จริงใจ ภาระอันนี้มันก็ตกให้กับผู้รู้ ที่ต้องแถลงใข
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sat Jul 09, 2005 6:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขออภัยที่ทิ้งบ้านไปหลายวัน...เนื่องจากมี ทู่ระ ต่างบ้านต่างเมืองอะครับ
รู้สึกผิดจริงๆ ที่ไม่ได้รักษา อะมานะฮฺ ที่นี่ไว้ได้ดีเท่าที่ควร หายหน้าหายตาไปก็ไม่ได้บอกกล่าวเจ้าของบ้านที่เขาไว้วางใจให้ปัดกวาดเช็ดถู ดูแลเฝ้าบ้านให้ ..... เออ... ว่าแต่ เขามาฝากไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
หรือว่า ผมจุ้นจ้าน เข้ามาดูบ้านให้เขาเองก็ไม่รู้สิ
จะอย่างไรก็แล้วแต่ คงเพราะไม่อยากให้ที่นี่เป็นบ้านร้าง ที่เจ้าของมาเปิดบ้านไว้แล้วทิ้งๆขว้างๆ จึงจำต้องอาสาเข้ามาดูแลให้โดยไม่คิดกะตังค์ ..นะเนี่ย

ดีใจที่เห็นอาจานเข้ามา แต่ก็ผิดหวังที่ไม่ยักกะต่อประเด็นที่ค้างไว้
กลับตอบเรื่องที่ไม่คิดว่าจะตอบ
ที่จริงยังไม่อยากเถลไถลออกไปนอกทาง แต่ในเมื่อสิ่งที่จานทั่นตอบมา พาดพิงถึงผม ก็จะขอวิสัชนาดังนี้ครับ


(Matt : Tue Jul 05, 2005 10:11 am )
“ที่คุณ AlGhuraba กล่าวมานี้ เป็นเพียงความเห็นของคุณเองทั้งสิ้น ไม่มี Refences ที่เชื่อถือได้มา อ้างอิงเลย”

Reference ก็คือ ซูเราะฮนี้นี่ละครับ …. เมื่อนบีทำเช่นนั้นต่อผู้ใฝ่หาสัจธรรม คือจัดคิวไว้ต่อจากพวกดื้อด้าน อัลลอฮก็บอกให้รู้ว่าควรทำอย่างไร มิได้ทรงปล่อยให้เลยตามเลย ให้ใครเอามาอ้างว่า ท่านนบีผิดพลาดเป็นกิจวัตร

เรามักจะพบว่าบ่อยครั้งที่ท่านนบีโกรธ หรือไม่พอใจเมื่อพบว่ามีคนทำสิ่งไม่ดีต่อหน้าท่าน
และเราก็พบบ่อยครั้งเช่นกันในอัลกุรอาน ที่อัลลอฮทรงกริ้วต่อมนุษย์บางชนิด
แต่ความกริ้วของอัลลอฮ กับ การโกรธหรือไม่พอใจของ”มนุษย์”อย่างท่านนบี มันต่างกันครับ อัลลอฮทรงโกรธกริ้ว นั่นมันแปลว่า “อะซาบ”แล้ว แต่ที่ท่านนบีโกรธนี่คือการเตือน การปรามว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ถ้ายังฝืนทำอยู่ มันจะนำมาซึ่งความกริ้วจากอัลลอฮ บรรดาเศาะหาบะฮเขาต่างก็ตระหนักกันดีในเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นนบีไม่พอใจ เขาหยุดทันที เขาหาทางแก้ไขปรับปรุงตัวกันเดี๋ยวนั้นเลย ไม่มีการ รอดูเชิง!…นอกจากพวก มุนาฟิกเท่านั้น

Matt : “คุณ AlGhuraba อธิบายมาเป็น น้ำท่วมทุ่ง, แต่ คุณ AlGhuraba ไม่เข้าใจ ในคำอธิบาย ของคุณ AlGhuraba เอง เลยสักนิด”

กรุณามองภาพให้กว้างอีกสักนิดนะครับ ผมกล่าวย้ำชัดเจนว่า ให้มองให้ถึงบทสรุป มิใช่แค่ฉากใดฉากหนึ่งแล้วเอาไปต่อ ยอดเอาเอง

Matt : “มุสลิมไม่สมควรที่จะ ยกฐานะของ ท่านรอซูล ให้เป็นผู้ที่สามารถ จะแสดง อำนาจหรือปาฏิหาร หรีอ เป็น ผู้มี อำนาจ พิเศษ นอก เหนือ ไป จาก มนุษย์ ธรรม ดา เช่นล่วงรู้อนาคต และสามารถ ทำนายเหตุการ ต่างๆ ได้, ทั้งนี้ เพราะ อำนาจ เหล่านั้น เป็น ของ พระองค์ อัลลอฮ์ เท่านั้น และในที่สุด ก็จะหลงเข้าไปในทางเดียว กับ บรรดาที่ยกย่อง ท่านนบีอิซา ไปโดยไม่รู้ตัว”

อืมมม ….. นั่นอาจเป็น plot เรื่องสำหรับ Episode-IX ก็ได้….อินชาอัลลอฮ...แต่ไม่ใช่รับปากนะครับ แค่ "อาจจะ"

Matt : “ท่านรอซูลไม่เคย สอนเราเลยว่า จงเชื่อฟังและ ปฏิบัติตาม คำสอนของท่านจาก หนังสือ เล่มอื่น นอก เหนือ ไป จาก อัลกุรอาน”

ก็ไม่เห็นมีมุสลิมคนไหนเชื่อ “หนังสือ” สักคนเลยนี่ครับ มีแต่เขาพยายามปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบีสอนทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะผ่านมาถึงเขาโดยวิธีใดก็ตาม ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นหนังสือ อาจจะเป็นกระดูก เป็นก้อนหิน ดินดาน เป็นถ้อยคำวาจา หรืออาจจะ demonstrated ด้วยอาการท่าทางก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่า นั่นคือสิ่งที่ท่านนบีสอน เป็นใช้ได้ ….. ยังไง ???? …. ต้องรอดูใน Episode-II ภาคจบ ครับ

Matt : “ถ้าคุณ AlGhuraba พยายามที่จะเรียกสิ่งที่ผม นำมาจากอัลกุรอาน และ มา กล่าวเตื่อน คุณ AlGhuraba ในที่ นี้ ว่า “ลัทธิอุบาท” แล้ว ผมอยาก จะทราบว่า “หนังสือที่คุณ AlGhuraba กำลังใช้เป็นหลัก ปฏิบัติ นอกเหนือ ไปจาก “อัลกุรอาน” นั้น ได้รับ “อณุมัติ” จากท่าน รอซูล และ “อัลลอฮ์” หรือไม่? และมาจาก ลัทธิใด? ”

หามิได้ครับ …. อัน ลัทธิอุบาทว์ ที่ว่านั้น ผมหมายถึงสิ่งที่คุณและพรรคพวก “ได้รับวะฮีย์” มาต่างหากครับ
ส่วนที่ว่า “ได้รับ “อณุมัติ” จากท่าน รอซูล และ “อัลลอฮ์” หรือไม่?” ….คำตอบเหมือนข้างบนครับ …. Episode-II ที่นี่ เร็วๆนี้ แต่ยังไม่มีใครทำเป็นรูปแบบ VCD - DVD นะ จะบอกให้

Matt : “แต่การที่ผม ตำหนิและสงสัยในความไม่ เที่ยงแท้ ของการจด บันทึก ของ “บุคอรีนั้น” ไม่มี บัญญํติ อยู่ ใน อัลกุรอาน บังคับว่า “จงเชื่อ เรื่อง บอกเล่า เกี่ยวกับท่านรอซูลที่เล่าหรือจดบันทึกโดย บุคอรีและอื่นๆ” ”

มั่นใจขนาดนั้นเชียวเหรอครับ ??? …. ก็ต้องรอดูใน Episode-II อีกนั่นแหละ

Matt : ““ที่สำคัญก็คืออย่าลืมว่า ณ เวลานั้นท่านนบียังไม่ ได้รับคำชี้แนะใดๆจากอัลลอฮฺให้เลือก ทางใดทางหนึ่งเป็นการ เฉพาะ ดังนั้นเราจะกล่าวว่าท่านละเมิดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ หรือทำอะไรตามอารมณ์จากการที่ท่านเลือก ข้างพวกสูงศักดิ์ แห่งกุร็อยช์แทนที่จะให้ความสนใจกับชายตาบอดเพียงคนเดียวนี้ได้อย่างไร ?”
คุณทราบได้อย่างไร? ผมว่าคุณเข้าใจเอาเอง เสียมากกว่า”


แล้วตรงไหนที่บอกว่า นบีได้รับวะฮีย์เรื่องนี้มาแล้ว แต่ยังฝืนทำอยู่ได้ล่ะครับ?

Matt : “คุณทราบได้อย่างไรว่า ท่าน รอซูลท่าน คิดเช่นนั้น นอกจากคุณ จะเดา เอาเอง?”

แล้วระหว่างคำอธิบายแบบนี้ กับความคิดที่ว่า ท่านนบีใช้อารมณ์ …. คุณว่าแบบไหนคือการให้เกียรติท่านนบีมากกว่ากันครับ
ถ้าจำไม่ผิด..ท่านอะลีเคยบอกว่า อย่าไปสนใจว่าใครเป็นคนพูด แต่ให้สนใจในสิ่งที่เขาพูดว่ามันถูกหรือผิด
ผมเคยกล่าวหลายครั้งหลายหนแล้วว่า การศึกษาศาสนา ต้องทำใจ มองตัวบทด้วยทัศนคติที่ดี มิใช่สอดส่องหาช่องโหว่แบบ “ทนายชั่วๆ” บางคน บางทีหาไม่เจอยัง “ไช” ให้มันโหว่ให้ได้ ก็มี จิงมะ?

Matt : คุณทราบได้อย่างไร ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ทรงลองใจ หรือ ทดลองใจท่าน รอซูล?

เอ…ตรงไหนเอ่ย ที่ผมบอกอย่างงั้น???
มีแต่ผมบอกว่า …. “อัลลอฮฺทรงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเพื่อที่จะวางแบบแผน แนวทาง การปฏิบัติแก่ประชาชาตินี้ในการเผยแผ่สาส์นของพระองค์”

matt : สำหรับผม ผมมี ความนับถือผู้ที่ขาดความรู้ในเรื่องใดแล้วยอมรับเพื่อที่เขาจะได้ เปิด ประตูสมอง ให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ในเรื่องนั้น แต่ผู้ที่ พยายามปฎิเสธและหลอกตัวเอง ในสิ่ง ที่ตัวเองขาดความรู้แล้ว และแก้ตัวต่างๆนาๆ แม้แต่เพียง เรื่อง เล็ก น้อย เพียง นิด เดียว ก็อาจจะนำ ความ ไม่เชื่อถือ ไป ถึง เรื่อง อื่นๆ อีกได้

ผมก็…เช่นกันครับ
แปลกเนอะ ทำไมความคิดเราสองคนเหมือนกันเป๊ะเลย แต่ขณะเดียวกันก็ เข้าใจต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว

matt : แต่คุณ AlGhuraba นอกจาก จะแสดงตัวว่า มีความรู้ทางศาสนา อย่าง หาตัวจับยากแล้ว คุณยัง ไม่แสดงหรือ ปฏิบัติ ตัว ตามซุนนะห์ ของ ท่าน รอซูล ให้ผมได้ประจักษ์เลย คือคุณ ขาด ความถ่อมตัว และ ความสุขุม

ใส่ไข่มากไปหน่อยอ๊ะป่าวคับ …. ย้อนกลับไปอ่านมาใหม่ตั้งแต่ต้นกระทู้เลยนะครับ ทั้งหมดที่ผมเขียนมา ผมได้เรียนให้สมาชิกทุกท่านช่วยตรวจสอบ ชี้แนะ และแก้ไขให้ถูกต้องมาโดยตลอด…. ถ้ามี …เพราะผมก็เป็นเพียงผู้ที่ค้นคว้าหามาฝากจากผู้รู้ท่านอื่นๆเท่านั้น และด้วยความเป็นปุถุชนคนธรรมดาก็ย่อมมีผิดมีพลาด ตกหล่น หรือแม้แต่ความเข้าใจบางอย่างที่ไม่ถูกต้องได้เหมือนกัน ซึ่งผมก็ยินดีให้ท้วงติง มิใช่เพื่อผมเพียงเท่านั้น แต่เพื่อพี่น้องร่วมกระดานท่านอื่นๆจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องไปพร้อมกับผมด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อประมวลข้อมูลที่นำเสนอจากทุกฝ่ายแล้ว เป็นหน้าที่ของแต่ละท่านที่จะต้องพิจารณาตัดสินใจเอาเองว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ
สำหรับเรื่อง ความสุขุม รวมทั้งกิริยามารยาท….อันนี้ต้องขอยอมรับโดยดีครับ ผมด้อยในเรื่องนี้ไป(เยอะ…แหะๆ) แต่ ผมก็มีเหตุผลอะไรบางอย่างที่อาจานแมทท์ไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับที่อาจานมีเหตุผล(ในการเถียงหัวชนกะลา)ของทั่นที่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ก็จะพยายามปรับปรุงครับ ….. ขอบคุณที่ชี้แนะครับผม

matt : ทุกอย่างที่คุณอ้าง คุณกล่าว คุณตีความหมาย เอา เอง และ สรุปเอาเอง เอง “สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ “พยายาม เอาความคิดของตัวเอง โยนให้เป็นความคิด ของผู้อื่น, อย่างที่คุณพยายามที่ จะปรักปรำผม ว่านำ “ลัทธิอุบาท” มาทำลายอิสลาม, คุณ ควรเข้าใจ ให้แน่ชัดว่า “ศาสนาอิสลาม” ไม่ใช่ “ลัทธิ” ไม่ใช่ “Cult”

ก็ไม่ว่ากันครับ …. คุณจะนิยามสิ่งที่คุณนำมาว่าอย่างไร จะอาศัยชื่อ ศาสนา ลัทธิ ระบอบ แนวทาง ไหนฯลฯ หรือเอาอะไรมาสวมกำบังกายก็ทำไปเถิดครับ แต่เราทราบดีว่าเนื้อในนั้นคืออะไร คุณก็จงทำไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเถิดครับ ผมเองก็จะพยายามทำหน้าที่ของผมอย่างเต็มที่เช่นกัน และเราเชื่อมั่นเสมอว่า อัลลอฮจะทรงพิทักษ์ปกป้องศาสนาของพระองค์และทำลายพวกมุจญ์ริมให้ราบคาบลงอย่างแน่นอน….อินชาอัลลอฮฺ

ขอเรียนเพิ่มเติมอีกนิดว่า การที่อาจานพยายามย้ำนักย้ำหนาว่า นบีคือ.... จะใช้คำว่า มนุษย์ สามัญชน ปุถุชน ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที เราทุกคนตระหนักดีในเรื่องนั้นครับ แต่นั่นมิใช่จุดที่จะนำมาเป็นเหตุผลให้ปฏิเสธคำสอนและแบบอย่างที่ท่านนบีสั่งสอนไว้ ความผิด ความพลาด ความพลั้งเผลอ หรือลักษณะต่างๆอันเป็นวิสัยของมนุษย์ทั่วไปนั้นก็มีอยู่ในตัวท่านนบีเช่นกัน แต่ท่านสามารถควบคุมมันได้ ยิ่งกว่านั้น อัลลอฮฺ ครับ...อัลลอฮฺทรงปกป้องคุ้มครองท่านนบีในเรื่องนั้นๆอีกชั้นหนึ่ง ที่เราเรียกว่า ท่านเป็น อัลมะอฺศูม ในความผิด พลาด พลั้งเผลอใดๆของท่านนบีนั้นอัลลอฮฺมิได้ทรงเพิกเฉย แต่อัลลอฮฺจะทรงแก้ไขให้ถูกต้องทุกๆเรื่อง คือสุดท้ายแล้วจะต้องมีบทสรุปที่ถูกต้องตามมาเสมอ ไม่ทรงปล่อยให้เลยตามเลย อย่างความผิดพลาด พลั้งเผลอของเราๆทุกวันนี้ ซึ่งไม่ว่าจะผิดเล็ก ผิดใหญ่ ผิดน้อย ผิดมากอย่างไร เราต้องไปเทียบเอาเองจากมาตรฐานที่ท่านนบีวางให้แล้วนั้นทั้งหมด ไม่มีใครได้รับวะฮีย์ลงมาบอกว่า ตรงนั้นผิด ตรงนี้ถูกอย่างที่ท่านนบีได้รับอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นใครที่เขานอบน้อมยอมรับคำสอน และแก้ไขปรับปรุงแต่โดยดี อัลลอฮฺทรงยินดีที่จะอภัยโทษให้เขาเสมอครับ แต่ใครที่มัน ดื้อด้านดันทุรังนี่สิ มนุษย์หน้าไหนก็ช่วยเหลืออะไรมันไม่ได้หรอกครับ

ดังนั้นสุดท้ายนี้ขอสรุปคำตอบต่อความไม่เข้าใจทั้งหมดในเรื่องนี้ของอาจานด้วยข้อความที่กล่าวไปแล้วคราวก่อน ว่า….

ดังนั้น จะหยิบยกเรื่องไหนประเด็นใดมาอ้าง จึงต้องสืบสาวราวเรื่องมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเกิดขึ้นจากสาเหตุใด เรื่องราวดำเนินไปอย่างไร ท่านนบีปฏิบัติอย่างไร อัลลอฮฺทรงชี้แนะอย่างไร แล้วบทสรุปของเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร

ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว .. เมื่ออาจานเข้ามาคุยกันต่อ ผมก็จะยกเวทีคืนให้ครับ แม้จะยังไม่จบ episode-VII ก็จะพักไว้แค่นี้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการขัดจังหวะทั่นอาจานที่จะบรรยายเรื่องราวอันเป็นเนื้อหาสาระที่คั่งค้างไว้เป็นปีนั้นต่อให้จบเสียที ..... ขอย้ำนะครับ ว่า กรุณาบรรยายให้ตรงประเด็นด้วย ไม่ใช้พยายามขุดคุ้ยเรื่องใหม่ขึ้นมาเลี่ยงมาหลบประเด็นเก่าๆ

ที่แอบไปตอบไว้ในกระทู้อื่น ก็กรุณาดึงกลับมาตรงนี้เถิดครับ ทำอะไรให้มันถูกที่ถูกทางหน่อยดิ คนดูจะได้ไม่ต้องวิ่งรอกตามอาจานไปด้วย และกรุณาตอบอย่างมี "พัฒนาการ" ด้วยนะครับ ไม่ใช่ย่ำอยู่ที่เก่าทั้งปีทั้งชาติ อย่างเรื่อง 5 เวลาละหมาดที่เอาไปลงไว้ใน "ทางสายกลาง" นั่นก็ยังไม่เห็นมีอะไร "กระดื้บ" คืบหน้าไปแม้แต่ไมครอนเดียวเลย หรือเรื่องการละหมาดเริ่มต้นที่นบีอิบรอฮีมก็เช่นกัน เหมือนไม่ใส่ใจในการเสวนา ว่าใครเขาอ้าง เขาอิงเรื่องนั้นๆกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว...ทำเช่นนี้นอกจากเสียมารยาทแล้ว ยังเสีย "รังวัด" ด้วยนะครับ....ถ้าไม่เข้าใจ ถามได้นะครับ ว่าเสียรังวัด แปลว่าอะหยัง!

ถ้าก้าวตามโลกไม่ทันบอกได้นะครับ ยินดีบริการ ยกคำค้านกลับมาให้ทัศนากันใหม่ได้ทุกเมื่อ...เอ้า สรุปให้สะกิดใจอีกทีก็ได้ว่า....
5 เวลา......ผมค้านว่า ผมหาตามวิธีการของอาจานได้ตั้งโหล 12 เวลา จะหากันจริงๆ ผมว่ามีมากกว่านั้นแน่
ละหมาดของนบีอิบรอฮีม.....ผมค้านไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยนบีอาดัม...อาจานจะว่าอย่างไร?

เหตุผลอย่างไร....ตัวบทอย่างไร ..... มีอยู่ในกระทู้นี้ทั้งหมด หาดูได้ครับ
เชิญอาจานตอบครับ !
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Jul 13, 2005 4:25 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


เรียน คุณ Dabdulla

ผมต้องขออภัย ด้วยที่ ตอบคำถามของคุณ ผิดห้องไป คุณถามผมในห้องนี้ ผมนำคำตอบ ไปตอบ ไว้ใน ห้องดนตรี เพราะ คิด ว่า มันสมควรจะอยู่ที่นั้น แต่เกรงว่า จะ ผิด มรรยาท จึงจำเป็นต้องนำมา ตอบที่นี้ อีกครั้ง,


นี่คือคำถามของคุณ:


“ที่คุณแมทท์กล่าวถึงคุณAlqhuraba ตามด้านล่าง

" ทุกอย่างที่คุณอ้าง คุณกล่าว คุณตีความหมาย เอา เอง และ สรุปเอาเอง เอง “สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ “พยายาม เอาความคิดของตัวเอง โยนให้เป็นความคิด ของผู้อื่น, อย่างที่คุณพยายามที่ จะปรักปรำผม ว่านำ “ลัทธิอุบาท” มาทำลายอิสลาม, คุณ ควรเข้าใจ ให้แน่ชัดว่า “ศาสนาอิสลาม” ไม่ใช่ “ลัทธิ” ไม่ใช่ “Cult” ผมคิดว่า คุณ AlGhuraba คงเข้า ใจภาษาอังกฤษดีพอที่จะเข้าใจคำว่า “ Cult” ซึ่งหมายถึง "

ผมว่าประโยคนี้ ไม่น่าจะเป็นคุณ Alquaraba ครับ แต่น่าจะเป็นคุณมากกว่า คุณพูดถึงศาสนาอิสลาม แต่กลับพยายามบังคับให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่เวลาผู้รู้บังคับให้คุณเข้าใจภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการลงโองการ คุณกลับไม่เข้าใจ”


คำตอบมีดังต่อไปนี้ครับ....


อัสลามุอะลัยกุมครับคุณ dabdulla:

ผมต้องขออภัยทุกๆท่านด้วยที่ต้องกลับเข้ามาในเรื่องนี้อีก เพราะว่า คุณ dabdulla นำคำถามนี้ไป ปนอยู่ กับกระทู้ ข้ออื่น...

ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่อยาก จะ ตอบกระทู้ของคุณขัอนี้เลย เพราะ พาดพิง ไปถึง คุณ Alqhuraba และมันอยู่ไม่ตรง ที่ ๆ ควร จะ สนทนากันเรื่องนี้ ผมตั้งคำถามคุณไปหลายครั้ง คุณไม่เคยตอบผมสักครั้งเดียว ถ้าคุณจะช่วยผม ก็พยายามตอบคำถามผมซิครับ คุณตำหนิอย่างเดียว แต่ไม่มีคำอธิบาย ผมก็ถามไปตั้งหลายครั้งแล้ว ในเรื่อง คำแปล

ของซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน อายะที่ 14

خَلَقَ الْإِنسَانَ مِن صَلْصَالٍ كَالْفَخَّارِ

14. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากดินเหนียวมีเสียง เช่นเครื่องปั้นดินเผา”

อยากทราบว่า คำว่า “เสียง” ในอายะ ข้างบนนี้ ภาษาอรับ เขา ว่าอย่างไร?

(คำถามนี้สำคัญมากสำหรับผม ในเรื่องภาษา อรับ เพราะ ผมกำลังศึกษาอยู่ หวังว่าคุณคงช่วยผมได้)


ในเรื่องการเรียนรู้ ผมกับคุณ ต่างกันมาก ไม่เหมือนกัน หรอกครับ, เพราะว่า ก่อนที่ผมจะ เชื่อ หรือ ตามสิ่งใด จากผู้ใด ก็ตาม ผมต้องทราบว่า เขามีความรู้ในเรื่องนั้น อย่างแท้จริง หรือไม่ ? และ มีใจกว้างพอที่จะ ยอมรับว่า ผิด ในเมื่อ ผิด พลาดไป เพราะ เป็น ธรรมชาติ ของ มนุษย์ ที่สามารถที่จะ ยอมรับความผิดพลาด ถ้าผมอธิบายและคุณมีหลักฐานว่าคำอธิบายของ ผมผิด ผมก็ จะขอ อภัย และ แก้ไข และ เดินหน้า ต่อไป

คุณ dabdulla: ถามผม โดยยกตัวอย่างว่า:,

“เรื่องของดนตรี ที่คุณแมทท์ แปลว่า มลาอิกะห์ ร้องเพลง เล่นดนตรี เพราะในกุรอ่านแปลอังกฤษ คุณแมทท์ ไปเจอคำที่แปลเป็นเล่นดนตรี ซึ่งคุณ Alqhuraba ได้อธิบายคุณแมทท์ไป ในเมื่อคุณแมทท์ ยอมรับว่าไม่เก่งอาหรับ ซึ่งเป็นที่ลงของโองการอัลกุรอ่าน ไฉนคุณแมทท์ถึงกล้าฟันธงล่ะครับ ว่ามลาอิกะห์ ร้องเพลง”


ก่อน อื่น ผมต้องขออภัยคุณ Alqhuraba ด้วย ที่จำเป็นต้อง ตอบคุณ dabdulla อย่างตรงไปตรงมา, ข้างล่างนี้ คือคำ แปล ของ ผม ...

“ และเจ้าจะเห็นมะลาอิกะฮฺห้อมล้อมรอบ ๆ บังลังก์, ร้องเพลงสดุดีด้วยการ สรรเสริญ พระเจ้า ของพวกเขา, การตัดสินในระหว่างพวกเขา จะได้รับความยุติธรรมอย่างที่สุด, และเสียงแซ่ซ้องสดุดี ว่า, “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งสากลโลก”
(39:75)

Singing ในที่นี้คือ “ร้องเพลงสรรเสริญ สดุดี”

ก่อนที่ผมจะเอามาลงนี้ ผม เปรียบเทียบ จาก ภาษาอรับ โดยตรง ดังนี้.....
ประโยคที่ว่า,“يُسَبِّحُونَ بِحَمْدِ رَبِّهِمْ” อ่านว่า “ ยูสับบะหูนะบิฮัมดิร๊อบบะฮิม” มีความหมายจากภาษาอรับ ตรงตัวว่า “เหล่า มลาอิกะฮส่งเสียง(เป็นทำนอง)สดุดีสรรเสริญ(อัลลอฮ)อย่างชื่นชม” (คือ มีความชื่นชมจนเป็นที่ปิติยินดีอย่างยิ่งเดินไปรอบๆบัลลังก์), “ยูสับบะหูนะบิฮัมดิร๊อบบะฮิม” คือการสรรเสริญที่เป็นทำนองสดุดี


ตามที่คุณ Alqhuraba อธิบาย ข้างล่างนี่ คุณลองอ่านให้เข้าใจอีกครั้ง

“ภาษาอรับก็คือ “ยุสับบิหูนะ บิหัมดิ ร็อบบิฮิม” ที่เรารู้จักกันว่า ตัสเบียะห์ นั่นละครับ ….มันแปลว่า ร้องเพลง ซะเมื่อไหร่….แต่เค้าใช้คำนั้นเพราะพยายามสื่อในภาษาอังกฤษว่า มลาอิกะฮสดุดีสรรเสริญอัลลอฮด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไพเราะ สุขุมเยือกเย็น สุภาพ และให้เกียรติ”


จากประโยคข้างบนนี้ ที่ว่า, “มลาอิกะฮสดุดีสรรเสริญอัลลอฮด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไพเราะ สุขุมเยือกเย็น สุภาพ และให้เกียรติ”, คำ "วลี" ที่ว่า “น้ำเสียงที่นุ่มนวล ไพเราะ สุขุมเยือกเย็น สุภาพ และให้เกียรติ” นั้น ความหมายในภาษาไทยอาจจะหมายถึง บทกลอน หรือ เสียงเพลง ในที่นี้ หมายถึง “ การสรรเสริญพระบารมีเป็นทำนอง” เป็นการอธิบายที ผู้อธิบายพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “ส่งเสียง สดุ ดีสรรเสริญ เป็นทำนองไพเราะ”


ผมจะอธิบาย ความหมายและสำนวนภาษาอังกฤษ ที่ใช้ ใน ที่นี้ เสียก่อน

“يُسَبِّحُونَ بِحَمْدِ رَبِّهِمْ” “ยูสับบะหูนะบิฮัมดิร๊อบบะฮิม” ถ้าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้ว ง่าย กว่า ภาษาไทย เพราะ มี คำศัพท์เฉพาะ ตัว ที่ ใช้ เกี่ยว กับ “ พระเจ้า” ถ้าแปลตรงตัวก็ จะออกมาใน รูปนี้ “They praise praise raised them”, แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรเล่า? เพราะ มันไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์, มัน มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า “Through praise and worship(GOD) their hearts were raised into the joyous” หรือ หมายความเป็นไทยว่า “จากการสดุดีสรรเสริญด้วยความสักการบูชา(พระเจ้า)ทำให้หัวใจ ของ พวกเขาถึงระดับที่ เบิกบาน, มีความสุขยิ่ง”

เขาเหล่านั้น(มาลาอิกะห์) สักการะบูชาสดุดีสรรเสริญ ยกย่องพระเจ้าเป็นทำนอง


ความ หมาย ของ คำว่า “Praise” ในภาษาอังกฤษ เมื่อใช้ ในสำนวน ที่ใช้ ใน คัมภีร์ แล้ว มีความหมาย เช่นเดียว กับคำว่า “glorify” คือ to extol the Creator; worship, particularly worship by song, distinction from prayer and other acts of worship.


ความหมายเป็นภาษา ไทยว่า “การ สรรเสริญ (สดุดี, ยกย่อง, เยินยอ) พระองค์ผู้สร้าง, โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง การสักการบูชาด้วย เพลง ซึ่งแตกต่างจาก การสักการบูชา ตามปกติในรูปแบบอื่นๆ”


ดังนั้น คำว่า “glorify” และ คำว่า “ praise” และ คำว่า “hymn” จึงมีความหมาย เช่นเดียวกัน (หรือ ในทำนองเดียวกัน) คือ กลอนสวด, เพลงสวด และ เพลงสรรเสริญ หรือ “Sing” (“ร้องเพลง” ซึ่งเป็นภาษาพูดธรรมดา)


จากการแปลภาษาอังกฤษที่คุณ Alqhuraba นำมาแสดงต่อไปนี้...


PICKTHAL: And thou (O Muhammad) seest the angels thronging round the Throne, hymning the praises of their Lord. And they are judged aright. And it is said: Praise be to Allah, the Lord of the Worlds!

SHAKIR: And you shall see the angels going round about the throne glorifying the praise of their Lord; and judgment shall be given between them with justice, and it shall be said: All praise is due to Allah, the Lord of the worlds.

AlHilali & Muhsin Khan : And you will see the angels surrounding the throne of Allah from al round, glorifying the praise of their Lord (Allah); and they(all the creatures) will be judged with truth, and it will be said: All the praises and thanks be to Allah, the Lord of the ‘Alamin (mankind, jinns, and all that exists).

Abdul Aziz Kamal : And you will see the angels circling around the throne glorifying their Lord with His praises; and the people shall be judged with full justice, and it will be proclaimed : Praise is for Allah, Lord of the worlds!

Yusufali : And thou wilt see the angels surrounding the Throne (Divine) on all sides, singing Glory and Praise to their Lord. The Decision between them (at Judgment) will be in (perfect) justice, and the cry (on all sides) will be, "Praise be to Allah, the Lord of the Worlds!"



คุณ Alqhuraba อธิบายต่อไปอีกว่า:


เห็นมั้ยครับ เจ้าอื่นเค้าใช้ hymn กับ glorify กันเลยไม่ “ถูกใจ” ทั่น นี่ถ้าจะให้ vote ก็แพ้ตั้งแต่ยกแรกแล้ว แต่กุรอานนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมา vote กัน เพราะฉะนั้นต้องดูที่ความหมายที่แท้จริง

ขออนุญาต สอนภาษาอังกฤษ ด็อกฯ ทั่นหน่อยเถอะนะครับ อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย เพราะทั่น…ระดับ ด็อกฯ แล้วนาเนี่ย… แปล sing ตัวนี้ว่า “ร้องเพลง” เฉยเลย ????

ภาษาอรับก็คือ “ยุสับบิหูนะ บิหัมดิ ร็อบบิฮิม” ที่เรารู้จักกันว่า ตัสเบียะห์ นั่นละครับ ….มันแปลว่า ร้องเพลง ซะเมื่อไหร่….แต่เค้าใช้คำนั้นเพราะพยายามสื่อในภาษาอังกฤษว่า มลาอิกะฮสดุดีสรรเสริญอัลลอฮด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไพเราะ สุขุมเยือกเย็น สุภาพ และให้เกียรติ....


สำหรับความเข้าใจของผม


ประโยคที่ว่า,“يُسَبِّحُونَ بِحَمْدِ رَبِّهِمْ” อ่านว่า “ ยูสับบะหูนะบิฮัมดิร๊อบบะฮิม” มีความหมายจากภาษาอรับ ตรงตัวว่า “เหล่ามลาอิกะฮส่งเสียง(เป็นทำนอง)สดุดีสรรเสริญ(อัลลอฮอย่างชื่นชม)” คือ มีความชื่นชมจนเป็นที่ปิติยินดีอย่างยิ่ง


ลองมาดูผู้เชี่ยวชาญ เขา แปลเป็นภาษา English อย่างไร?

เนื่องจาก คำว่า “glorify” และ คำว่า “ praise” และ คำว่า “hymn” และ คำว่า “Sing” ในการใช้ ตรงนี้ ในการสดุดีและสรรเสริญ พระเจ้า ทั้ง สี่ คำนี้ มีความหมาย เช่นเดียวกัน (หรือ ในทำนองเดียวกัน) คือ กลอนสวด, เพลงสวด และ เพลงสรรเสริญ เมื่อใช้ในการสดุดี พระองค์ผู้สร้าง เมื่อแปลเป็นไทยจึง แปลได้ดังนี้...


1. PICKTHAL: “ hymning the praises of their Lord” แปลเป็นไทย ว่า, “ สดุดีพระเจ้าของเขาเป็นทำนองเพลง” หรือ “สักการะพระเจ้าของเขา(พระองค์อัลลอฮ์) ด้วย กลอนสวด (เพลงสวด, เพลงสรรเสริญ)”

2. YUSUFALI:, “singing Glory and Praise to their Lord” แปลเป็นไทย ว่า, “ร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระเจ้าของเขา(พระองค์อัลลอฮ์)”

3. SHAKIR:, “glorifying the praise of their Lord”, แปลเป็นไทย ว่า, “สรรเสริญพระเจ้าของเขา(พระองค์อัลลอฮ์)เป็นทำนองเพลง”

4. ALHILALI & MUHSIN KHAN:, “glorifying the praise of their Lord (Allah);” แปลเป็นไทย ว่า, “สรรเสริญพระเจ้าของเขา(พระองค์อัลลอฮ์)เป็นทำนองเพลง”

5. ABDUL AZIZ KAMAL:, “glorifying their Lord with His praises”, “สรรเสริญพระเจ้าของเขา(พระองค์อัลลอฮ์)เป็นทำนองเพลง”


ตามที่คุณ Alqhuraba อธิบาย ว่า:


เห็นมั้ยครับ เจ้าอื่นเค้าใช้ hymn กับ glorify กันเลยไม่ “ถูกใจ” ทั่น นี่ถ้าจะให้ vote ก็แพ้ตั้งแต่ยกแรกแล้ว แต่กุรอานนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมา vote กัน เพราะฉะนั้นต้องดูที่ความหมายที่แท้จริง

ขออนุญาต สอนภาษาอังกฤษ ด็อกฯ ทั่นหน่อยเถอะนะครับ อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย เพราะทั่น…ระดับ ด็อกฯ แล้วนาเนี่ย… แปล sing ตัวนี้ว่า “ร้องเพลง” เฉยเลย ????


เนื่องจากคุณ Alqhuraba ไม่เข้าใจ ความหมาย ของคำว่า “hymn” กับ “glorify” โดยเฉพาะ อย่าง ยิ่ง คำว่า “hymn” ซึ่งหมายถึง กลอนสวด, เพลงสวด, เพลงสรรเสริญ, ความเข้าใจ ผิดพลาด เช่นนี้ ย่อมเกิด กับผู้ใด ก็ได้ ดังนั้น ผมจึง ไม่ อธิบาย รายละเอียด เมื่อเริ่มแรก เพราะ กระทู้ไม่ได้ อยู่ที่ การ จับผิดกันเรื่อง ภาษา และผมเอง ก็ไม่ต้องการ ที่จะให้กระทู้ออกนอกทางไปมากกว่า ที่เป็นอยู่ แต่สำหรับคราวนี้ ผมไม่ต้องการให้ คุณ dabdulla เข้าใจ ผม ผิด และอยากให้คุณทราบว่า ทำไมผมจึงไม่ เชื่อการแปล และคำอธิบาย ของ คุณ Alqhuraba , เพราะ ว่า การ แปลอัลกุรอานนั้น ไม่ใช่แปลเอา “ถูกใจ”…แต่ต้องแปลให้ “ถูกต้อง”


อีกประการหนึ่ง ท่านผู้เชี่ยวชาญ ในการแปล เป็นภาษาอังกฤษเหล่านั้น , ท่านเหล่านั้นไม่ได้พยายามที่จะสื่อในภาษาอังกฤษว่า มลาอิกะฮสดุดีสรรเสริญอัลลอฮด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไพเราะ สุขุมเยือกเย็น สุภาพ และให้เกียรติ อะไรหรอกครับ, แต่เป็นเพราะว่า คุณ Alqhuraba ไม่เข้าใจ สำนวนภาษาอังกฤษตามที่ผมอธิบายมาแล้วตอนต้น



ขอสรุปด้วย คำกล่าวที่ว่า:

“การร้องเพลงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำพูดที่เป็นทำนอง ถ้าหากถ้อยคำเหล่านี้ดี การร้องเพลงก็ถือว่าเป็นสิ่งดี แต่ถ้าหากถ้อยคำของมันไม่ดี การร้องเพลงเช่นนั้นก็ถือเป็นสิ่งไม่ดี การพูดที่มีเนื้อหาเป็นที่ต้องห้ามก็เป็นสิ่งต้องห้าม จะเป็นอะไรถ้าหากว่าการพูดนั้นเป็นจังหวะและเป็นทำนอง ?”


เชค ยูซุฟ ก็อรฎอวี ผู้วินิจฉัยปัญหาศาสนาของกาตาร์
แปลโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน




แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Jul 14, 2005 12:52 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เรื่องความหมายของ”คำ”ที่อาจานแมทท์พยายามหยิบยกมาอ้างในการตีความนอกลู่นอกทางเพื่อจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงประเด็นละหมาดที่ผมพยายามชัก ลาก กระชาก ฉุด ให้เข้ามาอยู่ในกรอบของการเสวนานั้น ผมคงไม่มีความเห็นอื่นใดเพิ่มเติมจากที่ได้กล่าวไปแล้วในกระทู้ “เพลง” หรอกครับ นอกจากจะขอฝากไว้ให้พิจารณาสัก 3-4 อายะฮฺ ว่าตัวบทศาสนานั้น ใช้ภาษาใดเป็นแม่บทกันแน่ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

إِنَّا أَنْزَلْنَاهُ قُرْآنًا عَرَبِيًّا لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ

وَكَذَلِكَ أَنْزَلْنَاهُ حُكْمًا عَرَبِيًّا

بِلِسَانٍ عَرَبِيٍّ مُبِينٍ

كِتَابٌ فُصِّلَتْ آيَاتُهُ قُرْآنًا عَرَبِيًّا لِقَوْمٍ يَعْلَمُونَ


12: 2. แท้จริงพวกเราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาเป็นภาษาอาหรับ เพื่อพวกเจ้าจะใช้ปัญญาคิด
13: 37. และในทำนองนั้น เราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาไว้เป็นข้อชี้ขาดที่เป็นภาษาอาหรับ
26:195. (อัลกุรอานนี้ถูกประทานลงมา)เป็นภาษาอาหรับอันชัดแจ้ง
41:3. คัมภีร์ซึ่งอายาตทั้งหลายได้ให้คำอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นอัลกุรอานภาษาอาหรับสำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้


ภาษาอรับครับผม...ชัดเจนด้วย! เพราะไม่มีภาษาใดในโลกที่จะให้ความลึกซึ้งในอรรถรสถ้อยคำและความหมายได้เทียบเท่าภาษาแห่งอัลกุรอานภาษานี้ การแปลอัลกุรอานออกไปเป็นภาษาอื่นจึงไม่มีทางที่จะครอบคลุมกินความได้เท่ากับความหมาย นัยยะที่แฝงอยู่ในภาษาอรับเป็นอันขาด การอ้างถึง “ท่านผู้เชี่ยวชาญในการแปลเป็นภาษาอังกฤษ” มันไม่ได้ช่วยให้การ ตัสเบียะห์ กลายเป็นการร้องเพลงไปได้หรอกครับ ถ้อยคำต่างๆที่เขานำมาใช้นั้น มันเป็นเพียงคำที่มีความหมายเฉียดหรือใกล้เคียงเท่านั้น ไม่ได้แปลว่า มันคืออย่างนั้นตรงๆ

HYMN :
[n] a song of praise (to God or to a saint or to a nation)
[v] praise by singing a hymn; "They hymned their love of God"
[v] sing a hymn

GLORIFY :
[v] bestow glory upon; "The victory over the enemy glorified the Republic"
[v] cause to seem more splendid; "You are glorifying a rather mediocre building"
[v] elevate or idealize, in allusion to Christ's transfiguration
[v] praise, glorify, or honor; "extol the virtues of one's children"; "glorify one's spouse's cooking"

SING :
v] divulge information or secrets; spill the beans; "Be careful--his secretary talks"
[v] make a whining, ringing, or whistling sound; "the kettle was singing"; "the bullet sang past his ear"
[v] to make melodious sounds; "The nightingale was singing"
[v] produce musical tones with the voice; "She was singing while she was cooking"; "My brother sings very well"
[v] deliver by singing; "Sing Christmas carols"

SONG :
[n] the act of singing; "with a shout and a song they marched up to the gates"
[n] the characteristic sound produced by a bird; "a bird will not learn its song unless it hears it at an early age"
[n] a short musical composition with words; "a successful musical must have at least three good songs"
[n] a distinctive or characteristic sound; "the song of bullets was in the air"; "the song of the wind"; "the wheels sang their song as the train rocketed ahead"
[n] the imperial dynasty of China from 960 to 1279; noted for art and literature and philosophy
[n] a very small sum; "he bought it for a song"

แล้วไม่ลากต่อไปเป็น pop, folk, country, blue, jazz ไปจนกลายเป็น rock…. Hard rock …. Underground ล่ะครับ... อีกไม่ไกลเลย ก็จะถึง hardcore แล้ว...ทีนี้ก็ มัน...ละ!...จะได้ไถลไปเป็นอะไรที่มันสับปะดี้ สีปะดน พิลึกพิเรนต่อไปอีก.....นะอูซุบิลลาฮฺ

ผมไม่มีเจตนาที่จะมาถกเรื่องเพลงที่นี่ ดังนั้นจึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้ เพราะประเด็นสำคัญของเราตรงนี้มันถูกชักลากเบี่ยงเบนออกไปทางโน้นที ทางนี้ทีมาปีกว่าแล้ว เราก็ยังไม่ได้อะไรคืบหน้าเลยในเรื่องหลักฐานการละหมาดที่อาจานยืนยันหนักแน่นว่ามีอยู่ในอัลกุรอาน

กรุณาละอายใจบ้างเถิดครับ อาจาน! การยอมรับความจริงนั้นมันไม่ได้ทำให้ใครเสียเกียรติหรือต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อย
..... มีก็บอกว่า “มี” แล้วนำหลักฐานนั้นมา
.....ไม่มี ก็ยอมรับกันตรงๆว่า “ไม่มี” เราก็คงไม่คาดคั้นเอาความอะไรกันต่อไปอีก

ผมได้พยายามขมวดปมให้รวบรัด กระชับ และดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอนมาโดยตลอด แต่อาจานก็พยายามทำให้ประเด็นของเราไขว้ไปไขว้มาตาม “โอวาท” ทั่นนายกที่บอกว่า “ลิงเล่นแห”

เรามาค่อยๆเรียนรู้ ทำความเข้าใจกันดีกว่าอัลลอฮฺทรงมีบัญญัติให้เราอิบาดะฮฺต่อพระองค์อย่างไร เริ่มก้าวแรกกันให้ได้ซะก่อน เพื่อจะได้มีก้าวที่สอง ที่สาม ..... ตามมา นะครับ.....Please!

ขอจบตรงนี้ไว้ด้วยข้อความเดิมจากคราวก่อนครับ....กันลืม...กันเลี่ยง!

5 เวลา......ผมค้านว่า ผมหาตามวิธีการของอาจานได้ตั้งโหล 12 เวลา จะหากันจริงๆ ผมว่ามีมากกว่านั้นแน่
ละหมาดของนบีอิบรอฮีม.....ผมค้านไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยนบีอาดัม...อาจานจะว่าอย่างไร?

เหตุผลอย่างไร....ตัวบทอย่างไร ..... มีอยู่ในกระทู้นี้ทั้งหมด หาดูได้ครับ
เชิญอาจานตอบครับ !
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Jul 20, 2005 4:08 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


ถ้าคุณว่า...

5 เวลา......ผมค้านว่า ผมหาตามวิธีการของอาจานได้ตั้งโหล 12 เวลา จะหากันจริงๆ ผมว่ามีมากกว่านั้นแน่
ละหมาดของนบีอิบรอฮีม.....ผมค้านไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยนบีอาดัม...อาจานจะว่าอย่างไร?

เหตุผลอย่างไร....ตัวบทอย่างไร ..... มีอยู่ในกระทู้นี้ทั้งหมด หาดูได้ครับ
เชิญอาจานตอบครับ !


.........

ผมไม่มีอะไรจะคัดค้านหรอกครับ เพราะ จำได้ว่าเราเคยคุณ กันครั้งหนึ่ง เมื่อคุณเคย บรรยาย ฮะดีษ เรื่อง "พระองค์อัลลอฮ์ สร้างนบีอดัมมาในรูปร่างลักษณะของพระองค์" และผมได้หมดศรัทธาในความรู้และความเข้าใจในศาสนาอิสลามของคุณไปครั้งหนึ่งแล้ว

เนื่องจากคุณเสนอมาว่าคุณรู้เรื่องการละหมาดในอัลกุรอานมากกว่าที่ผมทราบ ผมขอ ให้คุณช่วยหาเรื่องการละหมาดใน อัลกุรอาน ให้ผมด้วย เพื่อ ที่คุณจะได้ทราบ ว่า การละหมาด ที่เราปฏิบัติกันนี้ ถ้า ไม่ มี อะหะดีษ เราก็ยังคงปฏิบัติ ต่อ กันมา ได้ ตามที่ผมอธิบายไปแล้ว ผมว่าคุณเริ่มต้นด้วยปัญญาแล้ว ที่ พบว่า มี การ บอก เวลา ละหมาด มากกว่า5เวลา เพื่อที่คุณจะได้ เข้า ใจ ถึงความสมบูรณื ของอัลกุรอาน


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Jul 21, 2005 9:07 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เนื่องจากคุณเสนอมาว่าคุณรู้เรื่องการละหมาดในอัลกุรอานมากกว่าที่ผมทราบ ผมขอ ให้คุณช่วยหาเรื่องการละหมาดใน อัลกุรอาน ให้ผมด้วย เพื่อ ที่คุณจะได้ทราบ ว่า การละหมาด ที่เราปฏิบัติกันนี้ ถ้า ไม่ มี อะหะดีษ เราก็ยังคงปฏิบัติ ต่อ กันมา ได้ ตามที่ผมอธิบายไปแล้ว ผมว่าคุณเริ่มต้นด้วยปัญญาแล้ว ที่ พบว่า มี การ บอก เวลา ละหมาด มากกว่า5เวลา เพื่อที่คุณจะได้ เข้า ใจ ถึงความสมบูรณื ของอัลกุรอาน (matt : ตอบ: Wed Jul 20, 2005 4:08 am )
================

รู้สึกจะมีการเข้าใจอะไรผิดไปขนานใหญ่แล้วละครับ อาจาน
ผมไม่เคยอ้างว่า หรือแม้แต่ต้องการให้เข้าใจว่า.... ผมรู้มากกว่าอาจาน(ในสิ่งที่อาจานรู้) หรือ อาจานรู้มากกว่าผม(ในสิ่งที่ผมรู้) เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ผมเสนอไปทั้งหมดเรื่องเวลาละหมาดนั้น ผมเพียงจะบอกว่า ด้วยหลักการศึกษาอัลกุรอานด้วยตัวเอง "ห้ามฟังใครทั้งนั้นแม้แต่นบี" อาจานบอกว่า ในกุรอานมีระบุเวลาละหมาดไว้ 5 เวลา ตามที่อ้างมา
ผมจึงใช้หลักการที่อาจานเสี้ยมสอนลองไปค้นดู ปรากฏว่า ผมหาได้ถึง 12 เวลา ซึ่งผมก็มิได้บอกว่าที่หามาได้ 12 เวลานั้น ถูกหรือผิดประการใด ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังไม่อาจยอมรับได้ว่า 5 เวลาของอาจานถูกหรือผิดเช่นกัน จนกว่า จะมีการระบุชัดเจนในอัลกุรอานทำนองว่า "แท้จริงการละหมาดสำหรับผู้ศรัทธานั้นมี 5 เวลา" หรืออะไรทำนองนี้

สิ่งที่ผมถามอาจานคือ อายะฮฺลักษณะดังกล่าวนั้นอยู่ตรงไหน หรือจะเป็นอายะฮฺอื่นใดก็ได้ที่บ่งบอก... ไม่ว่าจะชัดเจนหรือเป็นนัย...ให้สืบต่อได้ว่า อัลลอฮฺทรงกำหนดเวลาละหมาดไว้ให้ 5 เวลา แบบว่า...exactly five times a day!....not more or less! น่ะครับ เพื่อว่าเราจะได้ทำอิบาดะฮฺได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของพระองค์อัลลอฮฺ ไม่ผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรืออยู่ในการกระทำที่เป็นชิริก ตามที่อาจานปรักปรำอีกต่อไป

เพราะมากที่สุดและชัดเจนที่สุดที่ผมทราบคือ ท่านนบีบอกมาอย่างนั้น ทุกวันนี้ผมจึงละหมาด 5 เวลาตามนบีไปก่อน(กับสุนนะฮฺอีกเท่าที่ควรจะเป็น) แต่ในเมื่ออาจานยืนยันว่า เราจะเชื่อฟังนบีเช่นนั้นไม่ได้ มันเป็นชิริก แม้ตัวเลข "5" จะตรงกันก็ตาม แต่แหล่งที่มาแห่งความรู้นั้นมันคนละสาย จากอัลกุรอานคือจากอัลลอฮฺ แต่ถ้ามาจากนบี กลายเป็นชิริก เห็นมั้ยครับ เมื่อผิดเส้นทางมันจึงดำเนินกันไปต่างมิติ แม้จะรูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนกัน แต่อัลลอฮฺไม่ทรงรับการกระทำที่เป็นชิริก ผมจึงต้องอดทนรอคำชี้แจงจากอาจานเท่านั้น เพราะทั้งโลกนี้ไม่มีใครหาเจอเลยว่า อัลลอฮฺสั่งเรื่อง 5 เวลาละหมาดไว้ตรงไหนในอัลกุรอาน นอกจากอาจานแมทท์!

ไม่เข้าใจจริงๆครับที่อาจานบอกว่า "ผมว่าคุณเริ่มต้นด้วยปัญญาแล้ว ที่ พบว่า มี การ บอก เวลา ละหมาด มากกว่า5เวลา เพื่อที่คุณจะได้ เข้า ใจ ถึงความสมบูรณื ของอัลกุรอาน"

หมายความว่า ใครหาในอัลกุรอานได้กี่เวลาก็ให้ละหมาดไปตามนั้น....อย่างนั้นเหรอครับ?...นั่นคือความสมบูรณ์ของอัลกุรอานเหรอครับ?
มันจะเละตุ้มเปะ ไปกันใหญ่นะครับ อาจาน

โปรดเข้าใจว่า นี่คือ คำวิงวอนเพื่อขอความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ่องแท้จากอาจานแมทท์ หาใช่การอวดอ้างว่า รู้มาก-รู้น้อยแต่อย่างใดครับ

เรื่องจุดเริ่มต้นของการละหมาดก็เช่นกัน อาจานนั่งยัน นอนยันมาตลอดว่า เริ่มมาจากนบีอิบรอฮีม ในขณะที่ผมพบว่า มีมาตั้งแต่นบีอาดัมแล้วตามอายะฮฺต่างๆที่อ้างไปแต่ครั้งกระโน้น..... ผมเรียนขอคำชี้แนะครับ ว่ามันคลาดเคลื่อนตรงไหนอย่างไร?

ตามที่อาจานตอบมานั้น ดูเหมือนจะเป็นการเลี่ยงที่จะตอบอีกแล้วนะครับ อาจานต่างหากครับ ที่ต้องหาคำตอบให้ผม เพราะผม และเราทุกที่นี่ต่างยืนยันว่า เราไม่พบคำตอบเหล่านั้นอยู่ในอัลกุรอาน มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ นั่นคือ ทั่นอาจานแมทท์งัยครับ

อย่าลืมนะครับ ผมไม่ได้บอกว่า ใครผิดใครถูก เพราะเรากำลังมาศึกษาร่วมกัน เรากำลังถกกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยตัวบทและหลักฐาน สิ่งที่ผมนำมาคืออัลกุรอาน สิ่งที่อาจานนำมาก็คืออ้างว่าเป็นอัลกุรอานเช่นกัน.... จะเป็นไปได้อย่างไรครับที่อัลกุรอานจะขัดกันเอง เพียงแต่ผมไม่เข้าใจครับ ว่าจุดขัดแย้งนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แน่นอนครับ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิด....ช่วยกันหาหน่อยครับ ว่า มันเป็นไผ?

Regards!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sat Jul 23, 2005 7:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


เรียนคุณ AlGhuraba:


ในขฌะที่ผมกำลังหาเกี่ยวกับการละหมาด ในอัลกุรอาน ตั้งแต่สมัยท่าน นะบี อดัม ผมไปพบข้อความของซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน อายะที่ 14


خَلَقَ الْإِنسَانَ مِن صَلْصَالٍ كَالْفَخَّارِ


14. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากดินเหนียวมีเสียง เช่นเครื่องปั้นดินเผา”



เนื่องจากตามที่คุณอธิบายว่า ภาษาอรับเป็น ภาษาที่เข้าใจได้ยากสำหรับผู้มีความรู้น้อยในภาษาอรับเช่นผม และถ้าแปลจากภาษาอังกฤษ หรือภาษา อื่น ก็จะ ไม่ได้ความหมายที่แท้จริง , ผมอยากขอความกรุณา ให้ คุณ ช่วยอธิบาย ความหมายทางภาษา, ของการแปล ของ สมาคมนักเรียนเก่า อรับ ว่า “ในอายะนี้มีคำว่า “เสียง” หรือไม่ และถ้ามี ศัพท์ ภาษา อรับ คำใด ที่ แปลว่าเสียง และ มี “ฮะดีษ” หรือ “ตัฟซีร” ที่ใดที่ อธิบาย ความหมายของอายะนี้ มาในรูปนี้ หวังว่าคุณคงกรุณา ให้ความรู้ทางภาษา อรับ เพิ่มเติมแก่ผมด้วย


ผมถามคุณ “dabdulla” หลายครั้งแล้วก็ไม่มีใครอธิบายให้ผมทราบได้, ดังนั้นผมจึงขอความรู้จากคุณโดยตรง หวังว่าคงได้รับความกรุณา จากคุณ เพื่อจะได้ช่วยในการค้นคว้าของผมให้เร็วขึ้น


ผมไม่หนีหรือหลีกเลี่ยง ไปไหนหรอก จะคุยเรื่อง การละหมาดกับ คุณ ไปเรื่อยๆ แต่ ต้องการจะเข้าใจ ภาษา อรับ ให้ถูกต้อง หวังว่า คุณ คงจะ ช่วยผมได้


ขอขอบคุณมาล่วงหน้า ณ ที่นี้ด้วย


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Tue Jul 26, 2005 8:04 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

“เนื่องจากตามที่คุณอธิบายว่า ภาษาอรับเป็น ภาษาที่เข้าใจได้ยากสำหรับผู้มีความรู้น้อยในภาษาอรับเช่นผม” (matt : Sat Jul 23, 2005 7:59 pm )

ผมว่า ไม่ใช่ภาษาอรับหรอกครับ ที่เข้าใจยาก แต่ตัวอาจานแมทท์เองนั่นแหละที่เข้าใจอะไรยาก หรือจะกล่าวให้ถูกคือ พยายามที่จะ“ไม่เข้าใจ” ก็ขนาดภาษาไทยแท้ๆ ยังไม่ยอมเข้าใจเลย ผมบอกว่า “ไม่มีภาษาใดในโลกที่จะให้ความลึกซึ้งในอรรถรสถ้อยคำและความหมายได้เทียบเท่าภาษาแห่งอัลกุรอานภาษานี้” อาจานกลับเอาไปตีความซะว่า ภาษาอรับเข้าใจยาก...เฮ้อ ! อนาจใจแท้หนอ

คนเราจะรู้มาก-รู้น้อย มันไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่การเข้าใจเลย เศาะหาบะฮฺนบีไม่รู้เท่าไหร่ๆ ทั้งจน ทั้งไร้การศึกษา แต่....หัวใจ ครับ... พวกเขามีหัวใจที่นอบน้อม และเปิดใจที่จะยอมรับสัจธรรมความจริงที่ท่านนบีนำมา เพียงอายะฮฺเดียวจากอัลกุรอานก็ทำให้ดวงตาของพวกเขาเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ยินดีต่อพระเมตตาของอัลลอฮฺ หรือบางครั้งก็เป็นน้ำตาแห่งความยำเกรงต่อการลงโทษของพระองค์ ในขณะที่บรรดาชนชั้นสูงแห่งกุร็อยช์ ทั้งมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งการศึกษาสูงระดับด็อกฯ...เอ๊ะ ไม่ใช่สินะ มันคนละยุคกันนิ..อิ อิ! ….เอาเป็นว่า มีการศึกษาก็แล้วกัน ก็หัวใจอีกนั่นแหละครับ...มันดื้อ มันด้าน มันดันทุรัง สารพัดจะปลิ้นปล้อนตลบตะแลง ไม่ว่านบีจะอธิบายชี้แจงแยกแยะยังไง มันเป็นต้องหาเหตุ อ้างอย่างโน้น อย่างนี้ มาบ่ายเบี่ยง เลี่ยงประเด็นให้รอดไปวันๆอยู่เสมอ

เวลาผ่านไปเกือบ 1500 ปี ยุคนั้นมีคนดื้อด้านยังไง ยุคนี้ก็ยังมีให้เห็นอย่างนั้น!
ภาษาแห่งอัลกุรอานนั้นไม่ยากหรอกครับ สำหรับคนที่เขาเปิดใจยอมรับแสงสว่างจากอัลลอฮฺ

คัมภีร์ซึ่งอายาตทั้งหลายได้ให้คำอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นอัลกุรอานภาษาอาหรับสำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้

อัลลอฮฺทรงบอกว่า.... “สำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้” ไม่มีใครรู้มาแต่อ้อนแต่ออกหรอก ใช่มั้ยครับ แต่.... “ความรู้อาจเรียนทันกันหมด” วันนี้ไม่รู้ พรุ่งนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะรู้ได้ ถ้าเขาขวนขวาย มานะ พยายาม และที่สำคัญ มีใจที่จะเรียนรู้ ที่จะทำความเข้าใจ

เป็นการแจ้งข่าวดีและเป็นการตักเตือน แต่ส่วนมากของพวกเขาผินหลังให้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้ยิน
และพวกเขากล่าวว่า หัวใจของเราอยู่ในที่ปกปิดจากสิ่งที่พวกท่านเชิญชวนเราไปสู่สิ่งนั้น และในหูของเราก็หนวก และระหว่างเรากับท่านก็มีม่านกั้นอยู่ ดังนั้นท่านจงทำ (สิ่งที่ท่านพึงกระทำ ) เถิด สำหรับพวกเราก็จะทำ (ตามที่เราต้องการจะกระทำ)

(41:3-5)


นั่นคือคนประเภทดื้อด้าน ดันทุรัง .... ต่อให้ระดับนบีก็ไม่สามารถทำให้มันยอมรับได้ ถ้ามันปิดกั้นตัวเอง ทำเป็นไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น ดังนั้นเราจึงได้ยินคำว่า “เข้าใจยาก” จากมนุษย์ชนิดอย่างนี้งัยครับ

อาจานมาถามผมว่า “ขอความกรุณา ให้ คุณ ช่วยอธิบาย ความหมายทางภาษา, ของการแปล ของ สมาคมนักเรียนเก่า อรับ ว่า “ในอายะนี้มีคำว่า “เสียง” หรือไม่ และถ้ามี ศัพท์ ภาษา อรับ คำใด ที่ แปลว่าเสียง” ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ...แปลกใจจริงๆครับ

ผมเคยเข้าใจว่า คนระดับ ด็อกฯ นี่จะต้องมีวุฒิภาวะในการใช้ความคิดสติปัญญาเหนือใคร น่าจะมีความชาญฉลาดพอที่จะเลือกสรรได้ว่าจะหาแหล่งความรู้ คำอธิบายจากที่ไหน อย่างไร อย่างน้อยที่สุด ผมว่า อาจานน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “Put the right man on the right job”

อาจานมีปัญหากับคำแปลของสมาคมนักเรียนเก่าอรับ
แต่อาจานกลับเอาปัญหานั้นมาถามเด็กกะโปโลอย่างผม...มันจะได้เรื่องเหรอครับ...จาน?
ไอ้ผมเนี่ยนะ...ก็ไม่เคยไปร่ำไปเรียนเมืองนอกซักกะหน่อย เคยแต่เรียน...บ้านนอก...อ่ะครับ แถวๆชานกรุง ขอบๆพระนครนี่ละ

บางทีคนถูกถาม “อาจจะ” ไม่ได้รู้อะไรดีไปกว่าคนถามก็ได้นะครับ
ผมมันคนธรรมดาครับ ที่มีทั้งรู้ในบางเรื่อง และไม่รู้ในอีกหลายๆเรื่อง และผมก็กล้าหาญพอที่จะยืดอกยอมรับว่า เรื่องไหนผมรู้ เรื่องไหนผมไม่รู้
อาจานไม่เข้าใจว่า “เสียง” มันซ่อนอยู่ตรงไหนในคำว่า “صَلْصَالٍ”
ก็เหมือนที่ผมไม่เข้าใจว่า ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ มันแอบอยู่ตรงไหนในคำพวกนี้ .... Neigh, bray, meow, bark, cackle

อย่าหาว่าเด็กวอนสอนผู้ใหญ่เลยนะครับ...The right man ที่คู่ควรแก่ Job นั้น ควรจะเป็น สมาคมฯ นะครับ อาจานมีปัญหากับผลงานของสมาคมฯ ก็ควรไปถามหาความเข้าใจ ขอคำอธิบายจากสมาคมฯ จะได้คำตอบที่ชัดเจนและถูกต้อง ตรงตัวมากกว่าที่จะมาถามเด็กท้ายซอยอย่างผม หรือหอบปัญหาไปถามตาสี ตาสา ยายมา ยายมี ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยนะขอรับ...อาจาน
ความจริงที่นี่....อนุรักษ์มรดกอิสลาม.... ก็มีนักเรียนเก่าอรับอยู่เยอะนะครับ....ฝากถามต่อก็ได้ หรือถามอาจารย์ฟารีดก็ได้ ท่านก็หนึ่งในตองอู...เอ๊ย...ในนักเรียนเก่าอรับเหมือนกันครับ

เพราะฉะนั้น ก็เห็นจะต้องสำแดงความ ใสเจีย ด้วยนะครับ ที่ไม่อาจ ช่วยให้อาจานสำเร็จสมปรารถนาได้ เพราะผมมีเป้าหมายที่แน่วแน่ครับ
ซึ่งผมก็เข้าใจว่า อาจานเองก็มีเป้าหมายที่แน่วแน่เหมือนกัน แต่ “แน่” ของอาจาน กับ “แน่” ของผมน่ะ มันคนละแน่กันแหง๋ๆ .... เป้าของเรา มันจึงอยู่กันคนละทิศครับ

เป้าของผมวันนี้คือยังคงเส้นคงวาอยู่ที่
.... 5 เวลา มาจากไหน? ..... การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใด
ว่าแต่...เป้าอาจาน อยู่ไหนเอ่ย?
...อย่าบอกนะ ว่า “เปะ-ปะ”...อายเค้าอ่ะ
ค้นมาเป็นปีแล้วนะ... ละหมาดเนี่ย!

ปู้น...ปู้น....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nes
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: Mar 12, 2004
ตอบ: 80
ที่อยู่: bkk

ตอบตอบ: Wed Aug 03, 2005 6:28 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam ขอบคุณ AlGhuraba

เป้าของผมวันนี้คือยังคงเส้นคงวาอยู่ที่
.... 5 เวลา มาจากไหน? ..... การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใด
ว่าแต่...เป้าอาจาน อยู่ไหนเอ่ย?
...อย่าบอกนะ ว่า “เปะ-ปะ”...อายเค้าอ่ะ
ค้นมาเป็นปีแล้วนะ... ละหมาดเนี่ย!

ต่อให้อีก 10 ปี ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..

แต่..เอ..อาจานแมทแกละหมาดยังไงนะ เพราะยังหาวิธีไม่เจอ หรือยังไม่ได้ละหมาด

บ้าย..บาย..อาจานแมท..ปู้น...ปู้น....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sun Aug 21, 2005 8:08 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

السلام عليكم ورحمة الله
นานครั้งผมจะเข้ามาดูสักที เพราะว่าสนทนากันเยอะเหลือเกินไม่ไหวอ่าน เท่าที่ผมศึกษาลัทธิพวกที่นิยมอัลกุรอานโดยปฏิเสธซุนนะฮฺนั้น บางคนยอมรับในเรื่อง سنة عملية (คือซุนนะฮฺในเชิงของการกระทำไม่ใช่คำพูด) เช่นการวิธีการทำฮัจญฺ การทำละหมาด 5 เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน จึงเหมือนกับที่คุณแมทพูดเอาไว้เลยว่า ละหมาด 5 เวลานั้นเขาทำต่อๆ กันมา แต่เขาไม่ยอมบอกหรอกครับว่า เขายึดซุนนะฮฺในเชิงการกระทำ เพราะว่าจะไปขัดกับอุดมการณ์ของตั้งแต่ต้นที่ยึดเพียงอัลกุรอานเพียงอย่างไร พวกที่มีแนวคิดอย่างท่านแมทนั้น เขาสนทนากับผู้รู้กันมานานแล้ว เจอคำถามมากมาย เหมือนกับที่กำลังสนทนากันอยู่นี่แหละครับ จนทำให้บางคนของพวกที่มีแนวคิดแบบท่านแมทต้องยึดซุนนะฮฺในเชิงปฏิบัติ แต่ซุนนะฮฺในเชิงคำพูดนั้นเขาไม่เชื่อเพราะว่าคำพูดของมนุษย์นั้นไม่ได้รับการปกป้องจากความผิด
ถามท่านแมทว่า ท่านยอมรับซุนนะฮฺในเชิงปฏิบัติหรือไม่ ?
เรื่องอายะฮฺที่ 14 ของซูเราะฮฺอัรเราะหฺมาน และอัลเลาะฮฺทรงสร้างท่านนบีอาดัมในรูปของเขา ทำไมถึงไม่เคลียร์ให้กระจ่างครับ ?
_________
อัล-อัซฮะรีย์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 19 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.26 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ