อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[matt]

คุณ dabdulla..

ตามที่คุณ "ขอหลักฐานในอัลกุรอ่านว่า เราสามารถทำให้คนต่างศาสนิกเกิดความศรัทธาได้" นั้น ในอัลกุรอาน อธิบายวิธีการที่เราจะ อธิบายหลักการของอิสลามต่อ มุชริก อย่างไร พวกเขาจึงจะเกิดศรัทธา คุณลองอ่าน ใน ซูเราะห์ อัลบะเกาัะเราะห์ และ ซูเราะห์ อาระอิมรอน คงจะพบคำสอนที่อัลลออ์ ทรงแนะนำท่านรอซูล ถ้าผมจำไม่ผิด

อีกประการหนึ่ง ถ้าเรา "มุสลิม" ไม่สามารถที่ จะ ทำให้คนต่างศาสนิกเกิดความศรัทธา ต่ออิสลามได้ ปัจจุบัน คงไม่มีมุสลิม อยู่ทั่งทุกมุมโลก หรอก คุณลองคิดดู

สำหรับเรื่องดอกเบี้ย มันมาในหลายรูปแบบและ ซื่เรียกต่างๆ กัน "ลองอ่านดูในห้องของ เวบ อ.มุรีด ผมอยากให้อาจารย์อาสัน อธิบายอย่างละเอียด ในเวบนี้ ถ้าจะดี ผมจะได้ เข้าใจเรื่องนี้ ได้ดีขึ้น

ด้วยความรัก และนับถือ



แมทท์

[IRF]

เข้าไปอ่านบทความที่เกี่ยวข้อง


http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=479&postdays=0&postorder=asc&start=0

[romlie]

***************************************************************************************
นำของเค้ามาให้อ่านกัน

เราทุกคนคงเคยได้ยินและรู้จัก “พระพุทธเจ้าหลวง” เป็นอย่างดี แต่เรามักคุ้นเคยในความหมายของ “รัชกาลที่ ๕

แห่งบรมราชจักรีวงศ์” เท่านั้น แต่หากเราย้อนกลับไปดูในพระราชพงศาวดารแล้ว เราจะพบว่าในพงศาวดารหรือ

จดหมายเหตุของไทยนั้น มักเรียกองค์รัชทายาทว่า “หน่อพุทธางกูร” หรือ “สมเด็จหน่อพุทธางกูร” หากเรามองคำนี้

ในแง่ของวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา เราจะตีความว่าหมายถึงพระโพธิสัตว์ หากแต่ในทางพงศาวดารนี้คำว่า

หน่อพุทธางกูรไม่ได้แค่หมายถึงพระมหากษัตริย์ หากแต่หมายถึง “หน่อเนื้อเชื้อสายของพระพุทธเจ้า” โดยยกเอา

พระมหากษัตริย์นั้นเอง ที่มีฐานะเป็น “พระพุทธเจ้า” อีกนัยหนึ่งด้วย โดย “หน่อ” นั้นก็หมายถึง “องค์รัชทายาท” นั่น

เอง

ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวเท่านั้นเอง ที่ได้รับการขนานพระนามว่า “สมเด็จหน่อ

พุทธางกูร” นอกนั้นแล้วก็หมายถึงองค์รัชทายาทเสียส่วนใหญ่

สิ่งที่น่าสนใจและสะท้อนความเชื่อนี้ได้ชัดเจนที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถ วัดพระศรี

รัตนศาสดาราม ราชวรมหาวิหาร

เมื่อเราเหยียบเท้าก้าวข้ามธรณีประตูพระอุโบสถวัดพระแก้วเข้าไปแล้ว ขอให้กราบนมัสการพระแก้วมรกตอย่าง

เคารพ แล้วลองหันหลังกลับไปทิศเดียวกับประตูที่เดินเข้ามา แล้วแหงนหน้าไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เห็นอยู่

ตรงหน้า… ภาพ “พระพุทธเจ้าผจญมาร”

พระพุทธเจ้านั้นสถิตอยู่เหนือรัตนบัลลังก์ ณ ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ มีพระแม่ธรณีอยู่เบื้องล่างกำลังบีบน้ำออกจาก

มวยผมจนท่วมเหล่ามารพญามารทั้งหลายให้แตกพ่ายกระเจิงไป จนไม่สามารถขัดขวางการบำเพ็ญเพื่อบรรลุ

ปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

ลองสังเกตภาพเหล่ามารานุมาร และพญามารทั้งหลายให้ดี สังเกตที่การแต่งกาย…

เราจะเห็นว่าเหล่ามารทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แต่งกายเป็น “วิเทศชาติ” ที่ติดต่อค้าขาย หรือกำลังเข้ามา “

ยุ่มย่าม” ในดินแดนแถบนี้ทั้งนั้น

การวาดภาพพระพุทธเจ้าผจญมารโดยกำหนดให้ “มาร” ทั้งหลายที่ต้องพ่ายต่อพระบารมีนั้น ก็เปรียบเสมือนการ “

ตัดไม้ข่มนาม” นั่นเอง และอีกนัยหนึ่ง เมื่อเหล่ามารทั้งหลายคือชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มว่าอาจจะเข้ามารุกรานแผ่น

ดินสยาม (รวมไปถึงที่เคยรุกรานสยามมาแล้วในอดีต) แล้วไซร้ พระพุทธเจ้าที่เปี่ยมด้วยพระบารมีก็ใช่ใครอื่นที่ไหน

หากแต่เป็น “พระมหากษัตริย์” ของไทยเรานี้เอง

ทั้งการเรียกองค์รัชทายาทว่า “หน่อสมเด็จพุทธางกูร” ก็ดี

การเรียกล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ว่า “พระพุทธเจ้าหลวง” ก็ดี

การวาดภาพ “พระพุทธเจ้าผจญมาร” ในพระอุโบสถวัดพระแก้วก็ดี

ล้วนแล้วแต่แสดงคติความเชื่อที่ว่า “พระมหากษัตริย์ของไทยเสมือนหนึ่งเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า” ได้ทั้งนั้น

ที่มา http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=1200
------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในความเชื่อของคนแถบเอเชียแบ่งเทพเป็น 3 ชนิด คือ
1.สมมุติเทพ คือบุคคลผู้ซึ่งเป็นเจ้าครองแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ พระมเหสี ราชกุมาร เป็นต้น
2.อุปปิตติเทพ คือเทพผู้กำเนิดเป็นเทพโดยมิได้กำเนิดเป็นมนุษย์มาก่อน เช่น พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม

เป็นต้น
3.วิสุทธิเทพ เทพผู้บริสุทธิ์คือพระอรหันต์ทั้ง 3 ประเภท วิสุทธิ์เทพ มักจะไม่ลงมาประทับทรงมนุษย์ อย่างเด็ดขาด

http://www.parm78.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=98431&Ntype=1
-------------------------------------------------------------------------------------------------------

ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญา

เฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑนี้เอง จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ

เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระราชบัลลังก์ และตราประจำแผ่นดินของไทย สืบต่อกันมา

แต่สมัยอยุธยา ซึ่งพบโดยทั่วไป โดยเฉพาะตราประทับบนหัวจดหมายราชการ เรียกว่า ตราครุฑ ด้วยความเชื่อว่า

พระมหากษัตริย์คือ สมมุติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตาร ผู้ทรงมีครุฑเป็นพระราชพาหนะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระราช

พาหนะของพระมหากษัตริย์จึงประดับธงมหาราช ซึ่งเป็นธงรูปครุฑ ขณะเดียวกัน ยังมีเรือพระราชพิธีหลายลำ ที่

สลักโขนเรือเป็นรูปครุฑ เช่น เรือพระที่นั่งครุฑเหินระเห็จ ครุฑเตร็ดไตรจักร และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ

รัชกาลที่ 9

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91
--------------------------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่: 13
์
>>(๕) ถ้าคนไทยแยก "สถาบัน" จาก "บุคคล" กรณีสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะในประวัติศาสตร์ หรือในรัฐธรรมนูญ

ปัจจุบัน
>>อย่างที่นิธิว่า เหตุใด จึงต้องมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา ๘ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๑๒
ประมวลอาญา) >>ทำไมต้องมี "อุตสาหกรรมอาเศียรวาทสดุดี"?

อ่านแล้วงงครับอาจารย์การแมปเหตุผลของอาจารย์มันแปลกๆอยู่ อาจารย์เอาลักษณะสมมุติเทพไปไว้ใหนครับ
ผมมองว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและอุตสาหกรรมอาเศียรวาทสดุดี
เป็นเรื่องของการติดสินบนเอาเข้าเป็นพวกตัวเองธรรมดาครับ
เราก็ติดสินบนทั้งเจ้าผีเจ้าคนมาตั้งแต่โบราณมาแล้วนี่ครับ
เป็นไปได้หรือเปล่าครับที่กษัตริย์ฝรั่งเป็นแค่ผู้ที่เทพตั้งให้เป็นแต่พระมหากษัตริย์ไทยนะเป็นเทพเองเลย
แน่นอนว่าความเป็นเทพก็ต้องแสดงออกผ่านทั้งสถาบันและบุคคลไปสู่ความรับรู้ของสมาชิกในสังคม
ความเป็นเทพจะทรงพลังเมื่อใช้ผ่านสถาบันและจะเห็นชัดเจนเมื่อเมื่อผ่านบุคคล

ผมว่ามันมีทั้ง3ลักษณะ(สถาบัน,บุคคล,สมมุติเทพ)ในพระมหากษัตริย์
แต่เราจงใจละเลยไม่ใส่ในลักษณะสมมุติเทพที่ยังมีอยู่
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าความเป็นเทพเป็นสมบัติการผุดเกิดมาจาก
อันตรกริยาของสถาบันและบุคคลต่างในสังคม

ที่มา http://thaingo.org/index.shtml
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทพนั้นคติพุทธศาสนาถือว่า มีอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. สมมุติเทพ แปลว่า เทวดาโดยสมมุติ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ อัครมเหสี และราชโอรส

๒. อุปปัตติเทพ แปลว่า เทวดาโดยกำเนิด คือเกิดเองได้แก่ เทวดาที่บังเกิดในสวรรค์ เพราะอำนาจกุศลกรรม เช่น

พระอินทร์ และพระพรหม เป็นต้น

๓. วิสุทธิเทพ แปลว่า เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระขีณาสพ ซึ่งพ้นจากกิเลสทั้งปวง

http://www.rspg.org/knowledge/misc6.htm
-------------------------------------------------------------------------------------------

ลักษณะทางการเมืองการปกครอง

สมัยอาณาจักรอยุธยาตอนต้น มีการปกครองแบบเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่หลังจากที่ไทยสามารถตีนครธมของขอม

ได้ใน พ.ศ.1974 และกวาดต้อนขุนนางและประชาชนชาวขอมที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของอินเดียเข้ามาในอยุธยา

เป็นจำนวนมาก ขุนนางและประชาชนเหล่านี้ได้เอาแนวความคิดในการปกครองของเขมร ที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่ง

จากลัทธิพราหมณ์มาใช้ในกรุงศรีอยุธยา คือ แบบเทวราชา หรือ เทวสิทธิ ทำให้แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องเทวราชา

เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากขึ้น และทำให้สถาบันการปกครองของไทยเปลี่ยนแปลงไป จากการปกครองแบบ

"พ่อ" กับ "ลูก" ในสมัยสุโขทัย มาเป็นการปกครองแบบ "นาย" กับ "บ่าว" ทั้งนี้เพราะการปกครองแบบเทวสิทธิ์ถือว่า

พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนเจ้าชีวิต เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้การปกครองได้

และถือว่าอำนาจในการปกครองนั้น พระมหากษัตริย์ทรงได้รับจากสวรรค์ เป็นเทวโองการ การกระทำของพระมหา

กษัตริย์ถือว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือเป็น "สมมุติเทพ"

กล่าวคือ เป็นนายของประชาชน และประชาชนเป็นบ่าวของพระมหากษัตริย์ที่จะขัดขืนมิได้โดยเด็ดขาด พระมหา

กษัตริย์จึงทรงเป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทุกคน

http://www.parliamentjunior.in.th/junior/knowledge/politics_ayutthaya1.asp
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในทางพระพุทธศาสนาของเรา ท่านได้จัดผู้มีภูมิธรรมสูงไว้ ๓ ระดับ คือ

“สมมุติเทพ” ซึ่งหมายถึงเทพหรือเทวดาโดยสมมุติ ได้แก่ พระราชา พระราชินี และพระราชกุมาร เป็นต้น ๑
“อุปปัตติเทพ” หมายถึงเทพหรือเทวดาโดยกำเนิดในเทวโลกจริง ๆ และรวมไปถึงพรหมในพรหมโลกอีกด้วย ๑
“วิสุทธิเทพ” หมายถึง เทวดาโดยความบริสุทธิ์ คือ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้แก่ พระอรหันต์สาวก ตลอดขึ้นไปถึง

พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เป็นต้น อีก ๑

http://www.dhammakaya.org/dhamma/lecture/lecture47.php
***********************************************************************************

คราวนี้อ่านของเรา

[2.165] และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจากอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัล

ลอฮฺ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้น เป็นผู้ที่รักอัลลอฮมากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการ

ลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

[60.1] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้คบศัตรูของข้าและศัตรูของพวกเจ้าเป็นมิตร โดยให้ความรักใคร่แก่

พวกเขา และทั้ง ๆ ที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่มีมายังพวกเจ้าคือสัจธรรม พวกเขาขับไล่ร่อซูลและโดยเฉพาะ

พวกเจ้า เนื่องเพราะพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้า หากพวกเจ้าได้เคยออกไปต่อสู้ในแนวทางของ

ข้า และแสวงหาความโปรดของข้า (ดังนั้น พวกเจ้าอย่าได้คบพวกปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากข้า) โดยซ่อน

ความรักใคร่แก่พวกเขาอย่างลับ ๆ และข้ารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย และผู้ใดในหมู่

พวกเจ้ากระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาได้หลงจากทางอันเที่ยงธรรม

[60.13] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้คบกับหมู่ชนที่อัลลอฮฺทรงกริ้วต่อพวกเขาไว้เป็นมิตรสหาย แน่

นอนพวกเขาหมดหวังต่อวันปรโลกแล้ว เสมือนกับที่พวกปฏิเสธศรัทธาหมดหวังต่อ (การฟื้นคืนชีพของ) ชาวกุบูร

"อัลลอฮฺนั้นคือไม่มีผู้ที่ถูกเคารพสักการะใดๆที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิต ผู้ทรงบริหารกิจการทั้ง

หลาย โดยที่การง่วงนอน และการนอนหลับใดๆ จะไม่เอาพระองค์ สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้น

เป็นของพระองค์ ใครเล่าคือผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติของพระองค์

เท่านั้น พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด

จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้ นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น"
"ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด

ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรั่ทธาต่ออัฏ-ฏอฆูต และศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มี

การขาดใดๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้"
"และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ศรัทธา โดยทรงนำพวกเขาออกจากบรรดาความมืดสู่แสงสว่าง และ

บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น บรรดาผู้ช่วยเหลือของพวกเขาก็คือ อัฏ-ฏอฆูต โดยที่พวกมันจะนำพวกเขาออกจากแสง

สว่างไปสู่ความมืด ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล"

(อัล-บะเกาะเราะฮฺ 255-256-257)

*********************************************************************************

อ่านของเค้า
อ่านของเรา
แล้วเลือกถือ
จากนั้น...ทางใครทางมัน

"ล่ะกุมดีนุกุม วะลิยะดีน"

************************************************************************************

[IRF]

ในกระทูที่ผมลิงค์ให้นั้นก็มีส่วนอื่นที่เป็นส่วนชี้แจงในเรื่องนี้ ว่าในความเป็นจริง(ไม่ใช่การสร้างภาพ)ตกลงมุสลิมในเมืองไทยติดค้างหรือเป็นหนี้บุญคุณใครหรือไม่..

แต่ในส่วนว่าด้วยเรื่องการให้เกียรติวัตถุหรือบุคคลโดยไม่ถือว่าเป็นชีริก ผมได้ให้คำถามค้างไว้ให้คิด (ไม่จำเป็นต้องตอบ)

- มีวันบางวันที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีบุคคลบางบุคคลที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีวัตถุบางวัตถุที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?

แต่อีกส่วนที่สำคัญที่เราจะรู้มาตรฐาน(ในการชี้วัด)ของแต่ละคน อันนี้คุณ matt ต้องตอบก่อนนะครับ ต้องสั้นๆตามคำถาม และตอบให้ตรงคำถาม

ข้อแรกที่ต้องตั้งสมมุติฐาน
1. ซอฮาบะฮฺและคุณยุคสลัฟ เขาไม่เข้าใจศาสนา หรือว่าง่ายๆเข้าใจศาสนาอย่างผิดๆใช่หรือไม่? (ตอบตัวเองตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน)

และถ้าตอบว่าใช่ คนยุคแรกเขาเข้าใจศาสนาผิด ข้อสองที่ต้องตั้งสมมุติฐาน
2. นบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็นผู้นำสาส์นมา ท่านเข้าใจศาสนาถูกต้องหรือไม่? (ตรงนี้ตอบตัวเองให้ชัดเจน อย่าครุมเครือ)

ถ้าตอบว่าไม่หรอก ท่านนบีไม่เข้าศาสนา ท่านแค่เป็นคนที่อัลลอฮฺฝากกุรอานมาประกาศเฉยๆ ท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย อย่างอื่นอัลลอฮฺไม่ได้ให้ท่านรู้ ก็จะมีข้อสมมุติฐานที่สาม
3. ตกลงนบีก็ไม่เข้าใจศาสนา คนยุคแรกก็ไม่เข้าใจ แต่น่าแปลกใจไหมที่มีคุณ matt เท่านั้น(และคนส่วนน้อยบางคน)เท่านั้นที่เข้าใจ ตรงนี้แสดงว่าคุณ matt ต้องเป็นบุคคลสำคัญตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้นแหละ

และหากคุณ matt เข้าใจว่านบีมุฮัมมัดไม่เข้าใจศาสนา ที่ท่านสอนน่ะไม่ต้องไปฟังหรอก รับฟังแค่กุรอานก็พอ ข้อสี่ที่ต้องสุมมติฐาน
4. ตกลงที่ท่านนบีสอนๆมานับหมื่นนับแสนหะดีษ ท่านโกหกใช่หรือไม่? แอบอ้างตัวเองว่ารู้ศาสนาใช่หรือไม่? ท่านนบี่นั่งเทียนสอนใช่หรือไม่?

[matt]

ความจริงผมไม่มีความจำเป็น ต้องตอบคำถามเหล่านี้ของคุณ ทั้งนี้ เพราะว่า คุณตั้งคำถาม และตอบคำถามของตัวเอง คุณพยามที่จะ ตะลอม ผมให้อยู่ในจุดที่ว่าถ้าผม “ไม่เชื่ออะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆแล้ว” ก็เท่ากับว่าผมไม่เชื่อ อัลลออ์และท่านรอซูล

การไม่เชื่อ เรื่องบอกเล่าที่เขารวบรวมมา ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับ การเชื่อฟัง “ท่านรอซูลผู้ซึ่งไม่ได้รับรู้ว่ามีผู้ อ้างอิงคำพูดหรือ การปฏิบัติ ของท่านเลย”, คุณเป็นนักกฏหมายน่าจะ ทราบว่า หลักฐานเช่นนี้ ไม่ มีน้ำยา ในศาลของโลกดุนยาเลย แม้แต่ ใน วันอาคิเราะห์ คุณก็นำไปอ้างไม่ได้ ว่า คุณทำตามคำสอนของท่านรอซูล, ทั้งนี้เพราะ เราจะต้องผจญหน้ากับท่านรอซูล, และคุณเชื่อหรือ ว่าอิมามบุคอรี จะนำหลักฐานมายืนยัน ว่าท่านรอซูล พูดหรือทำจริง อย่าง ที่อิมามบุคอรี จดบันทึกจากคำบอกเล่าของ ผู้อื่น,

วันอาคิเราะจะตัดสิน ได้ว่า เรื่องเล่า หรือ อะหะดีษ เหล่านั้น จะเป็นความจริง หรือ ความเท็จ “ถ้าเป็นความจริงผมก็จะตก อยู่ในไฟ นรกเพียงผู้เดียว”, แต่ถ้าเป็น ความเท็จ ซึ่งท่านรอซูล จะกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ละทิ้ง อัลกรุอานเสียแล้ว” (ซูเราะฮฺ อัลฟุรกอน อายะ 30) และถ้าหากท่านรอซูล ไม่รับรองว่า เป็นคำพูดและการสอนของท่านแล้ว “นรกก็จะเต็มไปด้วยผู้เดิน หลงทางเป็น จำนวนมากทีเดียว”

แต่เพื่อให้คุณสบายใจผมก็จะตอบให้คุณเข้าใจถึงความศรัทธาของผมต่ออิสลาม ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องพิสูจน์อะไร ทั้งนี้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ผมชอบช่วยนักเรียนกฏหมาย ในเรื่อ การฝึกหัด ตั้งสมติฐาน ในการหาเหตุผลประกอบคำอธิบาย

1. ซอฮาบะฮฺและคุณยุคสลัฟ เขาไม่เข้าใจศาสนา หรือว่าง่ายๆเข้าใจศาสนาอย่างผิดๆใช่หรือไม่?

ถ้าคุณเข้าใจ และรู้จัก ชาวสลัฟ คุณคงไม่ตั้งคำถามเช่นนี้ ทั้งนี้เพราะว่า ผม เอง ไม่เคย เขียนหรือแสดง ความเห็น เกี่ยวกับชาวสลัฟ เลย และผมเข้าใจว่ามุสลิมทุกๆท่านย่อมศึกษา และเข้าใจ สังคมของ ชาว สลัฟ เป็นอย่างดี

เนื่องจาก คนยุค สลัฟ เป็นกลุ่มชนมุสลิมที่เคร่งครัด ในหลักการของอิสลาม ที่อยู่ในระหว่าง สามชั่วอายุคน ในระหว่าง หรือ หลังจากที่ อัลกุรอานได้ถูกประทานมาสู่มวลมนุษย์ชาติ ได้แก่ บรรดา ผู้ที่อยู่ใกล้ ชิด กับ ท่าน รอซูล, ศาสนนุศิษย์ และ ลูกศิษย์ ของศาสนุศิษย์ เนื่องจาก ความใกล้ชิด ในขณะที่ ท่านรอซูลรับวะฮีย์ จนถึง หลังจาก ท่านรอซูล สิ้นชีวิตไปแล้ว ชนกลุ่มนี้ ยังไม่มี สิ่งใด ที่มาสอดแทรก ในความจำ ของเขาในการ ถ่าย ทอด ซุนนะห์ และการสอนของท่านรอซูล,

ในช่วงระยะ 3 ชั่วคน การถ่ายทอดทาง วิชาการ ยังถือว่า “ถูกต้อง” และ มีแต่ของทีเป็นจริง และการเข้าใจ ความหมายในอัลกุรอาน ย่อม ดี กว่า คนในยุคหลังๆ, ชาวสลัฟ มี “อัลกุรอาน”เพียงเล่มเดียว เท่า นั้น ที่เป็น บทเรียน และ หลักปฏิบัติทางศาสนา ก็ตกถ่ายทอด มาจาก ท่าน รอซูล โดยการปฏิบัติ ต่อๆกันมา

ในสมัยนั้น อิมามบุคอรี ยังไม่เกิด ยังไม่มี หนังสือหรือการบันทึกอะหะดีษ, ทั้งนี้ เพราะว่า ชาวสลัฟ เชื่อฟังท่านรอซูล ซึ่งท่านสั่งห้ามไม่ให้ ใครจดบันทึกสิ่งใด นอกจาก อัลกุรอานเท่านั้น ดังนั้น ชาว สลัฟ จึงถือ ว่า เป็น มุสลิมต้น ตำหรับ ที่ มีหลักการ ของอิสลาม อย่างบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดของผู้ใดเจือปน, ไม่มีเรื่อง เล่าเกี่ยวกับการปฏิบัติ และการสอน ของท่าน รอซูล ที่มีทั้งจริงและ เท็จ และ นิทานยายกะตา อยู่ปะปน ปะปนกัน ดังเช่นในสมัยนี้

2. นบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็นผู้นำสาส์นมา ท่านเข้าใจศาสนาถูกต้องหรือไม่? (ต้องถามว่าท่านเข้าใจอัลกุอาน ถูกต้องหรือไม่? คำถามจึงจะสัมพันธ์กันกับ ความเข้าใจอัลกุรอาน)
จากอายะ 1 และ 2 ของ ซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน มันเป็นความกรุณาปราณี ของพระองค์อัลลอฮ์ ผุ้ซึ่งทรงสอน อัลกุรอาน แก่ท่านรอซูล, พระองค์อัลลอฮ์เป็น ครูของท่านรอซูล, พระองค์อัลลอฮ์ จะบรรจุเนื้อหาของอัลกุรอาน เข้าไปในหัวใจของผู้ศรัทธา ไม่ว่าผู้ศรัทธาจะเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธ์ใด, และไม่จำเป็นจะต้องรู้ภาษาอรับ, (ซูเราะฮฺ ฟุศศิลัต อายะ 44)

จากบัญญัติที่ อ้างมานี้ แสดงให้ เห็น ว่าถ้าผู้ที่มีความศรัทธา ต่อ พระองค์อัลลอฮ์ แล้ว ถึงจะอ่าน ภาษา อรับไม่ได้, พระองค์อัลลอฮ์ เอง พระองค์ จะเป็น ผู้สอน ให้ผู้ศรัทธา เหล่านั้น เข้า ใจ ในอัลกุรอาน ถึง แม้มุสลิมคนจีน ที่อยู่ ในเมืองจีน ก็จะเข้าใจ ความหมาย ของอัลกุรอาน ที่ถูกแปลเป็นภาษาจีน โดยไม่ต้อง ให้ใครมาอธิบาย ถ้าเขาผู้นั้น มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อ์ย่างแท้จริง คือเข้าใจความหมายตามหลักภาษาโดยตรง

3. ตกลงนบีก็ไม่เข้าใจศาสนา คนยุคแรกก็ไม่เข้าใจ แต่น่าแปลกใจไหมที่มีคุณ matt เท่านั้น(และคนส่วนน้อยบางคน)เท่านั้นที่เข้าใจ ตรงนี้แสดงว่าคุณ matt ต้องเป็นบุคคล สำคัญตำแหน่ง ใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้นแหละ

คำถามข้อสามนี้ ไม่มี ตรรกวิทยาแฝงอยู่เลย เป็นการพูดเองเออ เอง ของ คุณ และเป็นการ ประชดประชันการเป็นส่วนตัว ไม่ใช่ วิธีการของนักวิชาการ ผมว่าคุณจะแสดง ความรู้ทาง การใช้ตรรกวิทยา, แต่มันไม่ออกมาในรูปนั้น

ผมไม่เคยกล่าวว่า ท่านรอซูล และ ชาวสลัฟ ไม่เข้าใจอัลกุรอาน หรือ ไม่ เข้าใจอิสลาม ถ้าผมคิดเช่นนั้น มันก็จะเป็น ความเขลา ที่เป็นมุสลิม แต่ไม่เชื่อ คำสั่งสอน ของท่าน รอซูล, เป็นต้นว่า สร้างสิ่งที่ท่านรอซูลห้าม และชาวสลัฟ ไม่กระทำ, นั้นก็คือ ยึด ถือ หนังสือ เล่ม อื่น เป็นหลักการปฏิบัติ นอกเหนือ ไปจาก อัลกุรอาน ประกอบศาสนกิจ ซึ่งหนังสือ เล่ม นั้น ยังมี ข้อถกเถียง ในความแน่นอนและความเที่ยงแท้ ภาย ในสังคมมุสลิม

แต่อย่างไรก็ตาม ผมจะ อธิบายให้ฟังว่า ทำไมผมจึง เชื่อคำแปลและความเข้าใจของผมเป็นหลัก โดยไม่อาศัย การตีความหมาย โดยการอาศัย หนังสือรวบรวมเรื่องเล่า เกี่ยวกับ ท่านรอซูล เป็นหลัก ทั้งนี้ เพราะ ท่าน รอซูล สิ้นชีวิต ไปแล้ว, จาก ซูเราะฮฺ ฟุศศิลัต อายะ 44 บอกไว้อย่างชัดเจน ว่า ถ้าเรามีความศรัทธาอย่าง แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ จะ ช่วยในการอธิบายให้เราเข้าใจ เอง เพราะพระองค์ เป็นผู้สอน และ อธิบาย อัลกุรอาน ไม่ใช่ผู้ใด, แต่ถ้าหากท่านรอซูล หรือชาว สลัฟ ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็จะ ไปแสวงหา ความ เข้าใจ จากท่าน เหล่านั้น, ผมจะยกตัวอย่าง ให้คุณเห็นอย่างง่ายๆ ในการแปลอัลกุรอาน อย่างไม่อาศัย ความเข้า ใจของตนเอง ตัวอย่างเช่น… ใน ซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน อายะที่ 14

خَلَقَ الْإِنسَانَ مِن صَلْصَالٍ كَالْفَخَّارِ

14. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากดินเหนียวมีเสียงเช่นเครื่องปั้นดินเผา (*1*)
(1) คือพระองค์ทรงสร้างบิดาของพวกเจ้า คือ อาดัมจากดินเหนียวแห้งเมื่อเคาะ จะมีเสียงเช่นเดียว กับดินที่ ใช้ท ำเครื่องปั้นดินเผา

ผมเชื่อ ว่าภาษาอรับของคุณดีกว่าผมมาก คุณ ช่วย อธิบายให้ผมฟังได้ไหม? ว่า คำว่า “มีเสียง” ในคำแปลนั้น อยู่ตรงไหนของ ต้นฉบับภาษาอรับ และถ้าไม่มีแล้ว เขาเอาคำว่า “มีเสียง” มาจากไหน?

เนื่องจากการแปลและตัฟซีร อัลกุรอาน มีแบบแผน การอธิบาย ความหมาย ไปตามแนวทาง ของลัทธิและนิกาย ที่ผู้แปล สังกัดอยู่ ความหมายในการแปลจึงไม่เหมือน กัน ตัวอย่างเช่น ชาวมุสลิม นิกายซุนนีย์ แห่งเวบนี้ จะไม่เชื่อการแปล และคำอธิบาย ของ ชาวมุสลิม ชีอะต์ ทั้งนี้ เพราะ ชาวซุนนีย์ ไม่ยอมรับว่า “นิกายชีอะต์เป็นมุสลิม” (ยกเว้น แต่คุณ IRF ที่ยอมรับ ว่า ชีอะต์ เป็นมุสลิมเช่นเดียวกับเรา อ้างอิงจากข้อเขียน ของคุณในกระทู้นี้)

เนื่องจากผมเป็นมุสลิมผู้มีศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และยึดมั่นต่ออัลกุรอานเท่านั้น เป็นแนวทาง ในการ ดำเนินชีวิต พระองค์อัลลอฮ์ จึงทรงดลใจให้ผม เข้าใจข่าวสารของพระองค์ ตามความหมายในอัลกุรอาน ตามพระประสงค์ของพระองค์ เมื่อผมแปลแล้ว ผมไม่มีเจตนา จะให้ผู้ใดตามหรือเชื่อผม เพียงแต่ต้อง การให้เห็น ความหมายของอัลกุรอานอีกแง่หนึ่งถ้าเราไม่มีใจลำเอียงในการแปล เนื่อง จาก อิทธิพล ของลัทธิหรือนิกาย ที่เราสังกัดอยู่

โชคดีอย่างหนึ่งเมื่อผมเกิดความสงสัย ผมมีอาจารย์อาสัน ที่ผมกล้าถามอย่างเปิดใจ ในปัญหาที่ผมสงสัย เพื่อ ต้องการความเห็น ของท่านอีกทางหนึ่ง แต่ใจผมเองที่จะตัดสินว่า ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ?

4. ตกลงที่ท่านนบีสอนๆมานับหมื่นนับแสนหะดีษ ท่านโกหกใช่หรือไม่? แอบอ้างตัวเองว่ารู้ศาสนาใช่หรือไม่? ท่านนบี่นั่งเทียนสอนใช่หรือไม่?

มีมุสลิมผู้ใดที่จะมีความคิดเช่นเดียวกับคุณ? จากคำถามในข้อ 4 นี้ ไปดูคำตอบในข้อ 1 นั้น

คำถามของคุณเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ถามเองตอบเอง ทำไมคุณถึง ถามชักนำ การถามเช่นนี้ ไม่ใช่หลัก ตรรกวิทยา เพราะ ถามเหมือน การสอบสวนฃองพลตำรวจ ที่เพิ่งเรียน การสอบ สวนมาใหม่ๆ, ทำไมคุณจึงถามอย่าง คนใจน้อย หรือ ขี้โมโหละ เพราะการจะถามเช่นนี้ คุณจะต้อง รอให้ผมตอบ คำถามไปทีละข้อก่อน, คุณจะเห็นว่าคำตอบของผม จากข้อหนึ่งก็ ควบคุม คำตอบของคุณทั้งสี่ ข้อแล้ว

ความจริงผมคุยเรื่องนี้ มาก่อนแล้วผมจะไม่ รื้อฟื้นมาอีก เพราะ จะไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา นอกจากจะทำให้กระเทือนใจ และความศรัทธาของแต่ละท่าน เท่านั้น

ผู้ที่มีความรู้ คู่ควรที่จะสนทนากับคุณ และมีความรู้ในเรื่องนี้มากกว่าผม ก็คือ นักศึกษา ทั้ง 3คน จากมหาวิทยาลัย ใน กรุง ไคโร เพราะ คุณ และ เขาทั้ง 3 ร่ำเรียนมา ในทางเดียวกัน ส่วนผม สนใจ ศึกษาอัลกุรอาน ด้วยตนเอง เท่านั้น และเมื่อศึกษาแล้ว ยิ่งทำให้ผมไม่เชื่อ “อิมามบุคอรี” มากขึ้น ทั้งนี้ เพราะว่า เรื่อง เล่า ของอิมามบุคอรีไม่ สามารถที่ จะใช้อธิบายอัลกุรอาน ได้ทุกซูเราะห์

ผมเชื่อหะดีษ ของท่านรอซูล ที่แท้จริง นั้นคือ “อัลกุรอาน” แต่ไม่มีในอัลกุรอาน บังคับให้ผมต้องเชื่อ “อิมามบุคอรี”




แมทท์

ปล.

ถ้าผุ้ควบคุมเวบ เห็นว่าคำตอบผมไม่เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของเวบนี้ผมไม่รังเกียจเลยที่จะให้คุณลบชื่อ ผมจาก การเป็นสมชิกของเวบนี้ และ ปิดไม่ให้ผมเข้า ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยง สิ่งเหล่านี้ เท่าที่จะทำได้

[matt]

จากคำกล่าวที่ว่า...

- มีวันบางวันที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีบุคคลบางบุคคลที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?
- มีวัตถุบางวัตถุที่สูงส่งและประเสริฐกว่าวันอื่น ..เชื่อหรือไม่?

ตามหลักการของอิสลาม คำกล่าวทั้งสาม ข้อ นี้ไม่ถูกต้อง..

ภายใต้อำนาจของอัลลอฮ์ ความแตกต่าง ของบุคคลอยู่ที่ การประกอบความดีและ การกระทำความชั่ว การประกอบควาวมดี ด้วยการ มีศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว อัลลอฮ์ ใช้ชีวิต อย่าง ถูกต้อง ธรรมนองครอง ธรรม และเชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อในวันตัดสิน การทำความชั่วคือ การ ทำชริก และ ประพฤติตัวเลวทราม ผิดศีลธรรม ลุ่มหลงในกามรมณ์ ไม่เขื่อใน นรก สวรรค์

ภายใต้สายตาของอัลลออ์ ทุกคนมีความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ แต่ แตกต่างในหน้าที่และความรับผิดชอบ ซึ่งมนุษย์ มีหน้าที่ๆจะต้อง ให้เกียรตื ต่อกัน ถ้าในทางศาสนา เราต้องยกย่องตำแหน่งหน้าที่ของท่านรอซูล ต่างๆ ตามคำสั่งของอัลลอฮ์ และในทำนองเดียวกัน ในทางโลก เราต้องให้เกียรติ ต่อผู้นำ ตามตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบ ร้อย ของสังคม แต่การให้เกียรติ มนุษย์ ต้องไม่เท่า หรือเกิน กว่า ความศรัทธา ที่เรามีต่อพระองค์อัลลอฮ์

ไม่มีวันใดที่สูงส่งกว่าวันอื่น วันทุกวันมีความสำคัญเท่ากัน ในการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือ ทำกิจการใดๆ มิฉนั้น แล้ว จะเป็นการหลงเชืิ่อ ในโชคลาง และการเสี่ยงทาย วันทั้ง เจ็ดวัน สำคัญเท่ากัน

ทางศาสนา ใช้คำว่าสำคัญ ที่เราจำเป็น ต้อง ใส่ใจ นั้น คือวันที่ ถูกกำหนด ในการทำ พิธีการทางศาสนา อย่างพร้อมเพรียงกัน และทำตามประเพณีที่ปฏิบัติกันมา "ความสำคัญของวันอยู่ที่การกำหนดกิจกรรม" ที่เราจำเป็นต้องกระทำ แต่ไม่ได้หมายความว่า วันอาทิตย์ ประเสริฐกว่าวันจันทร์ วันศุก สูงส่งกว่าวันเสา เป็นวันที่ควรจะริเริ่มการงาน หรือทำพิธีเปิดการค้า ฯลฯ

ไม่มีวัตถุใดที่สูงส่งกว่า วัตถุอื่น ความสูงส่งหรือ คุณค่าของวัตถุ อยู่ที่ ความยากลำบาก ในการ จัดหาวัตถุนั้นๆ เช่น ทองคำ มี ค่า กว่าดีบุก ทั้งนี้ เพราะทองคำ หายากกว่าดีบุก ความแตกต่างของวัตถุอยู่ที่ค่านิยม มนุษย์ไม่อาจลดเกียรติ เคารพ หรือ สักการะ วัตถุ ใดก็ตามเนื่อง จากความเข้า ใจ ว่า สูงส่ง เนื่องจากการดัดแปลง วัตถุ นั้นโดยมนุษย์ ที่นำหลักการของความศรัทธา ให้เกี่ยวโยง กับวัตถุ

นี่คือความเข้าใจของผม แต่ถ้าคุณเข้าใจแตกต่างไปจากนี้ ก้เป็น สิทธิของคุณ ผมไม่ได้ชักชวนให้ผู้ใดเห็นตามด้วย

ถ้าเราเข้าใจในการเคารพ สักการะ ต่อ พระองค์อัลลออ์ พระเจ้าองค์เดียวแล้ว จะทำให้ความเข้าใจ ต่อ สิ่งเหลวไหลต่างๆง่ายขึ้น



แมทท์

[hamza]

แล้วจะละหมาดกันยังงัยดีล่ะเนี่ย.....ในกุรอ่านไม่ได้บอกวิธีละหมาดไว้อ่า.....ยุ่งกันล่ะสิ...

[matt]

ผมอยากจะเพิ่มคำตอบในข้อ 4 ของคุณIRF อีกสักนิด ครับ


4. ตกลงที่ท่านนบีสอนๆมานับหมื่นนับแสนหะดีษ ท่านโกหกใช่หรือไม่? แอบอ้างตัวเองว่ารู้ศาสนาใช่หรือไม่? ท่านนบี่นั่งเทียนสอนใช่หรือไม่?

ในการสอบเข้าโรงเรียนกฏหมาย ใน สหรัฐอเมริกา ข้อสอบจะส่วนหนึ่ง จะเกี่ยว กับ การใช้เหตุและ ผลเพื่อ ศึกษาถึง ขบวนการสืบเสาะ ไปถึงความจริง ที่ไม่มีการค้านได้ ขบวนการ นี้ มีวิธีการวิเคราะห์ หลักฐานเป็นขั้นๆ อย่างถี่ถ้วน เพื่อ ให้ถึงความจริงที่ไม่มีเหตุผลใดๆ จะ ค้านได้, ทั้งนี้ เพื่อ คัดเลือก นักเรียนกฏหมาย ที่ รู้จัก ใช้ เหตุผลเพื่อแสวงหาความจริง การตั้งสมติฐาน ก็ต้องตั้งจากเหตุผลที่ สามารถที่ จะใช้เป็น โครงสร้าง และรูปแบบ ในการโต้เถียงดวยเหตุผล

แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงบางอย่างอาจจะ ค้นพบได้ โดยใช้วิธีการง่าย และ อาศัย เหตุผลพอสมควร ทั้งนี้ เพราะว่า ความเป็นจริง ในบางสิ่งบางอย่างนั้น ไม่ต้องการเหตผลมาก ก็สามารถจะสรุปได้ ว่า สิ่ง นั้น จริงหรือเท็จ

จากสมติฐานของคุณ IRF ข้อที่4 นี้ จาก ข้อความที่ว่า “ตกลงที่ท่านนบีสอนๆมานับหมื่นนับแสนหะดีษ ท่านโกหกใช่หรือไม่?

จากประโยคนี้ จะมาสรุปยังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่า สมติฐาน ที่คุณตั้ง มาตั้งแต่คำถามข้อแรก ขาด โครงสร้าง ของระบบที่จะนำมาวิเคราะห์, ทั้งนี้คำถามขาด วัตถุประสงค์ที่ต่อเนื่อง และคุณไม่ได้ วางรูปแบบ ในการ ถกปัญหาเพื่อการ วิเคราะห์ คำถามเป็น การถามแบบชักนำ มากกว่า การถามเพื่อวิเคราห์ เพื่อเหตุผล


จากสมติฐานของคุณ IRF ข้อที่4 เป็นข้อความที่คัดค้านได้ จึงไม่เป็นตรรกะ ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

หะดีษทุกๆบท ที่เรา ศึกษา หรือนำมาใช้อ้างนั้น, ท่าน นบีไม่ได้เป็นผู้รวบรวม และเป็นผู้รับรอง และประกาศใช้ ด้วยตัว ท่านเอง” ตามกฏหมายแล้ว , ความเท็จจริง ของ “อะหะดีษไม่ได้เป็น ความรับผิด ชอบของท่านนบี” จึงไม่อาจว่าท่านพูดจริงหรือโกหก, ทั้งนี้ เพราะ การโกหก มี ความเท็จ จริง อยู่ที่ตัวผู้เล่า คนสุดท้าย ที่อ้างถึงผู้เล่า คนถัดๆขึ้นไป ซึ่งไม่ อาจจะ ไป ยืนยันที่ตัวท่าน นบีได้, ทั้งนี้ เพราะ มันสิ้นสุด อยู่ที่ ผู้เล่า คนแรก ซึ่งสายสืบไม่ อาจจะ เชื่อมได้ แน่เนื่อง จากผู้เล่าคนแรก ผู้ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วเช่น กัน, ด้วยเหตุนี้ ผู้บอกเล่า คนสุดท้าย อาจจะพูดจริง หรือ เท็จ หรือ เลอะเลือน ก็ได้ การเป็นผู้มีชื่อเสียง หรือ เป็นที่เคารพ นับถือ ของประชาชน ไม่ได้ เป็นเครื่องประกัน ความคลาดเคลือน หรือความเท็จจริง ในคำพูดได้?

ผมไม่ทราบว่า คุณเข้าใจการวางโครงสร้าง ของ การถกเถียงทาง ตรรกะหรือไม่? คุณเพิ่งเริ่มเรียนวิชานี้หรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะอ่านเรื่องที่คุณเขียน มักจะมีการถามและการคัดค้านแบบ การชักนำเสมอ

ด้วยความนับถือ




แมทท์

[matt]

คุณ hamza

เรื่องนี้ผมถูกถามมาแล้ว ตอบอย่างไรก้ไม่เป็นที่ถูกใจ และผมตั้งใจจะไม่ ถกกันในเรื่องนี้อีก แต่ผมจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น แก่อิสลาม อย่าง หนึ่ง "ที่เราเรียกว่ามรดกของอิสลาม" สิ่งนี้คือการถ่ายทอด ซุนนะหื หรือ การปฏิบัติ ทางศาสนา มาจาก ท่าน นบีอิบรอฮิม และพอมาถึงท่านรอซูล ก้มีการกวดขัน ในเรือง การปฏิบัติ ศาสนกิจ ต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้

ชาวสลัฟก็ปฏิบัติตามที่ท่านรอซูล สอนมาและทำต่อมากันเรื่อยๆ จนเป็นนิสัย ก่อนที่จะมีการรวบรวม อะหะดีษ มา 200 กว่าปี ต่อมาหลังจากการ รวบรวมอะหะดีษเป็นรูปเล่ม ดดยท่านอีมามบุคอรีและอื่นๆ การทำละหมาดเริ่ม จะเกิดปัญหา ในสังคมมุสลิมเรา ทั้งนี้เพราะว่า มุสลิม พยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำตามแบบ ท่นรอซุล ให้ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งผมก้ไม่ขัดข้องอย่างไร ยิ่งทำได้เหมือน ท่านได้ มากเท่า ใดก็ดียิ่งขึ้น

แต่ปัญหามันเกิดขึ้นที่ว่า คำอ้างอิง ถึงท่าทางในการละหมาดนั้น มี ผู้จำมาในรูปแบบที่ต่างกัน เลยเกิด การ ตำหนิติเตียนว่า ทำท่านั้น ท่านี้ ไม่ถูกต้อง แต่ละนิกายก็ละหมาด ไม่เหมือนกัน คุณลองสังเกตุเรื่องนี้ได้ ในสังคมเรา

เมื่อผมเริ่มจะเดินได้ หรือพอจำความได้ ผมก็ถูกจับ ให้นั่งละหมาดกับคุณพ่อของผม ดดยที่ผมยังไม่รู้จักว่า อะหะดีษคืออะไร? ผมจึงแน่ใจว่า การละหมาด ตกทอดมาถึงเราได้ โดยการปฏิบัติตามซุนนะห์ ของท่านรอซูล มาหลายชั่วคน และยังคงอยู่ในรูปเดิมอยู่ ถ้าเราจำเป็นต้อง รออิมามบุคอรีมาสอนการละหมาดแล้ว ช่วงเวลา 200 กว่าปีก่อน มีหนังสือ อะหะดีษ ชาวสลัฟ เขา จะละหมาดกันอย่างไร? นี่คือความเข้าใจของผม คุณอาจจะไม่เห็นด้วย ผมจะไม่โต้เถียง ในเรื่องนี้อีก

ด้วยความนับถือ




แมทท์

[dabdulla]

ปัญหาของคุณแมทท์ มันไม่ใช่แค่นั้น

คุณไม่เข้าใจ ในศาสนา แต่คุณไม่ถามผู้รู้ ผมยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง

เรื่องการประกอบพิธีฮัจย์ของชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลาม ถ้าคุณได้ศึกษาอัลกุรอ่าน คุณก็จะเห็นว่า มีหลายอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่นบีอิบรอฮีม อลัยฮิสลามทำ แต่ชาวอาหรับได้อ้างว่าพวกเขาตามนบีอิบรอฮีม แต่ พระผู้เจ้าได้ตำหนิพวกเขา และท่านมูฮำหมัด ก็ได้ทำให้มุสลิมได้ดู

การเผยแพร่ ซุนนะห์ของท่านนบี มีตั้งแต่ในขณะที่นบียังมีชีวิตอยู่ และก็เรื่อยมาจนยุคซอฮาบะห์ และตามลำดับ

เรื่องการรวบรวมฮะดิษนั้น ไม่เคยถูกนำมาเป็นข้อคัดค้านของพวกนักวิชาการตะวันตก
ลักษณะของฮะดิษเป็นอย่างไร ข้อพิจารณาเป็นอย่างไร คุณสามารถสอบถามจากผู้รู้ได้

การละหมาดที่ต่างกันไม่ใช่ปัญหาของมุสลิม เพราะนั่นเป็นปัญหาคิลาฟิยะห์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ตามสิ่งที่มาจากอัลกุรอ่าน และ ฮะดิษ

ท่านนบี คือตัวตนแห่งอัลกุรอ่าน ผู้ใดไม่รู้ว่านบี เคยทำอะไร พูดอะไรไว้ ไม่มีทางที่เขาจะเข้าสู่ความรู้แห่งกุรอ่านได้

[matt]

คุณ dabdulla

สบายดีหรือครับ อีกไม่นานอากาศคงจะเย็น ขึ้น บ้าง ระยะนี้ผมมีเวลามากหน่อย จึงเข้ามาคุยเกือบทุกวัน เรื่องเรียน ผมกำลังเรียนอยู่กับ อาจารย์ อาสัน ครับ ไม่เชื่อถามท่านดู ก็ได้ ผมไม่มีอะไรจะคัด ค้าน หรือ สนับสนุน ความเห็นของคุณ ขอชมว่าคุณเป็นมุสลิมที่ดีมากผู้หนึ่ง

วันนี้คุยกันเท่านี้ก่อนนะครับ



แมทท์

[dabdulla]

อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ อัลลอฮฮุอักบัร

ขออัลลอฮทรงชี้นำผม และคุณครับ

[AlGhuraba]

ทิ้งระยะมานานพอสมควร น่าจะถึงเวลา "ตามล้าง-ตามเช็ด" ได้แล้วกระมังครับ

Matto Le Chalier_ I

ผมอ่านเรื่อง การแยกแยะ ชนิดของความรัก โดย อัลลามะฮฺ อิบนุ กอยยิม อัล เญาซียะฮฺ ที่คุณ U ยกตัวอย่างมาอธิบายแล้ว ก็ เข้า ใจได้ทันที ว่า คุณ มีความสับสน ในเรื่อง ความศรัทธา ต่อพระผู้เป็นเจ้า “อัลลอฮ์” กับ ความรัก ตาม ความ รู้สึก ของมนุษย์ ธรรมดา
(matt : ชนิดของความรัก - Thu Jun 29, 2006 10:23 am�)
-----------------------------
ในทำนองเดียวกัน ผมไล่อ่านความคิดเห็นของจานแมทท์รอบนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าจานยังมีความสับสนในเรื่องบัญญัติของอัลลอฮฺในอัลกุรอานกับการปฏิบัติตามท่านนบีมุฮัมมัดอยู่เหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ก้าวเข้ามาที่นี่ ไม่ได้กระเตื้องหรือมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
-----------------

ถ้าเรา รักท่านรอซูล (ตามความรักของ มนุษย์ ด้วยความรู้สึก จาก ประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้ว) เคียงคู่ไปกับอัลลอฮ์ ก็จะตรง กับความรัก ใน แบบที่สี่ ของ อัลลามะฮฺ อิบนุ กอยยิม อัล เญาซียะฮฺ คือ รักบางสิ่งเคียงคู่ไปกับอัลลอฮฺ ความรักนี้จะนำไปสู่ การ กระ ทำ ที่เป็น “ชิรกฺ” (การตั้งภาคี) ทุกคนที่รักสิ่งอื่นเคียงคู่กับอัลลอฮฺแต่ไม่ได้รักเพื่ออัลลอฮฺนั้น ถือว่าได้ นำสิ่งนั้นมา เป็นเทียบเคียงคู่กับอัลลอฮฺ นี่เป็นความรักของพวกมุชริกีน,

ความรักเช่นที่กล่าวมานี้ คือ ความรักที่ ชาวคริสเตียน มี ต่อ ท่าน นะบี อีซา ซึ่งในที่สุด ก็กลาย เป็นการ สร้าง ภาคีขึ้นมา จนได้ อย่างที่เรา เห็น กัน อยู่ ในปัจจุบันนี้ (จากคำจำกัดความของ อัลลามะฮฺ อิบนุ กอยยิม อัล เญาซียะฮฺ )

เราจะเห็นว่า ความรักที่เรามีต่อท่าน รอซูล นั้น จะ เป็น ความรักชนิดเดียวกับ ความศรัทธา ที่เรา มีต่อพระองค์อัลลอฮ์ “ไม่ได้อย่างเด็ดขาด” ถ้า คุณจะค้าน ว่า เราสามารถที่จะรักท่านรอซูล คู่เคียง ไปกับอัลลอฮ์ ได้เพราะ ว่า เรา รัก ท่าน รอซูล เพื่ออัลลอฮฺ, พระองค์อัลลอฮ์ มีบัญญัติไว้ว่า ให้ รัก และ เชื่อฟัง ท่าน รอซูล

ถ้า เป็น เช่นนั้นแล้ว มุสลิมก็ สามารถที่จะกราบไหว้บูชาท่านรอซูลได้ เท่าเทียม กับ อัลลอฮ์ หรือกล่าว นามของ รอซูล ในขณะทำการละหมาด ได้กระนั้น หรือ?
(matt : ชนิดของความรัก - Thu Jun 29, 2006 10:23 am�)
-----------------
มีหลายต่อหลายอายะฮฺที่บอกว่า...

(يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ)... أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ
(โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย !)... จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรอซูลเถิด (5:92; 24:54; 47:33; 64:12)

อะกีดะฮฺในอิสลาม ไม่ใช่เพียงแค่ตวัดลิ้นว่าศรัทธาต่ออัลลอฮฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวแล้วมันจะจบเพียงเท่านั้น มุสลิมจริง...ต้องปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ด้วยเพราะพระองค์ทรงสั่งให้เชื่อฟังพระองค์ตามคำสั่งที่มีมาในอัลกุรอาน สั่งให้เชื่อฟังท่านนบีมุฮัมมัดที่มาทำหน้าที่บอก สอน ชี้แจงนัยยะต่างๆของอัลกุรอานตามที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากอัลลอฮฺว่า เรื่องไหนปฏิบัติอย่างไร สิ่งใดเป็นข้อห้าม สิ่งใดเป็นข้ออนุมัติ แค่ไหน เพียงใด

การเชื่อฟังปฏิบัติตาม อัลลอฮฺและรอซูล นี้ แม้จะกล่าวไว้ในอายะฮฺเดียวกัน แต่บุคคลทั้งสองย่อมอยู่ในฐานะต่างระดับกัน

อัลลอฮฺ คือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่มีสิ่งใดสูงส่งเสมอพระองค์
ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม)คือผู้ที่พระองค์ทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ ก็ไม่มีทางจะสูงส่งทัดเทียมอัลลอฮฺได้ ประการหนึ่งท่านมิได้อ้างตนเช่นนั้น และอีกประการหนึ่งก็ไม่มีมุสลิมคนใดยึดถือท่านในฐานะเช่นนั้นด้วย ดังนั้นจานแมทท์ไม่ต้องปรักปรำใครหรอกครับว่าเขาจะประพฤติปฏิบัติเยี่ยงชาวนะศอรอปฏิบัติต่อท่านนบีอีซา เพราะใน"อิสลาม" ท่านนบีมีคำสั่งไว้ชัดเจนซึ่งไม่มีปรากฏอยู่ใน "ศาสนาคิด" ของอาจานเลย...ว่า

لَا تُطْرُونِي كَمَا أَطْرَتِ النَّصَارَى ابْنَ مَرْيَمَ فَإِنَّمَا أَنَا عَبْدُهُ فَقُولُوا عَبْدُ اللَّهِ وَرَسُولُهُ.... البخاري : أحاديث الأنبياء
"ท่านทั้งหลายจงอย่ายกย่องฉันจนเลยเถิด เหมือนที่พวกนะศอรอปฏิบัติต่อบุตรของมัรยัม เพราะแท้ที่จริงฉันเป็นเพียงบ่าวของพระองค์ ดังนั้นจงกล่าวเพียงว่า 'บ่าวของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์' " (บุคอรี)

อีกทั้งอัลกุรอานก็ย้ำอีกว่า...

قُلْ يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي رَسُولُ اللّهِ إِلَيْكُمْ جَمِيعًا الَّذِي لَهُ مُلْكُ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ لا إِلَـهَ إِلاَّ هُوَ يُحْيِـي وَيُمِيتُ فَآمِنُواْ بِاللّهِ وَرَسُولِهِ النَّبِيِّ الأُمِّيِّ الَّذِي يُؤْمِنُ بِاللّهِ وَكَلِمَاتِهِ وَاتَّبِعُوهُ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงฉันเป็นรอซูลของอัลลอฮฺมายังพวกท่านทั้งมวล (จากอัลลอฮฺ)ผู้ซึ่งปริมณฑลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นของพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ นบีผู้อ่านเขียนไม่เป็นนี้เถิด เขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺและดำรัสทั้งหลายของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกท่านจะได้รับการชี้นำทาง(ที่เที่ยงตรง) (7:158)

สำหรับผู้ที่ประกาศ 2 ชะฮาดะฮฺ นี่จึงเป็นการจำแนกอย่างชัดเจนว่า อัลลอฮฺก็คือพระเจ้า และมุฮัมมัดก็คือมนุษย์ที่เป็นศาสนทูตของพระองค์ ไม่มีการล้ำเส้นเด็ดขาดระหว่าง "พระเจ้า" กับ "ศาสนทูตของพระเจ้า" ไม่มีใครประกาศหรือแม้แต่เข้าใจว่าท่านนบีมีส่วนร่วมในการได้รับการสักการะคู่เคียงอัลลอฮฺ เมื่ออัลลอฮฺทรงสั่งว่า "กุล" คือให้ท่านนบีประกาศว่าท่านเป็นรอซูลของพระองค์ เรา...ผู้ซึ่งพระองค์ทรงสั่งให้ศรัทธาและปฏิบัติตามท่านนบี...จึงต้องประกาศด้วยว่า... มุฮัมมัด-รอซูลุลลอฮฺ... ใช่มั้ย? ใครดื้อด้านปฏิเสธที่จะประกาศตามที่อัลลอฮฺทรงสั่งท่านนบีมา มันผู้นั้นคือ กาฟิร!

แม้แต่การกล่าวนามท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ในละหมาด ก็ไม่มีข้อความหรือความรู้สึกใดเลยที่มุสลิมถือเสมือนว่าท่านนบีเป็นส่วนหนึ่งหรือมีหุ้นส่วนในการเป็นภาคีกับอัลลอฮฺอย่างที่บางคนพยายามใส่ความสามหาว รู้หรือเปล่าครับว่ามุสลิมเขากล่าวอะไร?

أشهد أن لاإله إلاالله ... وأشهد أن محمدا عبده رسوله
ตามที่อัลลอฮฺทรงสั่งเป๊ะ ตรงไหนครับที่ส่อให้เห็นว่าเป็นการ "กราบไหว้บูชาท่านรอซูลได้ เท่าเทียม กับ อัลลอฮ์ " ?

ใช่แต่เท่านั้น เรายังกล่าวอีกว่า

اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَعَلَى آلِ إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ
اللَّهُمَّ بَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَعَلَى آلِ إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ
นี่ก็เพราะอัลลอฮฺสั่งอีกนั่นแหละ .....

إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيمًا
แท้จริงอัลลอฮฺและมลาอิกะฮฺของพระองค์เศาะละวาตแก่นบีท่านนี้ โอ้บรรดามุอ์มินทั้งหลาย จงเศาะละวาตแก่เขา และกล่าวสลามโดยคารวะเถิด (33:56)

เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่การตั้งภาคีเช่นที่ทั่นป้ายสีเลยแม้สักนิดครับ
---------------

[AlGhuraba]

Matto Le Chalier_ II

พระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานอัลกุรอานเป็น Text มาให้แล้ว และท่านรอซูล ก็ไม่ได้ ใช้ตำราเล่มใดเลย นอก จาก อัลกุรอาน ทำไมเราจึง ไม่ตาม ซุนนะห์ ของท่าน รอซูล และ แนวทางที่พระเจ้าให้ไว้ (อัลกุรอาน)
(matt : ชนิดของความรัก - Tue Jul 04, 2006 10:32 am�)
----------------
ต่อให้มีตำราที่จานเห็นว่าดีพอให้นบีใช้เป็นคู่มืออีกเป็นร้อยเป็นพันเล่ม ท่านนบีก็ไม่ใช้ตำราเหล่านั้นแน่นอน เพราะอัลลอฮฺทรงยืนยันว่า "وَرَسُولِهِ النَّبِيِّ الأُمِّيِّ " รอซูลของพระองค์ท่านนี้ เป็น"อัล-อุมมีย์" เป็นนบีที่อ่าน-เขียนไม่ได้ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเราต้องไม่ใช้ตำราอื่นๆด้วย จะให้เหมือนนบีจริงๆอย่างกำปั้นทุบดิน มีทางเดียวคือ เราก็ต้อง อุมมีย์ เหมือนนบีด้วยน่ะสิ ???

การอ้างว่า "ท่านรอซูล ก็ไม่ได้ ใช้ตำราเล่มใดเลย นอก จาก อัลกุรอาน" จึงฟังดูเสมือนผู้พูดกล่าวออกมาโดยไม่ใช้สมอง หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า ไม่มีสมองจะใช้ !

อัลกุรอานนั้นอุบัติขึ้นครั้งแรกในโลก เมื่ออัลลอฮฺทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัดมาทำหน้าที่นำสาส์นของพระองค์มาประกาศแก่ชาวโลก ก่อนท่านนบีเกิด ยังไม่มีมนุษย์หรือญินคน(ตน)ใดได้รู้จักอัลกุรอานมาก่อน ดังนั้นจึงยังไม่มีใครสามารถอรรถาธิบายแจกแจงนัยยะต่างๆแห่งอัลกุรอานให้แก่ชาวโลกได้รับรู้หรือเข้าใจ และใช้เป็นแบบอย่างแนวทางในการดำเนินชีวิตตามบัญญัติของพระองค์อัลลอฮฺที่ทรงบัญชามาในคัมภีร์ฉบับนี้ได้แม้แต่คน(ตน)เดียว ไม่มีทั้งที่เป็นคำพูดด้วยวาจา และไม่มีทั้งที่เป็นอักขระจารึกไว้ในวัตถุธาตุใดๆในพื้นพิภพ แปลง่ายๆให้คนไร้สมองเข้าใจชัดๆได้ว่า สมัยท่านนบีมุฮัมมัดนั้นยังไม่ตำราเล่มใดให้ท่านใช้เป็นคู่มือในการแจกแจงข้อบัญญัติและแนวทางแห่งศาสนาของอัลลอฮฺให้แก่ประชาชาติสุดท้ายในดุนยาเลยนอกจาก ตัวท่านนบีเองที่จะปฏิบัติและสั่งสอนตามวะฮีที่ท่านได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาล เพื่อให้บรรดาเศาะหาบะฮฺได้เข้าใจความหมายและรายละเอียดที่ถูกต้องของอายะฮฺต่างๆในอัลกุรอาน แล้วนำสิ่งที่ได้พบเห็น ได้เรียนรู้จากท่านนบีมุฮัมมัดไปสั่งสอนบอกกล่าวแก่ชนรุ่นต่อมาๆจนถึงเราทุกวันนี้ และเพื่อให้การสืบทอดความรู้ความเข้าใจในศาสนาเป็นไปอย่างถูกต้องไม่บิดเบี้ยว เปลี่ยนแปรไปกับกาลเวลา สิ่งที่ท่านนบีสั่งสอนและปฏิบัติไว้ซึ่งเป็นการอธิบายรายละเอียดของอัลกุรอานนั้นจึงได้ถูกรวบรวมและบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในตำราหะดีษ

ท่านนบีจะใช้ตำราหรือไม่ใช้ตำรา ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราเลย คำสั่งก็คือคำสั่ง เมื่ออัลลอฮฺทรงสั่งให้เชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูลผู้เป็นนบีที่ "อุมมีย์ - อ่านเขียนไม่เป็น" ท่านนี้โดยทรงย้ำว่า "เขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺและดำรัสทั้งหลายของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามเขาเถิด" ไม่ได้แปลว่าเราต้องไม่ใช้ตำราทำตัวเป็น "อุมมีย์" อย่างท่านนบี แต่แปลว่า จงทำพยายามปฏิบัติตามท่านนบีเถิด ไม่ว่าท่านจะมีตำราไหนใช้หรือไม่ก็ตาม ไม่หลงแน่
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่ออัลลอฮฺทรงสั่งให้ปฏิบัติตามนบีนั้น เราเต็มใจแค่ไหนในการเชื่อฟังคำสั่งนี้ของพระองค์ เราเอาจริงเอาจังแค่ไหนในการทุ่มเทเพื่อสืบค้นว่า ท่านนบีปฏิบัติอย่างไร สั่งอะไร ห้ามอะไร
فَاتَّقُوا اللَّهَ مَا اسْتَطَعْتُمْ
ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮฺให้เต็มที่สุดความสามารถ (64:16)
ถ้ากุรอานบ้านใครยังมีอายะฮฺนี้จารึกอยู่ จงถามตัวเองเถิดว่า... สุดๆหรือยังที่จะแสวงหาว่าท่านนบีสอนอะไรบ้างเพื่อจะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง? ดังนั้นต่อให้ลิ้นตวัดถึงท้ายทอยว่า "ศรัทธาต่ออัลลอฮฺองค์เดียว" ก็ฟังไม่ขึ้นหรอกครับถ้ายังแกล้งเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เพิกเฉยต่อคำสอนของท่านนบี เกียจคร้านพาลพาโล กล่าวหาพล่อยๆว่า หะดีษทั้งหมดเชื่อถือไม่ได้!
أَرَأَيْتَ مَنِ اتَّخَذَ إِلَهَهُ هَوَاهُ أَفَأَنتَ تَكُونُ عَلَيْهِ وَكِيلًا
เจ้าได้เห็นหรือไม่ ผู้ที่ยึดเอาอารมณ์ความคิดเห็นของตัวเองเป็นพระเจ้า แล้วเจ้าจะเป็นผู้คุ้มครองมันกระนั้นหรือ? (25:43)

ดังนั้นที่เที่ยวโอ่ตรงโน้นที ตรงนี้ทีว่า "ศรัทธาต่ออัลลอฮฺองค์เดียว" นั้นแท้ที่จริงแล้ว "อัตตา" ต่างหาก ที่เป็นพระเจ้าของมนุษย์ชนิดอย่างนี้ ซึ่งท่านนบีย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพฤติกรรมของมันที่ปฏิเสธคำสั่งคำสอนของท่าน

[AlGhuraba]

---------------------------
Matto Le Chalier_ III
---------------------------

"การจงรักภักดีต่อบุคคล ที่เป็น ผู้ นำของ ประเทศ เช่น คอลีฟะห์ หรือ ต่อ พระมหากษัตริย์ ประมุขของประเทศ เป็นการกระทำที่ อยู่ ภายใต้หลักการ ของอิสลาม"
(matt : ชนิดของความรัก , Thu Jun 29, 2006 10:23 am )
-------------------------------
ถูกต้องครับ
ซึ่งเราก็มีตัวอย่างของผู้ปกครองในอุดมคติที่เป็นผลผลิตจากการสั่งสอนของท่านนบีมุฮัมมัดมากมาย

ส่วนหนึ่งจากคำปราศรัยของท่านอบูบักร์ในวันที่ท่านรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ ท่านกล่าวว่า "จงช่วยเหลือฉันถ้าหากว่าอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง และจงดัดฉันให้ตรงถ้าหากว่าฉันทำผิด...ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังฉันเมื่อฉันเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แต่ถ้าหากว่าฉันทรยศต่อพระองค์ ดังนั้นท่านทั้งหลายไม่ต้องเชื่อฟังฉัน"

ในสมัยที่ท่านอุมัรดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺท่านก็เคยกล่าวปราศรัยคล้ายๆกันว่า "ดังนั้นในภารกิจนี้ ฉันขอความช่วยเหลือจากพวกท่านว่า ถ้าฉันปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง พวกท่านก็จงปฏิบัติตามฉัน แต่ถ้าฉันหันเหออกจากทางที่ถูกต้อง พวกท่านจงแก้ไขฉันด้วย เพื่อว่าพวกเราจะได้ไม่หลงทาง....”

ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่งมีผู้ฟังลุกขึ้นประกาศแสดงความจงรักภักดีอย่างจริงใจ และจริงจังต่อหน้าท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัร ว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ อุมัรเอ๋ย ถ้าหากว่าเมื่อใดที่ท่านไม่ยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง ฉันจะดัดท่านให้ตรงด้วยดาบของฉัน" แปลว่า ไม่ว่าจะเป็นเคาะลีฟะฮฺ เป็นกษัตริย์ เป็นนาย ก... นาย ข หรือ ประธานา-ทิป-บ่-ดี ฯลฯ เป็นอะไรก็ช่าง ถ้าเป๋ออกไปจากทางของอัลลอฮฺเมื่อใด เป็นได้เจอดีแน่...

ถ้าในยุคนี้ ผู้ปกครองคนไหนเจออย่างนี้เข้า คงสะอึกทีเดียว แล้วอาจจะรีบเผ่นลงจากแท่นปราศรัยแทบไม่คิดชีวิต แต่ท่านอุมัรได้ยินอย่างนั้น ท่านดีใจครับ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ การสรรเสริญทั้งหลายเป็นของอัลลอฮฺ ที่ทรงทำให้ประชาชาตินี้มีคนเช่นนี้ ที่กล้าคานอำนาจของผู้ปกครอง

ดังนั้นจานแมทท์ เข้าใจถูกแล้วละครับ ว่าเราทุกคนต้องช่วยกันไม่ว่าจะระดับไหน ใครจะเป็นผู้เถลิงอำนาจราชศักดิ์ ผู้ปกครองหัวเมือง แว่นแคว้น หรืออาณาจักรในสมมุติของชาติใดก็ตาม ต้องอยู่ในร่องในรอย(ตามหลักธรรมที่อิสลามยอมรับ) จึงจะได้รับความจงรักภักดีจากประชากรมุสลิม(แท้ๆ) หรือถ้าเป็นประชาชนพลเมืองก็ต้องมีความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองตามแนวทางที่ท่านนบีวางไว้ อย่าได้แตกแถว เพื่อให้โลกนี้ดำรงอยู่ด้วยสันติสุขตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺทรงสั่งไว้อีกว่า....

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรอซูลเถิด และ(เชื่อฟัง)ผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย (หมายถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ในหมู่พวกเจ้าที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครอง เมื่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นสั่งให้ทำสิ่งใดก็จงปฏิบัติตาม ) แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺ(ตรวจสอบดูกับอัล-กุรอาน) และรอซูล (ซุนนะฮ์ คำสั่ง คำสอนของท่านนบี) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง (4:59)....

คราวนี้มีคำว่า อุลิลอัมร์ - ผู้ปกครอง ถูกนำมากล่าวไว้รวมกับ อัลลอฮฺ-รอซูล ในอายะฮฺเดียวกันด้วย อัลลอฮฺกับรอซูลนั้น เราได้ทราบไปแล้วว่า ต่างระดับกันอย่างไร อุลิลอัมร์ ก็เช่นกัน

อุลิลอัมร์ คือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการ ดำเนินงานเพื่อความเป็นไปต่างๆในสังคม ซึ่งอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ได้กำชับไว้อย่างหนักแน่นว่าให้มุสลิมทั้งหลายเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ดังนั้นข้อความต่อมาที่บอกว่า...
"ทั้งนี้ เพราะ ว่า ไม่เกี่ยว กับ หลัก อากีดะห์, ถึงแม้ว่า คอลีฟะห์ خليفة จะหมายถึง มุสลิม อุมมะห์ เราก็ ให้ความรัก อย่างมนุษย์ เท่านั้น ไม่อาจจะ ให้ความจงรักภักดื เทียบเท่าพระเจ้าได้ "
(matt : ชนิดของความรัก , Thu Jun 29, 2006 10:23 am )
-------------------------------
จึงผิดครับ!
เพราะอัลลอฮฺทรงสั่งให้เชื่อฟังผู้ปกครองด้วย ดังนั้นการที่มุสลิมจะฏออฺะฮฺ เชื่อฟังใครหรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องมาจากศรัทธาโดยตรงด้วย ถ้าอัลลอฮฺไม่สั่ง นบีไม่ย้ำ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่จะต้องฟัง จะบอกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับอฺะกีดะฮฺ ไม่เกี่ยวกับศรัทธา จึงเป็นบทสรุปที่ตื้นเขินเกินไป

แต่จะเชื่อขนาดไหน จะฟังอะไร ต้องย้อนกลับไปดูว่าอัลลอฮฺทรงสั่งอย่างไร ท่านนบีอธิบายไว้แค่ไหน
ไปดูในอัลกุรอานจะไม่พบคำอธิบายเรื่องนี้เลย นั่นแปลว่าถ้าเอาแต่กุรอานอย่างเดียว ก็ต้องเชื่อตะพึดตะพือ .... ปฏิบัติตามทุกอย่างที่เขาจูงจมูก...กระนั้นหรือ?

สิ่งที่เราพบในคำสอนของอิสลาม ซึ่งแน่นอน ไม่มีอยู่ใน “ศาสนาคิด” ของอาจานอีกเช่นกัน คือต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยไม่ต้องเกี่ยงในเรื่องชาติพันธุ์ สีผิวหรือฐานะ
قَالَ أَبُو ذَرٍّ أَوْصَانِي خَلِيلِي صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ أَسْمَعَ وَأُطِيعَ وَإِنْ كَانَ عَبْدًا حَبَشِيًّا مُجَدَّعَ الْأَطْرَافِ ( إبن ماجه : الجهاد )
อบูซัรร์ เล่าว่า "สหายของฉัน(หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม )สั่งว่า ให้ฉันเชื่อฟังและปฏิบัติตาม(ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง) แม้ว่าเขาจะเป็นทาสนิโกรทุพลภาพก็ตาม" (อิบนิมาญะฮฺ)

แต่จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามได้แค่ไหน?...

‏عن ‏ ‏ابن عمر ‏عن النبي ‏ ‏صلى الله عليه وسلم ‏ ‏أنه قال ‏ ‏على المرء المسلم السمع والطاعة فيما أحب وكره إلا أن يؤمر بمعصية فإن أمر بمعصية فلا سمع ولا طاعة
ท่านอิบนิอุมัรเล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "สำหรับมุสลิมนั้นเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม(ผู้ปกครอง)ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบ นอกเสียจากว่า ถ้าเขาถูกสั่งในสิ่งที่เป็นการดื้อดึงฝ่าฝืน(ต่อบัญญัติของอัลลอฮฺ) ดังนั้นถ้าหากเขาถูกสั่งให้ดื้อดึงฝ่าฝืนก็ไม่ต้องเชื่อฟัง ไม่ต้องปฏิบัติตาม" (มุสลิม)

การเชื่อฟัง หรือจงรักภักดีต่อผู้ปกครองทุกระดับชั้น จึงต้องมีขอบเขตภายใต้กฎบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และไม่มีการจงรักภักดี ไม่มีการเชื่อฟังเด็ดขาดในส่วนที่เกินเลยไปจากนั้น ท่านนบีสั่งไว้ว่า

لاطاعة لمخلوق في معصية الخالق (رواه أحمد)
ไม่มีการเชื่อฟังใดๆทั้งสิ้นในเรื่องที่ฝ่าฝืนต่อพระผู้สร้าง (อะหฺมัด)

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะอ้างได้อย่างไรเล่าว่า....

เป็นหน้าที่ของมุสลิมไทยทุกๆท่าน ที่กำเนิด บนผืนแผ่น ดินไทย จะต้องแสดง ให้เห็น ว่าเรามี ความจงรักภักดี ต่อ ประมุข ของประเทศ คือ องค์พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ เพราะว่า พระองค์ ไม่สามารถ จะล่วงรู้ ในจิตใจ ของ พสกนิกร ของพระองค์ ได้
(matt : ชนิดของความรัก , Thu Jun 29, 2006 10:23 am )
---------------------------
1 เพราะการจงรักภักดีนั้นถูกจำกัดไว้แล้วว่าต้องเฉพาะกรณีที่ไม่ฝ่าฝืนต่อพระผู้สร้างเท่านั้น ดังนั้นถ้าจะใช้คำว่า..."เป็นหน้าที่ที่จะต้องจงรักภักดี" อาจจะพออนุโลมได้ในความหมายว่า ไม่แสดงการต่อต้านฝ่าฝืน หรือก่อความไม่สงบในแผ่นดิน ตราบเท่าที่ยังไม่มีการบังคับให้กระทำสิ่งที่ละเมิดบัญญัติของอัลลอฮฺ และให้การสนับสนุนในนโยบายหรือมาตรการต่างๆที่สอดคล้องกับคำสอนในอิสลาม แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความพยายามอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะหันเหมุสลิมออกจากคำสอนของศาสนา หรือทำลายล้างมุสลิมและหลักการอิสลาม เมื่อนั้น...فلا سمع ولا طاعة.....ไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องทำ! และยิ่งกว่านั้น.... "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ .... ฉันจะดัดท่านให้ตรงด้วยดาบของฉัน" ..... นั่นคือจุดยืนแห่งความจงรักภักดีของประชากรมุสลิมครับ

2 จะรักหรือเกลียด จะชอบหรือไม่ชอบ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ฯลฯ เหล่านี้คือ อารมณ์ความรู้สึกของปัจเจกชน ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับมนุษย์ด้วยกันได้ว่าคุณจะต้องเชื่ออย่างผม ต้องคิดอย่างผมสิ ... เธอต้องชอบเหมือนฉันนะ ... ฯลฯ ... แม้แต่อัลลอฮฺยังไม่ทรงบังคับให้มนุษย์ต้องศรัทธาต่อพระองค์เหมือนกันหมดทั้งโลก พระองค์ทรงให้แนวทางมาแล้ว ให้สติปัญญาฝังใต้กระโหลกมาให้ด้วย ก็เลือกเอาสิว่าจะเชื่อหรือจะปฏิเสธ

وَقُلِ الْحَقُّ مِن رَّبِّكُمْ فَمَن شَاء فَلْيُؤْمِن وَمَن شَاء فَلْيَكْفُرْ
และเจ้าจงกล่าวเถิดว่า สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นใครประสงค์(จะศรัทธา)ก็จงศรัทธา และใครประสงค์(จะปฏิเสธ)ก็จงปฏิเสธ ( 18:29 )

ดังนั้นการที่ใครจะมากำหนดกฎเกณฑ์ให้คนโน้นคนนี้ต้องคิดอย่างตัวนั้น มันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าความรู้สึกนั้นมันจะก่อกำเนิดขึ้นมาเองในหัวใจของเขา ตามข้อมูลที่ได้รับ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้หรอกครับ

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมบอกว่าไม่ให้จงรักภักดี หรือว่าไม่มีความรู้สึกนั้นอยู่ในใจ แต่ความจงรักภักดีของผม ไม่ใช่สีเหลือง ไม่ใช่สีเขียว ไม่ใช่การเอาป้ายโน้นป้ายนี้มาแปะรถให้เปรอะเลอะเทอะ ไม่ได้ผูกติดกับสถาบัน ไม่ใช่ผืนผ้าใดๆที่ต้องชักขึ้นไปชูไสวเอาใจใครอยู่บนยอดเสา แต่ต้องพิจารณาที่ตัวบุคคล ถ้าผู้นั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ก็ย่อมสมควรได้รับการจงรักภักดี เรามุสลิม ไม่ใช่พวกตีสองหน้า ถ้าจะรักใคร ก็รักด้วยใจ เมื่อจะคบใครก็มีความจริงใจมอบให้เสมอ

สิ่งที่ท่านนบีสั่งไว้คือ มุสลิมต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้ปกครองไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แสดงว่าการเชื่อฟังปฏิบัติตามนั่นก็เรื่องนึง การชอบหรือไม่ชอบก็เป็นอีกเรื่องนึง อย่าเอามามั่วปนกันนะครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้ปกครองยังไม่ล้ำเส้น ไม่ล่วงเกินขอบเขตของอัลลอฮฺ เมื่อนั้น มุสลิมต้องจงรักภักดี คือไม่ก่อการกระด้างกระเดื่อง สร้างความเสียหายในแผ่นดิน

คุณจาน อาจจะชอบเอาชื่อคนโน้นคนนี้มาแอบอ้างว่า "มุสลิมไทยรักในหลวงของเรา" ผมไม่ทราบหรอกครับว่ามุสลิมในแผ่นดินนี้...แผ่นดินที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของพวกเขาเกิด ตาย และฝังกันอยู่ที่นี่..เป็นล้านๆคน ใครเขาคิดอย่างไรกันบ้าง และก็ "เชลียร์(= เชียร์ + เลีย)" ใครไม่เป็นด้วย รู้แต่เพียงว่า "อัลลอฮฺทรงเกลียดพวกตีสองหน้า" ครับผม!

================