ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4 ... 25, 26, 27  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue Apr 11, 2006 1:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ yoohoo

คุณจะหุกุ่มหรือกล่าวหาผู้ใดหรือกลุ่มใดนั้น หากคุณไม่เห็นไม่รู้จริง โดยบอกว่าซอลาวาตต่อหน้าเจว็จบ้าง เดี๋ยววันนี้ก็ตลบแตลงบอกว่า อยู่หลังเจว็ด 50 เมตรบ้าง ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามแล้ว คำพูดของคุณนั้นใช้ไม่ได้ และอยู่ในขอบข่ายของการโกหกและเป็นคนโกหก คุณก็อย่าไปกุบัญญัติหุกุ่มศาสนากับผู้ใดเลยครับ หากพวกเรากล่าวว่า วะฮาบีย์ชอบโกหกเหมือนกับพวกชีอะฮ์ สงสัยคงไม่ผิด เพราะพฤติกรรมของคุณ yoohoo มันส่อ...


อ้างจากtruth

1. การแสดงความรักต่อท่านนบี ( ซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาและศาสนาใช้ให้กระทำด้วย ) บวกกับ การทำเสื้อหรือเย็บปักถักร้อย หรือ สกรีนเสื้อ ซึ่งโดยตัวของมันเองแล้วเป็นเรื่องทางโลกไม่เกี่ยวกับศาสนาแต่อย่างใด และในขณะที่ทำเสื้อนี้ออกมาก็ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

วิจารณ์

การแสดงความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยสือวิธีการของดุนยาหรือแสดงออกมาทางดุนยา เช่นสกรีนเสื้อ ถือว่าเป็นการแสดงความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.)ที่ได้ผลบุญตามหลักการของวะฮาบีย์!!! แต่การแสดงความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.) โดยรวมตัวกันซอละวาตขอพรต่อท่านนบี(ซ.ล.)ที่เป็นกิจลักษณะมีระเบียบเรียบร้อย(คือเป็นพิธีกรรมที่วะฮาบีย์ชอบนำมาใช้พูด) ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ ตกนรก ตามทัศนะของวะฮาบีย์ เราไม่ทราบว่าหลักการของวะฮาบีย์นี้ มาจากหลักการของสะละฟุศศอลิหฺหรือไม่?

อ้างจากtruth

2.การแสดงความต่อท่านนบี ( ซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาและศาสนาใช้ให้กระทำด้วย ) บวกกับ การทำเมาลิดซึ่งการทำเมาลิดนั้นจะมีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาผนวกด้วยเช่นการกล่าวสรรญเสริญนบีพร้อมๆกัน และพิธีกรรมอื่นๆที่เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งข้อนี้แตกต่างจากข้อแรก ( ข้อ 1 ) ซึ่งไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาใดๆทั้งสิ้นมาเกี่ยวข้องในขณะที่กำลังสกรีนเสื้อออกมา

วิจารณ์

การแสดงความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.) โดยการผนวกด้วยกับ บิดอะฮ์ดุนยา (ที่วะฮาบีย์แบ่งแยกบิดอะฮ์ออกเป็น บิดอะฮ์ศาสนา และบิดอะฮ์ดุนยา ซึ่งสลัฟไม่เคยแบ่งเอาไว้) เช่น เช่นการสกรีเสื้อ "เรารักนบี" ถือว่าได้ผลบุญ เพราะมันเป็นแค่ บิดอะฮ์ดุนยา และวะฮาบีย์ก็ส่งเสริมทำกันสิ่งเหล่านี้ เพื่อประกาศตนเองว่ารักท่านนบี(ซ.ล.) แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รวมตัวกันและกิจลักษณะมีระเบียบเรียบร้อย แล้วทำการซอลาวาตหรือขอพรให้ท่านนบี(ซ.ล.) กลับเป็น บิดอะฮ์ ตกนรก ตามทัศนะของวะฮาบีย์ ทั้งที่การซอละวาตท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นสิ่งที่วายิบ เจาะจง مقيد เช่น ซอลาวาตในละหมาด(ตะชะฮุด) และสุนัตสมัครใจให้กระทำโดยคำสั่งแบบกว้างๆ مطلق ซึ่งเราจะกระทำในรูปแบบใดก็ได้ตามความเหมาะสมที่ไม่ขัดกับหลักการของศาสนา จะทำแบบคนเดียว หรือจะทำแบบเป็นกลุ่ม โดยเป็นกิจลักษณะมีระเบียบเรียบร้อย ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ยอมรับในเรื่องการซิกิรและอ่านอัลกุรอานกันเป็นกลุ่มและแบบเป็นวง(หะละเกาะฮ์) และหลักฐานของวะฮาบีย์ที่ท่านอิบนุมัสอูดห้ามซิกิรแบบตีวงนั้น ถือว่ามีสายรายงานที่ฏออีฟอย่างชัดเจนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ (รายละเอียดค่อยว่ากัน)

อ้างจากtruth

3.การแสดงความต่อท่านนบี ( ซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาและศาสนาใช้ให้กระทำด้วย ) บวกกับ การจัดงานที่เกี่ยวกับท่านนบีโดยไม่มีการเจาะจงวัน และไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นการจัดนิทัศการแสดงชีวประวัติของท่านศาสดา ซึ่งการจัดนิทัศการโดยตัวของมันแล้วเป็นเรื่องทางโลก ซึ่งข้อ 3 นี้ก็ต่างไปจากข้อที่ 2 ตรงที่ข้อ 3 นี้ไม่มีพิธีกรรมใดๆทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

วิจารณ์

การแสดงความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นเรื่องของศาสนา และสื่อที่นำไปสู่ความรักนบี(ซ.ล.) ก็ย่อมเป็นเรื่องศาสนาด้วย หากแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องดุนยามาก่อน เนื่องจากเท่าไหร่แล้ว ที่เรื่องดุนยากลับกลายเป็นเรื่องศาสนา เนื่องจากาการเหนียตที่ดี และเท่าไหร่แล้ว ที่เรื่องของศาสนากลับกลายเป็นเรื่องดุนยาไปเนื่องจากเหนียตไม่ดี ดังนั้น หากการสกรีนเสื้อ "เรารักนบี" เป็น เรื่องของดุนยา หรือบิดอะฮ์ดุนยา ตามทัศนะที่วะฮาบีย์ยอมรับนั้น ก็ถือให้กระทำได้ครับ แต่กลับไม่ได้ผลบุญใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากมันเป็นเรื่องของดุนยา มุบาห์ (บิดอะฮ์มุบาห์ตามทัศนะของเรา แต่บิดอะฮ์ดุนยาตามทัศนะของวะฮาบีย์) หากวะฮาบีย์บอกว่า ต้องได้ผลบุญซิ เพราะว่าการมีเจตนากระทำขึ้นเพราะรักนบี(ซ.ล.) เราขอตอบว่า การรักนบี(ซ.ล.) นั้น เป็นเรื่องศาสนา เป็นอิบาดะฮ์ ดังนั้น การสกรีนเสื้อ "เรารักนบี" จึงเป็นเรื่องของศาสนา เนื่องจากการเหนียตเจตนาในเรื่องศาสนาอิบาดะฮ์(คือ การแสดงความรักต่อท่านนบี)

ดังนั้น หากเราพิจารณา จากข้อ 1 - 2 และ 3 นั้น การสกรีนเสื้อ "เรารักนบี" ที่วะฮาบีย์ทำขึ้น จะไร้ผลบุญโดยสิ้นเชิง หากพวกเขา แยกเรื่องศาสนา กับ ดุนยา(ทางโลก) เมื่อไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ก็แสดงว่า การสกรีนเสื้อของวะฮาบีย์นั้น เป็น บิดอะฮ์ดุนยา

อ้างจากtruth

เรื่องศาสนาที่ไม่มีแบบอย่างจากท่านนบีและซอฮาบะฮฺ (นั้นคือจัดเมาลิดและมีพิธรกรรมศาสนาต่างเข้ามาผนวก) เรื่องแรกเป็นสิ่งที่มีแบบอย่าง แต่เรื่องหลัง ( จัดเมาลิดและมีพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ) เป็นสิ่งที่ไม่มีแบบอย่าง พอมาผนวกเข้าด้วยกับจึงทำให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า บิดอะฮฺ
ทั้งสามข้อที่ยกมาเป็นสิ่งที่ บรรดาซอฮาบะฮฺสามารถกระทำได้โดยไม่มีปัจจัยอะไรมาขัดขวางไม่ให้กระทำ

วิจารณ์

"แบบอย่าง" ที่วะฮาบีย์ชอบพูดมานี้ หมายถึง การกระทำของท่านนบี(ซ.ล.) และซอฮาบะฮ์ และการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้กระทำนั้น ได้ชี้ถึงว่า หะรอม นอกจาก มีหลักฐานมายืนยันอย่างเจาะจงว่าหะรอม และมีการกระทำที่ผิดกับบัญญัติของศาสนา การซอละวาตท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นสิ่งที่วายิบ เจาะจง مقيد เช่น ซอลาวาตในละหมาด(ตะชะฮุด) และสุนัตสมัครใจให้กระทำโดยคำสั่งแบบกว้างๆ مطلق ซึ่งเราจะกระทำในรูปแบบใดก็ได้ตามความเหมาะสมที่ไม่ขัดกับหลักการของศาสนา จะทำแบบคนเดียว หรือจะทำแบบเป็นกลุ่ม โดยเป็นกิจลักษณะมีระเบียบเรียบร้อย ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ยอมรับในเรื่องการซิกิรและอ่านอัลกุรอานกันเป็นกลุ่มและแบบเป็นวง(หะละเกาะฮ์) และหลักฐานที่ท่านอิบนุมัสอูดห้ามซิกิรแบบตีวงนั้น ถือว่ามีสายรายงานที่ฏออีฟที่ชัดเจนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ (รายละเอียดค่อยว่ากัน)

และการกล่าวว่า ซอฮาบะฮ์ไม่ได้ทำนั้น เป็นหลักการบัญญัติที่ "ห้าม" ย่อมไม่ใช่หลักการของศะละฟุศศอลิหฺและไม่ใช่เป็นหลักฐานของหลักวิชานิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์) และการกล่าวว่า "หากสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดี บรรดาสะละฟุศศอลิหฺย่อมกระทำมาก่อนเรา" ซึ่งคำกล่าวนี้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานของศาสนาตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม ที่มาบ่งชี้ว่ามันเป็นสิ่งที่"หะรอม" ต้องห้าม หรือบิดอะฮ์ตกนรก ซึ่งหลักการนี้ ไม่ใช่หลักการของสะละฟุศศอลิหฺ แต่เป็นหลักการของวะฮาบีย์!!!
ดังนั้น หากว่าประเด็นหนึ่ง หรือปัญหาหนึ่ง ที่สะละฟุศศอลิหฺ(หรือผู้ที่อยู่ก่อนจากเขา)นั้นไม่ได้กระทำไว้ เป็นหลักฐาน ที่ชี้ว่า ไม่มีบทบัญญัติในศาสนาแล้ว แน่นอนว่า บรรดานักปราชญ์ตาบิอีน ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดและพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่บรรดาซอฮาบะฮ์ได้นิ่งเฉยไม่ได้กระทำและกล่าวกับมัน และแน่นอนว่า บรรดานักปราชญ์ตาบิอิตตาบิอีน ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะพูดและพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่บรรดานักปราชญ์ตาบิอีนได้นิ่งเฉยไม่ได้กระทำและกล่าวกับมัน ซึ่งหลักการนี้ ขัดแย้งกับคำกล่าวและหลักการของท่านอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล ท่าน อิบนุตัยมียะฮ์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อุซุลุลฟิกห์ของท่านว่า

قال أبو داود: قال أحمد بن حنبل:... فإذا وجدت عن رسول الله صلى الله عليه وآله وسلم لم أعدل إلى غيره، فإذا لم أجد... فعن الخلفاء الأربعة... فإذا لم أجد فعن أصحابه الأكابر فالأكابر... فإذا لم أجد فعن التابعين وتابع التابعين“، ولو كان عدم الرواية حجة على عدم المشروعية لكان ينبغي للتابعين أن يقولوا لو كان خيراً لسبقنا إليه الصحابة، وكان ينبغي لأتباعهم أن يقولوا: لو كان خير لسبقنا إليه التابعون

" ท่านอบู ดาวูด กล่าวว่า ท่าน อะหฺมัด บิน หัมบัลกล่าวว่า เมื่อฉันพบ(หลักฐาน) จากท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ฉันก็ไม่เคยผินไปยังผู้อื่นจากท่านร่อซูล และเมื่อฉันไม่พบ ก็เอาจากบรรดาคอลิฟะฮ์ทั้ง 4 และเมื่อฉันไม่พบ ก็จากบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้อวุโส และอวุโสถัดๆไป และเมื่อฉันไม่พบอีก ก็เอาจากตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน และหากว่า การไม่มีการรายงานมานั้น เป็นหลักฐานว่าไม่มีบทบัญญัติในศาสนา แน่นอนว่า เป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอีน โดยการกล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมทำกระทำล่วงหน้ามันมาก่อนแล้ว และเป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอิตตาบิอีน กล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้ามันมาก่อนแล้ว" ดู หนังสือ มุเซาวะดะฮ์ อาลิ ตัยมียะฮ์ หน้า 336

จากสิ่งที่ผมได้อ้างอิงมานั้น ย่อมชี้ให้เห็นว่า หากมีไม่มีสายรายงานมาระบุ บรรดาตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน ก็ไม่ได้เอาคำกล่าวที่ว่า" บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมทำกระทำล่วงหน้าไปยังมันก่อนแล้ว และเป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอิตตาบิอีน กล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้าไปยังมันก่อนแล้ว" มาเป็นหลักการและหลักฐาน ในการห้ามหรือหุกุ่มหะรอมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

และหลักการของท่านอิมามอะหฺมัดนี้ ก็อิงจากคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ซึ่งรายงานโดยท่าน อัลนะซาอีย์ ไว้ในสุนันของท่าน ในหะดิษที่ 5397 ว่า

فإن جاء أمر ليس في كتاب الله، ولا قضى به نبيه صلى الله عليه وآله وسلم، ولا قضى به الصالحون، فليجتهد رأيه

ท่านอิบนุมัสอูดกล่าวว่า "หากสิ่งหนึ่งที่ไม่มีระบุไว้ใน กิตาบุลเลาะฮ์ และท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้ตัดสินชี้ขาดมันไว้ และบรรดาผู้มีคุณธรรมก็ไม่ได้ตัดสินชี้ขาดมันไว้ ดังนั้น เขาก็จงวินิจฉัยด้วยกับความเห็นของเขา" (เช่นการกิยาส)

ดังนั้น หากการไม่มีรายงานมาระบุ เป็นหลักฐานที่ว่า ไม่มีบทบัญญัติในศาสนานั้น แน่นอนว่า ท่านอิบนุมัสอูดก็กล่าวไม่ได้ว่า "ดังนั้น เขาก็จงวินิจฉัยด้วยกับความเห็นของเขา" แต่ท่านอิบนุมัสอูด สมควรกล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี บรรดาผู้มีคุณธรรมก็ต้องกระทำล่วงหน้ามันมาก่อน(จากท่านอิบนุมัสอูด)แล้ว ดังนั้น จึงไม่อนุญาติให้ทำการวินิจฉัย แต่ท่านอิบนุมัสอูดไม่ได้กล่าวอย่างนั้น และไม่มีสะละฟุศศอลิหฺ ให้คำพูดดังกล่าวมาเป็นหลักฐานหุกุ่มเกี่ยวศาสนาในนิติศาสตร์อิสลาม ส่วนรายละเอียดที่ผมได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น ค่อยว่ากันครับ สำหรับเรื่องเมาลิดนบี(ซ.ล.)นั้น ความจริงเราอยากจะสนทนาอย่างเป็นทางการและในเชิงวิชาการเต็มรูปแบบ แต่ช่วงนี้ มันใกล้สอบกันแล้ว ก็เลยสนทนาแบบเต็มที่ในเรื่องเมาลิดนบี(ซ.ล.)ไม่ได้ และหากว่า ผมได้หนังสือ ของ นายมุรีด เกี่ยวกับเรื่องเมาลิด ก็คงจะดีไม่น้อย เผื่อผมจะได้จับเท็จและการหมกเม็ดได้บ้างนะครับ

และผมได้ฟังการปราศัยของ คุณ วาเฮด หวังประโยชน์ ซึ่งเขากล่าวว่า ต้นไม้ริดวาน(ที่ท่านนบีและบรรดาซอฮาบะฮ์ได้ทำการให้สัตยาบันนั้น) บรรดาซอฮาบะฮ์ต่างลืม ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ต้นใหน แต่หลักจากนั้น คุณ วาเฮดกล่าวว่า แล้วท่านอุมัรได้สั่งตัดต้นไม้นั้น ผมก็แปลกใจในคำพูดที่วกวนของ คุณวาเฮด หวังประโยชน์ ที่บอกว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ไม่รู้ (อันนี้ซอฮิหฺ) แต่ท่านอุมัรกลับสั่งตัด (อันนี้ฏออีฟ) ไม่รู้แล้วสั่งตัดได้อย่างไร??? (เรามาจับเท็จกันเถิด) ฮ้าๆ

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Tue Apr 11, 2006 1:39 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุมครับ คุณอัลฟารุก

ขออัลลอฮทรงตอบแทน ในความรู้ของท่านครับ

หลังจากสอบแล้ว ก็อย่าลืมมมาเสวนาในเชิงวิชาการใหม่นะครับ รวมทั้งคุณอัลอัซฮารีย์ด้วย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Tue Apr 11, 2006 2:13 pm    ชื่อกระทู้: وعليك& ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ถึงคุณ dabdulla

وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته وطيباته

หากผมจะเข้ามาในช่วงนี้ ก็คงเข้ามาสนทนาได้น้อยนะครับ เนื่องจากว่าใกล้สอบนะครับและผมได้ส่งข่าวสารให้คุณหนึ่งฉบับโปรดอ่านด้วยครับ


ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำคุณและเรา

wassalam

อัล-ฟารูก

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
yoohoo
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004
ตอบ: 65


ตอบตอบ: Tue Apr 11, 2006 3:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คิดว่าคนที่อยู่ทางเมืองไทยหลายคนเค้าได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน จากสิ่งที่เกิดขึ้นที่พรรคประชาธิปัด ผมก็อุตส่าห์บอกแล้วไงว่า จะอยู่หน้า อยู่หลัง อยู่ข้าง อยู่ห่างอย่างไงมันมีข้อแตกต่างกันมากนักรึครับ แล้วการที่คุณชอบว่าหรือฮุก่มคนอื่นเค้าน่ะ เป็นลักษณะของพวกอัชอารีย์ อัชชาฟิอี หรือไงครับ จะได้จำไว้ และจะได้ช่วยบอกต่อ
ส่วนคำถามง่าย ๆ ของผมซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจอะไรเลย ไม่ต้องนำหลักฐานอะไรที่มากมายเป็นน้ำท่วมทุ่งหรอกครับ แค่นำมาจากจิตสำนึกแห่งความเป็นมุสลิมที่ดีก็พอแล้ว ก็ยังไม่เห็นตอบแสดงจุดยืนให้ได้เห็นกันบ้างล่ะครับ อึดอัดมากนักรึครับ

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Tue Apr 11, 2006 4:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม ครับ คุณ คนอยากรู้

..ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเดินตาม แนวทางของผู้ใด ถ้าหากสิ่งนั้นทำให้ผมต้องยึดติดอยู่กับมัน และไม่สามารถหันเห ออกไปได้ และก็ไม่ได้ละอายใจ อะไรทั้งสิ้น
Embarassed วะอาลัยกุมสลามคุณดับดุลลา

Razz ผมว่าที่คุณกล่าวว่านั้นเป็นความเข้าใจผิดมากครับ การที่เราเชื่อฟังในสิ่งที่คนมีความรู้ชี้แนะหรือแนะนำสิ่งที่ผู้รู้เหล่านั้นก็เอาหลักฐานมาจากอัลกรุอ่านและอัลฮาดีส ทุกกระเบียดนิ้ว
ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการยึดติด..กับตัวบุคคลตรงไหนนี่ครับ

---การที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามบรรดาผู้รู้นั้น มันก็คล้ายๆกับการเชื่อฟังพ่อแม่นั้นแหละครับ ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าท่านต้องเป็นพระเจ้าหรือต้องเอาท่านมาเป็นภาคีเทียบเคียงกับพระองค์เลย..ตรงกันข้ามการที่คุณไม่อยู่ในหนทางไหนเลยนั้นเปรียบเสมือนคุณไม่มีเส้นทางเดินไปสู่เป้าหมายที่คุณวางไว้นะครับ และตราบใดที่คุณยังไม่มีจุดยืนในการอากีดะของคุณตรงนี้ถือว่าเป็นอันตรายสำหรับตัวคุณเอง คุณกล้าหรือครับ ที่จะยืนยันว่าตัวเองมีแนวทางที่ถูกต้องแล้วด้วยความคิดเป็นของตัวเอง... และมีหรือครับว่าการที่อยู่โดยไม่มีหนทางหนึ่งหนทางใด..ในการดำเนินชีวิตในเรื่องศาสนานั้นจะปลอดภัยตลอดวันกิยามมะฮ์

Crying or Very sad ผมว่าตรงกันข้ามคุณอาจจะโดยไชตอนมารร้ายคอยกระซิบกระซาบคุณหรือคอยชี้แนะคุณในการตัดสินใจสิ่งใด นั้นเพราะว่าคุณไม่มีแนวทางในการอ้างอิงหลักชีวิตของคุณ
แล้วคุณสามารถรับประกันตัวเองได้หรือครับว่า การที่คุณไม่เอาแนวทางหนึ่งทางใดคุณจะถือว่าคุณนั้นทำถูกต้องแล้ว...โดยไม่ต้องรับการชี้นำจากผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่าคุณ
แล้วคุณคิดหรือว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจนั้นถูกต้อง...
สิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้เอาอารมณ์หรือความรู้สึกตามนัฟซุตัวเรามาวัดนะครับว่า อันนั้นถูกอันนี้ผิด
แต่เดราต้องเอามาตรฐานของคนรู้จริงๆโดยเฉพาะบรรดาอุลามะในอดีตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ
มันจึงจะมีความปลอดภัยมากกว่าที่จะมานั่งตัดสินหรือมาสำรวจเองว่าอย่างนั้นผิดอย่างนี้ถูก
และย่อมเป็นการเสี่ยงมากนักกับอัลอิสลามซึ่งเป็นศานาของอัลลอฮ์(ซบ)นั้น ซึ่งมันไม่ใช่ศาสนาที่ต้องเอาอารมณ์ของตัวองมาตัดสินว่าสิ่งนี้อารมฌ์ชอบสิ่งนี้ฉันไม่เอาฉันไม่ตาม เพราะตัวเรานั้นไม่ได้เป็นคนมีความรู้ถึงขนาดสามารถที่จะในขั้นอิตติมาอะหรือระดับนักมุตะญิดเลย
คนระดับเราๆท่านนั้นยังจัดเป็นผู้ที่ด้อยในวิชาความรู้มากนักถ้าจะเทียบกับคนมีความรู้ระดับอุลามะในอดีต...ฉนั้นผมว่าสิ่งที่คุณดับดุลลากล่าววมานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนความเสี่ยงให้กับตัวเองครับ

----ที่ผมพร้อมในการเปลี่ยนแปลงตัวของผมเอง เมื่อมีหลักฐานที่ชัดเจนกว่า และถูกต้องกว่า ...

ตอบถ้าเช่นนั้นคุณคิดหรือว่าคุณสามารถหาหลักฐานได้ด้วยตัวคุณเองและหลักฐานต่างๆนั้นคุณสามารถวินิจฉัยด้วยความรู้ของคุณเองหรือครับ..ถ้าไม่ใช่เอาความคิดหรือความเข้าใจจาบรรดาผู้รู้ในอดีตกาลมากล่าวอ้าง ตราบใดที่คุณยังไม่ได้อยู่ในระดับมุตะญิดหรือยังไม่ถึงขั้นนั้น

ผมว่าเป็นการเสี่ยงมากครับที่คุณจะเดินทางเปลี่ยวคนเดียว โดยที่คนอื่นๆยังไม่ได้รับการยอมรับความคิดของคุณว่าถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆอัลลอฮ์(ซบ)จะรับรองการตัดสินใจในความคิดของคุณ
หรือไม่นั้นอันนี้น่าเป็นห่วง และที่แน่คุณต้องมั่นใจว่าเส้นทางที่คุณเดินนั้นท่านนบีเคยแนะแบบอย่างเอาไว้ เพราะคุณและผมเป็นคนยุคหลังสุดก็ว่าได้ ไม่ใช่เป็นผู้ร่วสมัยเดียวกับท่านนบี หน้าที่ของคุณกับผมคือ รับรู้และปฏิบัติตามในสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากคำสินยในอัลกรุอานและคำสอนของท่านนบี
และที่แน่นอนนั้นคุณก็ต้องไม่พ้นการชี้นำหรือการสอนเรียนจากคนมีความรู้อยู่ดีและครับ
ไม่ว่าจะป็นรูปแบบใดก็ตามเพราะคุณนั้นไม่สามารถมีความรู้ติดตัวเองมาตั้งแต่เกิดหรอกครับฮ้าๆๆ
แต่ความรู้นั้นมันมาทีหลังและคนที่เขารู้ก่อนเรานั้นมันก็มีอยู่แล้วและคนที่รู้จริงในวิชาการใดๆนั้น มันก็ไม่พ้นผู้รู้นั้นแหละครับ คุณดับดุลา ฮ้าๆๆๆๆเชื่อผมเถอะ..


คุณdabdullaครับ

--
"เขาจะเชิญศาสนาใหนก็เรื่องเจ้าภาพ" เออดีเนอะตอบแบบขวานผ่าซาก

อ้างเป็นงั้นไป หรือว่าไม่จริง ที่ผมพูด มันเป็นสิทธิของผู้เชิญนะครับ หรือว่าคุณไม่เคยมีเพื่อนต่างศาสนิกที่เชื้อเชิญคุณบ้าง ตรงนี้คุณอย่าหนีลงหลุมเอ้ยอย่าหนีความจริงซิครับ สังคมไทยนะครับเมืองไทยนะครับไม่ใช่ประเทศแถบอาหรับ

เรื่องการเชื่อเชิญไปงานของเขาเช่นงานแต่งงานหรืองานศพนั้นผู้เชิญเขาเชิญได้ทั้งนั้นนะครับเพราะเขาไม่รู้หลักการในศาสนาของเรา
ส่วนคูรจะไปหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิของคุณ..มันเห็นมีใครไปบังครับ ประเด็นอยู่ที่คุณไปเข้ารวมพิธีกรรมของเขาหรือไม่ละฮ้าๆๆ


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 2:16 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam yoohoo

แค่นำมาจากจิตสำนึกแห่งความเป็นมุสลิมที่ดีก็พอแล้ว ก็ยังไม่เห็นตอบแสดงจุดยืนให้ได้เห็นกันบ้างล่ะครับ อึดอัดมากนักรึครับ

วิจารณ์

งั้น คุณก็เอาจิตสำนึกมาตัดสินก็แล้วกันครับ ผมจะรับฟัง แต่สำหรับผมเอง ผมยังหุกุ่มไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่เห็นหลักฐานการกระทำดังกล่าว และผมขอกล่าวว่า لا أدرى "ฉันไม่รู้" เนื่องจากไม่มีหลักฐานมายืนยันอย่างชัดเจนในการหุกุ่มหรือแสดงจุดยืน แต่คุณได้ยินได้ฟัง ตามที่ผู้ที่คุณได้ยินได้ฟังจากคนที่คุณเชื่อถือ คุณก็ตัดสินได้เลยสบายเลยครับ ผมจะรับฟังครับ และสิ่งที่คุณบอกเล่า خبر มานั้น มันอาจจะเป็นสิ่งที่จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ ดังนั้น ผมขอถอนคำพูดที่บอกว่า คุณโกหก

wassalam

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 2:46 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

อ้างจากคุณไออาเอฟ

คุณ alfarook ได้ใช้คำว่า "จนแล้วจนเล่า" พวกวะฮาบีย์ก็ยกอิบนุ มัสอูดมาอ้าง..แล้วก็บอกว่าฎออีฟ ข้อแรกนะครับ ใครคนไหนบอกว่าฎออีฟ? ประวัติของผู้ที่มาชี้เป็นยังไง?

วิจารณ์

การล้อมวงซิกรุลลอฮ์

การล้อมวงซิกรุลลอฮ์นั้น มักจะมีการทำกันมากในทั้งภาคกลางและภาคใต้ ในหมู่พี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ มัซฮับชาฟิอีย์ ซึ่งส่วนมากจะกระทำเมื่อมีการทำบุญเลี้ยงอาหารพี่น้องมุสลิมทั้งคนรวยและคนจนที่ได้ถูกรับเชิญและไม่ถูกรับเชิญ การทำบุญเลี้ยงอาหารนี้ ภาษาอาหรับเรียกว่า إطعام الطعام บ้านเรานั้น หากมีการทำบุญเลี้ยงอาหารแล้ว ก็จะมีการล้อมวงอ่านซิกิร เช่น อ่านบรรดาอายะฮ์อัลกุรอานที่มีความพิเศษ กล่าวซิกรุลเลาะฮ์ เช่น กล่าวตะฮฺลีล กล่าวตัสบีหฺ กล่าวอิสติฆฟาร และกล่าวซ่อลาวาตต่อท่านนบี(ซ.ล.) แล้วก็ร่วมกันขอดุอาอ์ให้บรรดามุสลิมมีน ทั้งคนที่มีชีวิตอยู่และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และในอุอาอฺนั้น ก็จะมีการขออภัยโทษแก่บรรดามวลมุสลิมีนทั้งหลาย และทำการอุทุศส่วนกุศลให้แก่บรรดามุสลิมมีนที่ลุล่วงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนผลบุญที่การซิกรุลเลาะฮ์และการทำบุญเลี้ยงอาหาร

การล้องวงซิกรุลเลาะฮ์นั้น เมืองไทยบ้านเราเรียกว่า การทำตะฮฺลีล ในการซิกิรนั้นก็จะมีการกล่าวตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์)ด้วย และการกล่าวตะฮ์ลีลนี้ ก็เป็นหนึ่งในซิกิรที่ดีเลิศ บ้านเราจึงเรียกว่า การทำการตะฮ์ลีล บ้างเรียกว่า ทำอุอาอฺอัรเวาะฮ์(วิญญาน) เพราะว่าเมื่อเสร็จการซิกิรนั้น ก็จะขอดุอาอ์และอุทิศผลบุญการซิกิรให้แด่ดวงวิญญานของบรรดามุสลิมีนทั้งหลาย บ้างก็เรียกว่า อีซีกุบูร คือเมื่อทำการซิกิรเสร็จ ก็จะมีการขอดุอาอ์และอุทิศผลบุญเป็นของกำนัลให้แก่บรรดาพี่น้องมุสลิมที่อยู่ในกุบูร ดังนั้น การเรียกทั้งสามชื่อนี้ ก็คือการร่วมกันกล่าวซิกรุลลอฮ์นั้นเอง

ส่วนบ้านเราจะเรียกอย่างไรก็ตาม ย่อมไม่ปัญหาใดๆ เช่นการละหมาด เราจะเรียกว่า ละหมาด ซัมบะฮ์ยัง นมาช หรือ ซ่อลาฮ์ ก็ได้ เนื่องจากมันเป็นแค่การเรียกเท่านั้น และทุกคำที่เรียกนั้น ก็มีความหมายเดียวกัน และบรรดาอุลามาอ์กล่าวว่า لاَ مُشَاحَةَ فِى الإصْطِلَاحَاتِ "ไม่มีการขัดแย้งกันในเรื่องการเรียกศัพท์" การทำซิกรุลเลาะฮ์นี้ บ้านเราจะทำการเป็นพิธีกรรม หมายถึง ทำการเป็นกิจลักษณะโดยมีระเบียบเรียบร้อย โดยมีผู้เริ่มนำการซิกรุลเลาะฮ์ ซึ่งดังกล่าวนั้น เพราะเน้นความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้นเอง หากจะรวมตัวกันและต่างคนต่างซิกิรต่างอ่านอายะฮ์อัลกุรอานที่ตนเองต้องการ ก็คงจะสับสนวุ่นวาย ไร้ความมีระเบียบ ก็อาจจะทำให้ผู้ทำการซิกิรด้วยกันขาดสมาธิในการซิกรุลเลาะฮ์ทั้งวาจาและจิตใจ ดังนั้น เมื่อเราทราบถึงที่หลักการดังกล่าวแล้ว ผมก็ขอกล่าวหลักฐานแบบสรุปดังต่อไปนี้

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 2:54 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หลักการฐานในการร่วมซิกรุลเลาะฮ์แบบล้อมวง

حدثنا أبو بكر بن أبي شيبة‏.‏ حدثنا مرحوم بن عبدالعزيز عن أبي نعامة السعدي، عن أبي عثمان، عن أبي سعيد الخدري، قال‏whistling#8207;
خرج معاوية على حلقة في المسجد‏.‏ فقال‏whistling#8207; ما أجلسكم‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; جلسنا نذكر الله‏.‏ قال‏whistling#8207; آلله‏!‏ ما أجلسكم إلا ذاك‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; والله‏!‏ ما أجلسنا إلا ذاك‏.‏ قال‏whistling#8207; أما إني ما أستحلفكم تهمة لكم‏.‏ وما كان أحد بمنزلتي من رسول الله صلى الله عليه وسلم أقل عنه حديثا مني‏ وإن رسول الله صلى الله عليه وسلم خرج على حلقة من أصحابه‏.‏ فقال ‏"‏ما أجلسكم‏؟ قالوا‏whistling#8207; جلسنا نذكر الله ونحمده على ما هدانا للإسلام، ومن به علينا‏.‏ قال ‏"‏آلله‏!‏ ما أجلسكم إلا ذاك‏؟‏‏"‏ قالوا‏whistling#8207; والله‏!‏ ما أجلسنا إلا ذاك‏.‏ قال ‏"‏أما إني لم أستحلفكم تهمة لكم‏.‏ ولكنه أتاني جبريل فأخبرني؛ أن الله عز وجل يباهي بكم الملائكة‏

" เล่ากับเรา โดย อบูบักร บิน อบี ชัยบะฮ์ เล่ากับเราโดย มัรหูม บิน อับดุลอะซีซฺ จาก อบี นะอามะฮ์ อัลสะอฺอีย์ จาก อบีอุษมาน จากท่านอบีสะอีด อัลคุดรีย์ เขากล่าวว่า ท่านมุอาวิยะฮ์ได้ออกมาที่ กลุ่มคนวงหนึ่งในมัสยิด แล้วท่านมุอาวิยะฮ์กล่าวว่า อะไรที่ทำให้พวกท่านนั่งอยู่หรือ? พวกเขากล่าวว่า เรานั่งโดยที่เราทำการซิกรุลลอฮ์ ท่านมุอาวิยะฮ์กล่าวว่า อัลเลาะฮ์! ไม่มีอะไรทำให้พวกท่านนั่งนอกจาก ดังกล่าวนั้นดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์! ไม่มีอะไรที่ทำให้เรานั่งอยู่เว้นแต่สิ่งดังกล่าวนั้น ท่านมุอาวิยะฮ์กล่าวว่า พึงทราบเถิด แท้จริง ฉันไม่เคยขอการสาบานกับพวกท่าน อันเนื่องจากความสงสัยแก่พวกท่าน โดยที่ด้วยฐานะ(ทางเครือญาติ)ของฉัน จากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)แล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะเล่าหะดิษจากท่านร่อซูลน้อยไปกว่าฉัน และแท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้เคยออกไปยัง วงหนึ่ง จากบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน แล้วท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า อะไรที่ทำให้พวกท่านนั่งอยู่หรือ? บรรดาซอฮาบะฮ์กล่าวว่า เราได้นั่งเพื่อกล่าวซิกรุลเลาะฮ์ และทำการสรรญเสริญอัลเลาะฮ์ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำกับเราไปยังอิสลาม และสิ่งที่พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานแก่เรา ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า อัลเลาะฮ์! ไม่มีอะไรทำให้พวกท่านนั่งนอกจาก ดังกล่าวนั้นดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์! ไม่มีอะไรที่ทำให้เรานั่งอยู่เว้นแต่สิ่งดังกล่าวนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า พึงทราบเถิด แท้จริง ฉันไม่เคยขอการสาบานกับพวกท่าน อันเนื่องจากความสงสัยแก่พวกท่าน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ท่านญิบรีลได้มาหาฉัน แล้วบอกกับฉันว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงอวดยกย่องกับมะลาอิกะฮ์ด้วยกับพวกท่าน" ดู ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 2701 ‏

حدثنا محمد بن المثنى وابن بشار‏.‏ قالا‏whistling#8207; حدثنا محمد بن جعفر‏.‏ حدثنا شعبة‏.‏ سمعت أبا إسحاق يحدث عن الأغر، أبي مسلم؛ أنه قال‏whistling#8207; أشهد على أبي هريرة وأبي سعيد الخدري أنهما شهدا على النبي صلى الله عليه وسلم؛
أنه قال ‏"‏لا يقعد قوم يذكرون الله عز وجل إلا حفتهم الملائكة، وغشيتهم الرحمة، ونزلت عليهم السكينة، وذكرهم الله فيمن عنده‏

ท่านอิมามมุสลิม ได้รายงานว่า ได้เล่าวกับเราโดยมุหัมมัด บิน มุษันนา และ อิบนุ บัชชาร ทั้งสองกล่าวว่า ได้เล่ากับเราโดย มุหัมมัด บิน ญะฟัร ได้เล่ากับเราโดย ชัวะอฺบะฮ์ ฉันได้ยิน อะบาอิสฮาก ทำการเล่าจาก อัลอะฆ๊อรรฺ อบูมุสลิม เขากล่าวว่า ฉันขอเป็นพยานยืนยันว่า ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์และท่านสะอีดอัลคุฏรีย์ ซึ่งทั้งสองเป็นพยานยืนยันว่า แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า " ไม่มีคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มได้ ได้นั่งทำการซิกรุลเลาะฮ์ นอกจากว่า บรรดามะลาอิกะฮ์จะห้อมล้อมพวกเขา และความเมตตาก็แผ่คลุมกับพวกเขา และความสงบสุขก็ได้ลงมาบนพวกเขา และอัลเลาะฮ์ก็ทรงกล่าวกับพวกเขา แก่ผู้ที่อยู่ ณ พระองค์" ดู ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 2700

حدثنا محمد بن حاتم بن ميمون‏.‏ حدثنا بهز‏.‏ حدثنا وهيب‏.‏ حدثنا سهيل عن أبيه، عن أبي هريرة،
عن النبي صلى الله عليه وسلم، قال ‏"‏إن لله تبارك وتعالى ملائكة سيارة‏.‏ فضلا‏.‏ يتبعون مجالس الذكر‏.‏ فإذا وجدوا مجلسا فيه ذكر قعدوا معهم‏.‏ وحف بعضهم بعضا بأجنحتهم‏.‏ حتى يملؤا ما بينهم وبين السماء الدنيا‏.‏ فإذا تفرقوا عرجوا وصعدوا إلى السماء‏.‏ قال فيسألهم الله عز وجل، وهو أعلم بهم‏whistling#8207; من أين جئتم‏؟‏ فيقولون‏whistling#8207; جئنا من عند عباد لك في الأرض، يسبحونك ويكبرونك ويهللونك ويحمدونك ويسألونك‏.‏ قال‏whistling#8207; وماذا يسألوني‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; يسألونك جنتك‏.‏ قال‏whistling#8207; وهل رأوا جنتي‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; لا‏.‏ أي رب‏!‏ قال‏whistling#8207; فكيف لو رأوا جنتي‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; ويستجيرونك‏.‏ قال‏whistling#8207; ومم يستجيرونني‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; من نارك‏.‏ يا رب‏!‏ قال‏whistling#8207; وهل رأوا ناري‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; لا‏.‏ قال‏whistling#8207; فكيف لو رأوا ناري‏؟‏ قالوا‏whistling#8207; ويستغفرونك‏.‏ قال فيقول‏whistling#8207; قد غفرت لهم‏.‏ فأعطيتهم ما سألوا وأجرتهم مما استجاروا‏.‏ قال فيقولون‏whistling#8207; رب‏!‏ فيهم فلان‏.‏ عبد خطاء‏.‏ إنما مر فجلس معهم‏.‏ قال فيقول‏whistling#8207; وله غفرت‏.‏ هم القوم لا يشقى بهم جليسهم

ท่านอิมามมุสลิม ได้รายงานว่า ได้เล่ากับเรา โดยมุหัมมัด บิน หาติม บิน มัยมูน ได้เล่ากับเรา โดยบะฮฺซฺ ได้กล่าวกับเราโดยวุฮัยบฺ ได้เล่าวกับเราโดยซุฮัยล์ จากบิดาของเขา จากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ เล่าจากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า " แท้จริง อัลเลาะฮ์(ตะบาร่อกะวะตะอาลา) ทรงมีบรรดามะลาอิเกาะฮ์ที่ท่องเดินทางอยู่บนผืนแผ่นเดิน เป็นมะลาอิกะฮ์ที่เพิ่มขึ้นมา(นอกจากบรรดามะลาอิกะฮ์หะฟะเซฺาะฮ์ที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษา) ได้ทำการสืบเสาะแสวงหา สถานที่ต่างๆที่มีการซิกิร ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้เจอสถานที่หนึ่ง ที่มีการซิกิร พวกเขาก็จะนั่งร่วมพร้อมกับพวกเขา(บรรดาผู้ที่ทำการซิกรุลเลาะฮ์) และบรรดามะลาอิกะฮ์ก็ต่างทำการห้อมล้อมด้วยปลีกของพวกเขา จนกระทั้งพวกเขาเต็ม(เพิ่มขึ้น)ในระหว่างพวกเขาและท้องฟ้า ดังนั้น เมื่อบรรดาผู้ทำากรซิกรุลเลาะฮ์ได้แยกย้าย บรรดามะลาอิกะฮ์จึงเดินทางขึ้นสู่ฟ้ากฟ้า" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "แล้วอัลเลาะฮ์ก็ถามกับพวกเขา - โดยที่พระองค์ทรงรู้ดียิ่งกับพวกเขา- ว่า พวกเจ้ามาจากใหนกัน? บรรดามะลาอิกะฮ์กล่าวว่า เราได้มาจาก ณ ที่บรรดาบ่าวของพระองค์ ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน โดยที่พวกเขาได้ทำการกล่าวตัสบีหฺ(กล่าวซุบหานัลเลาะฮ์) กล่าวตักบีร(อัลเลาะฮ์อักบัร) กล่าวตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮ่าอิลลัลลอฮ์) กล่าวตะหฺมีด(อัลหัมดุลิลลาฮ์) และทำการวอนขอต่อพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า "แล้วอะไรที่พวกเขาได้วอนขอกับฉัน? " บรรดามะลาอิกะฮ์ตอบว่า "พวกเขาได้ขอพระองค์ กับสรวงสวรรค์ของพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า "แล้วพวกเขาเคยเห็นสรวงสวรรค์ของฉันหรือไม่ล่ะ?" มะลาอิกะฮ์ตอบว่า ไม่เคย โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา! " อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามต่อว่า "แล้วอย่างไรเล่า หากพวกเขาได้เห็นสรวงสวรรค์ของฉัน?" มะลาอิกะฮ์กล่าวว่า "และพวกเขาก็ทำการขอความคุ้มครองกับพระองค์" พระองค์ทรงตรัสถามว่า "พวกเขาขอความคุ้มครองฉันจากอะไร? มะลาอิกะฮ์กล่าวว่า "จากไฟนรกของพระองค์ โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา!" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า "แล้วพวกเขาเคยเห็นไฟนรกของฉันหรือไม่ล่ะ?" มะลาอิกะฮ์ตอบว่า ไม่เคย " อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามต่อว่า "แล้วอย่างไรเล่า หากพวกเขาได้เห็นไฟนรกของฉัน?" มะลาอิกะฮ์ตอบวา "พกเขาก็ทำการอิสติฆฟารต่อพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า "ฉันได้อภัยแก่พวกเขาแล้ว แล้วฉันก็ได้ให้สิ่งที่พวกเขาได้ขอ และจะปกป้องสิ่งที่พวกเขาได้ขอความคุ้มครอง" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "แล้วมะลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่า โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา ในพวกเขา(ที่ทำการซิกิรุลเลาะฮ์)นั้น มีคนหนึ่งที่เป็นบ่าวผู้กระทำผิด โดยที่เขาได้เดินผ่านมา แล้วก็นั่งร่วมด้วยกับพวกเขา" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสว่า ฉันอภัยให้แก่เขาแล้ว โดยที่บรรดาพวกที่ทำการซิกิรนั้น ผู้ที่นั่งร่วมด้วยก็จะไม่อับโชค ด้วยกับพวกเขา(ที่ทำการนั่งซิกิร) " ดู ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 2689

ท่าน อัล-หากิม ได้รายงาน ด้วยสายรายงานของท่าน ไปยังท่านร่อซูล(ซ.ล.) ซึ่งท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

لا يجتمع ملأ فيدعو بعضهم ويؤمن بعضهم إلا استجاب الله لعم دعاءهم

"ไม่มีชนกลุ่มหนึ่ง ได้ทำการรวมตัวกัน แล้วส่วนหนึ่งจากพวกเขาได้ทำการขอดุอาอ์ และอีกส่วนหนึ่งได้ทำการกล่าวอามีน นอกจากเสียว่า อัลเลาะฮ์จะทรงตอบรับดุอาอฺให้กับพวกเขา" รายงานโดยท่าน ฮากิม และท่านกล่าวว่า หะดิษนี้รายงานบนเงื่อนไขของท่านมุสลิม

วิจารณ์

บรรดาหะดิษต่างๆเหล่านี้ มีสายรายงานที่ซอฮิหฺ ที่ชี้ถึง การอนุญาติให้ทำการซิกรุลเลาะฮ์แบบล้อมวง ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ทำการซิกิรนั้น กระผมไม่สามารถนำมากล่าวได้ใน ณ ที่นี้ เนื่องจากมันมีข้อมูลมากเกินไป และผมต้องการจะนำเสนอแบบสรุปเท่านั้น การกล่าวซิกรุลเลาะฮ์ที่บ้านเราทำกันนั้น จะมีอายะฮ์อัลกุรอานและมีการซิกิรที่มีการเรียบเรียงที่เฉพาะ ดังกล่าวนั้น เพื่อเป็นระเบียบเรียบร้อยในการซิกรุลเลาะฮ์พร้อมๆกัน ไม่ใช่เป็นการอ้างว่า รูปแบบการเรียบเรียงนี้ มาจากท่านนบี(ซ.ล.) หรือเอี๊ยะติก๊อตว่า"จำเป็น"ต้องเรียบเรียงอย่างนี้ ก็หาไม่ ซึ่งหากเชื่ออย่างนั้น ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ เพราะท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้ระบุให้เรียบเรียงอย่างนั้น แต่การซิกรุลเลาะฮ์มันมีหลักฐานแบบ مقيد จำกัด เช่น ซุกรุลเลาะฮ์ที่ให้กล่าวในละหมาด และหลังละหมาด หรือซิกรุลเลาะฮ์หลังจากการอาบน้ำละหมาด เป็นต้น และการซิกรุลเลาะฮ์ก็มีหลักฐานแบบกว้างๆ مطلق เช่น การกล่าวลาตะฮ์ลีล ตะฮ์มีด ตัสบีหฺ การอ่านอายะฮ์ต่างๆที่มีความพิเศษ เป็นต้น ซึ่งซิกรุลเลาะฮ์แบบกว้างๆนี้ เราจะกล่าวในตอนยืน นั่ง นอน หรือเดินไปใหนมาใหนก็กระทำได้ ก่อนจะเล่นฟุตบอล นักกีฬาร่วมกันจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วกล่าวพร้อมๆกันว่า อัลลอฮุอักบัร! เพื่อเสริมสร้างกำลัง ก็ย่อมกระทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่ามันเป็นซิกรุลเลาะฮ์แบบกว้างๆ อนุญาติให้กระทำได้ในยามที่สะดวก แต่สำหรับการซิกรุลเลาะฮ์แบบล้อมวงในการทำบุญเลี้ยงอาหารนั้น จำต้องมีซิกิรที่มีการเรียบลำดับที่เฉพาะเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้นเอง

เราลองมาพิจารณาหะดิษของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ได้กล่าวมาสักตอนหนึ่ง ซึ่งมีรายงานไว้ว่า" แล้วมะลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่า โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา ในพวกเขา(ที่ทำการซิกิรุลเลาะฮ์)นั้น มีคนหนึ่งที่เป็นบ่าวผู้กระทำผิด โดยที่เขาได้เดินผ่านมา แล้วก็นั่งร่วมด้วยกับพวกเขา" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสว่า ฉันอภัยให้แก่เขาแล้ว โดยที่บรรดาพวกที่ทำการซิกิรนั้น ผู้ที่นั่งร่วมด้วยก็จะไม่อับโชค ด้วยกับพวกเขา(ที่ทำการนั่งซิกิร) "

พิจารณาซิครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ชายคนหนึ่งที่มีความผิดติดตัว แล้วเขาก็เดินผ่านมา และก็นั่งร่วมซิกิรร่วมด้วย กลับได้ถูกอภัยโทษจากอัลเลาะฮ์ และผู้นั่งร่วมดวยนั้น จะไม่อับโชคเลย แล้วเราลองมาพิจารณาเมืองไทยบ้านเรา ผู้ที่ทำการซิกิรร่วมกันนั้น ถูกกล่าวว่า ทำบิดอะฮ์ ทำความผิด ตกนรก ทั้งที่หะดิษนบี(ซ.ล.)ได้ยืนยันว่า อัลเลาะฮ์ทรงอภัยให้ และผู้นั่งร่วมด้วยจะไม่อับโชค ดังนั้น ความยึดติดในทัศนะของตน อย่างเป็นคุณลักษณะที่ทำให้พี่น้องมุสลิมแตกแยก อันเนื่องจากไม่เข้าใจและศึกษาแนวทางของพี่น้องมุสลิมอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมันเป็นการละเมิดในทัศนะอิจญฺฮาดของมุสลิมด้วยกัน มันจึงเกิดฟิตนะฮ์ด้วยการกล่าวหาบิดอะฮ์กับอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้กระทำความดีด้วยซิกิรล้อมวงเพื่อรำลึกถึงอัลเลาะฮ์และร่อซูลขอพระองค์พร้อมกัน กลับถูกกล่าวหาว่าทำบิดอะฮ์ ตัดญาติขาดมิตรกันก็มี แต่การร่วมกันประท้วงเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของท่านนบี(ซ.ล.)!!! (ทั้งที่เกียตริและศักดิ์ศรีของท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยและไม่มีวันเสื่ยมเสียอะไรเลย) แต่เราก็ขอยอมรับในการกระทำดังกล่าวนั้น เนื่องจากมันแสดงถึงความรักต่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) และบรรดามุสลิมทั่วโลกก็ทำกันอย่างนั้น

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 2:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หลักฐานฝ่ายพี่น้องวะฮาบีย์

หลักฐาน ที่พี่น้องวะฮาบีย์ ได้ทำการอ้าง แล้วนำมาฮุกุ่มบิดอะฮ์บรรดามุสลิมส่วนใหญ่ของประชาชาติอิสลาม ก็คือคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ที่รายงานโดยท่าน อัดดาริมีย์

أخبرنا الحكمُ بنُ المبارَكِ أنا عمرُو بنُ يحيى ،، قال: سمعتُ أبي يحدِّثُ عن أبيه قال: كنا نجلِسُ على بابِ عبدِ اللَّهِ بنِ مسعودٍ قبلَ صلاةِ الغداةِ، فإذا خرَجَ مشَيْنا معه إلى المسجِدِ، فجاءنا أبو موسى الأشعريُّ فقال: اخرَجَ إليكُمْ أبو عبدِالرحمنِ بَعْدُ، قلنا: لا فجَلَسَ معنا حتى خَرَجَ فلما خَرَجَ قُمْنا إليهِ جميعاً، فقال له أبو موسى: يا أبا عبدِالرحمنِ أني رأيتُ في المسجِدِ آنِفَاً أمْراً أنكَرْتُهُ ولم أرَ والحمْدُ لله إلاَّ خيراً، قالَ: فما هو فقال: إنْ عِشْتَ فَسَتَرَاهُ قال: رأيتُ في المسجِدِ قَوْماً حَلَقاً جُلُوساً ينتظرونَ الصلاةَ في كل حلْقَةٍ رجلٌ وفي أيديهم حَصَا، فيقول: كِبِّرُوا مِائةً فيُكَبِّرونَ مِائةً فيقول: هلِّلُوا مِائةً فيُهَلِّلُونَ مِائةً ويقولُ: سَبِّحُوا مِائةً فَيُسَبِّحُونَ مِائةً قال: فماذا قُلْتَ لهم قالَ: ما قُلْتُ لهُمْ شيئاً انتظارَ رأيِكَ أو انتظارَ أمْرِكَ قال: أفلا أمرْتَهُمْ أن يعُدُّوا سيِّئاتِهِمْ وضمِنْتَ لَهُمْ أنْ لا يضيعَ من حَسَنَاتِهِمْ، ثم مضى ومضينا معه حتى أتى حلْقةً من تلك الحِلَقِ فوقَفَ عليهِمْ، فقالَ: ما هذا الذي أراكُمْ تصنعونَ قالوا: يا أبا عبدِاللَّهِ حصا نعُدُّ به التكبيرَ والتهليلَ والتسبيحَ قال: فعُدُّوا سيِّئاتِكُمْ فأنا ضامنٌ أن لا يضيعَ من حسناتِكُمْ شيءٌ، ويْحَكُمْ يا أُمَّةَ محمَّدٍ ما أسرَعَ هَلَكَتكُمْ هؤلاءِ صَحابَةُ نبيِّكُمْ صلى الله عليه وسلّم متوافِرُونَ وهذِهِ ثيابُهُ لم تَبْلَ وآنِيَتُهُ لم تُكْسَرْ، والذي نفسي بيدِهِ إنكم لعلى مِلَّةٍ هي أهدى مِنْ ملَّة محمدٍ، أو مُفْتَتِحُوا بابِ ضلالَةٍ قالوا: واللَّهِ يا أبا عبدِالرحمنِ ما أرَدْنا إلاَّ الخيرَ، قالَ وكَمْ مِنْ مُرِيدٍ للخيرِ لنْ يُصِيبَهُ، إنَّ رسولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلّم حَدَّثَنَا أنَّ قوماً يقرؤُونَ القُرْآنَ لا يجاوِزُ تراقِيَهُمْ، وَآيْمُ اللَّهِ ما أدري لعلَّ أكثَرَهُمْ مِنْكُمْ، ثم تَوَلَّى عنهم فقال عمرُو بنُ سَلَمَةَ: رأينا عامَّةَ أولئك الحِلَقِ يطاعنُونَا يومَ النَّهْرَوَانِ مع الخوارِجِ

สายรายงาน จากท่านอิบนุ มัสอูด นี้ ฏออีฟ เนื่องจากมีลักษณะ ที่บกพร่อง ดังนี้

1. الحكمُ بنُ المبارَكِ ( ท่าา อัล-หะรัม บิน อัล-มุบาร๊อก )

ท่าน อัซฺ-ซฺะฮะบีย์ กล่าววิจารณ์ว่า

الحكم بن المبارك الخاشي البلخي عن مالك ومحمد بن راشد المكحولي وعنه أبو محمد الدارمي وجماعة. وثقه ابن حبان وابن مندة. وأما ابن عدي فإنه لوّح في ترجمة أحمد بن عبد الرحمن الوهبي بأنه ممن يسرق الحديث، لكن ما أفرد له في الكامل ترجمة. وهو صدوق

" อัล-หะกัม บิน อัล-มุบาร๊อก อัล-คอชีย์ อัล-บัลคีย์ ได้รายงานจาก มาลิก และ มุหัมมัด บิน ร่อชิด อัลมักฮูลีย์ และได้รายงานจากเขา(หิกัม บิน อัลมุบาร๊อก) โดยท่าน อบู มุหัมมัด อัดดาริมีย์ และ กลุ่มหนึ่ง ท่านอิบนุหิบบาลและท่านอิบนุ มุนดะฮ์ ได้ให้ความ เชื่อถือ กับเขา และสำหรับ ท่านอิบนุ อะดีย์นั้น ท่านได้กล่าวเสริมไว้ใน ประวัติของ ท่านอะหฺมัด บิน อับดุรเราะหฺมาน อัลวะฮ์บีย์ ว่า แท้จริง ท่านอัลหะกัม บิน อัลมุบาร๊อกนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่โขมยหะดิษ แต่ท่าน อิบนุ อะดีย์ ก็ไม่ได้ทำการกล่าวถึง ท่านอัลหะกัม บิน อัลมุบาร๊อก อย่างเป็นเอกเทศ โดยที่เขาเองนั้น ก็เป็นผู้ที่พูดจริง " ดู หนังสือ มีซฺาน อัลเอี๊ยะอฺติดาล ฟี นักดิรริญาล เล่ม 2 หน้า 345

เราขอกล่าวว่า การขโมยหะดิษ นั้น หมายถึง ได้หะดิษหนึ่งที่นักหะดิษบางส่วนได้ทำการรายงาน แล้วหะดิษนั้น ก็ได้ทราบถึงนักรายงานคนนั้น แล้วเขาก็โขมยหะดิษ จากนักหะดิษบางส่วนที่รายงานมา แล้วเขาก็ทำการสวมรอยสายรายงานของนักหะดิษบางส่วน แล้วก็นำมาเป็นสายรายงานของเขาเอง แล้วก็อ้างไปยังท่านนบี(ซ.ล.) ดังนั้น นักรายงานที่ขโมยหะดิษ จึงอยู่ในหมวดผู้ที่ ถูกกล่าวหาจากนักหะดิษว่า เขานั้น โกหก หรือ กุหะดิษ ซึ่งเป็นการถูกกล่าวหาที่อันตราย

2. عمرُو بنُ يحيى อัมร์ บิน ยะหฺยา

ท่านอิบนุ อะดีย์ ได้ทำการกล่าววิจารณ์ว่า

عمرو بن يحيى بن عمرو بن سلمة، حدثنا بن أبي عصمة ثنا أحمد بن أبي يحيى قال سمعت يحيى بن معين يقول عمرو بن يحيى بن سلمة ليس بشيء. حدثنا أحمد بن علي ثنا الليث بن عبدة قال سمعت يحيى بن معين يقول عمرو بن يحيى بن سلمة سمعت منه لم يكن يرضي. وعمرو هذا ليس له كثير رواية ولم يحضرني له شيء فأذكره

" อัมร์บินยะหฺยา บิน อัมร์บินสะละมะฮ์นั้น (ท่านอิบนุอะดีย์กล่าวว่า) ได้เล่ากับเรา โดยท่านอะหฺมัดบินอบียะหฺยา เขากล่าวว่า ฉันได้ยิน ท่านยะหฺยา บิน มุอีน กล่าวว่า "อัมร์บินยะหฺยา นั้น ไม่มีสิ่งใด (ที่รายงาน คือรายงานน้อย) ได้เล่ากับเรา โดยอะหฺมัด บิน อะลีย์ ได้เล่ากับเรา โดย บิบ อะบะดะฮ์ เขากล่าวว่า ฉันได้ยิน ท่านยะฮ์ยา บิน มะอีน กล่าวว่า อัมร์ บิน ยะหฺยา นั้น ฉันได้ยินจาก(เรื่องของ)ของเขาว่า เขานั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจ และอัมร์ บิน ยะหฺยานี้ ทำการรายงานไม่มาก และไม่มีสิ่งใดของเขา มาที่ฉันเลย" ดู หนังสือ อัล-กามิล ฟี ฏู่อะฟาอ์ อัรริญาล เล่ม 5 หน้า 122
ท่านอิบนุ หะญัร กล่าววิจารณ์ว่า

عمرو بن يحيى بن عمرو بن سلمة قال يحيى بن معين ليس حديثه بشيء قد رأيته وذكره بن عدي مختصرا انتهى. وقال بن خراش ليس بمرضي. وقال بن عدي ليس له كبير شيء ولم يحضرني له شيء

" อัมร์ บิน ยะหฺยา บิน สะละมะฮ์นั้น ท่านยะหฺยา บิน มะอีน กล่าวว่า หะดิษของเขานั้น ไม่มีสิ่งใด ที่ฉันเห็น(รายงาน)มันเลย และอิบนุอะดีย์ ก็ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเขาแบบสรุป . และอิบนุ คอ๊รรอช กล่าวว่า เขานั้นไม่เป็นที่น่าพอใจ และท่านอิบนุอะดีย์ กล่าวว่า เขานั้นไม่มีอะไรที่สำคัญ โดยที่ไม่มีสิ่งใดของเขา (รายงาน)มาที่ฉันเลย " ดู ลิซาน อัลมีซาน เล่ม 4 หน้า 378

ดังนั้น หลักฐานที่รายงานโดยท่าน อัดดาริมีย์นั้น เป็นหลักฐานที่มีสายรายงานที่ดีที่สุดของพี่น้องวะฮาบีย์ ที่นำมาเป็นหลักฐานอ้างว่า การซิกรุลเลาะฮ์ล้อมวงนั้น เป็นบิดอะฮ์นั้น ซึ่งมันเป็นหลักฐานที่ฏออีฟ และขัดกับหะดิษที่ซอฮิหฺ และยังมีสายรายงานอื่นอีกที่รายงานจากท่านอิบนุมัสอูด ไม่ว่าจะเป็น การรายงานของ อิบนุ ฮาจญฺ หรือท่านอิบนุ นุอัยม์ แต่ทั้งหมด ก็มีสายรายงานที่ฏออีฟทั้งสิ้น และหากว่ามีหลายสายรายงานที่ฏออีฟด้วย นั่นก็ย่อมเป็นการตอกย้ำถึงความฏออีฟของหะดิษอย่างไม่ต้องสงสัยตามหลักวิชาหะดิษ

และหากว่าสายรายงานดังกล่าวซอฮิหฺจริง แน่นอนว่า คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนั้น ท่านได้กล่าวตำหนิการกระทำของพวกค่อวาริจ ซึ่งเมื่อพวกเขาเหล่านั้น ได้ร่วมกันซิกรุลเลาะฮ์แล้ว พวกเขาก็จะล้อมวงสนทนากันในการตำหนิวิจารณ์บรรดาซอฮาบะฮ์ พยายามเปรียบเทียบให้มีความเหลื่ยมล้ำในระหว่างซอฮาบะฮ์ และการทำาการตำหนิวิจารณ์อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งการกระทำของพวกค่อวาริจญฺนี้ เป็นบิดอะฮ์และไม่มีการพูดกันในสมัยของซอฮาบะฮ์ก่อนจากนั้น และท่านอิบนุมัสอูดก็ตระหนักดีกับพฤติกรรมของพวกเขา ดังนั้น การตำหนิของท่านอิบนุมัสอูดนั้น ไม่ใช่ตัวของการล้อมวงซิกรุลเลาะฮ์ แต่เป็นการตำหนิสิ่งบิดอะฮ์ที่เพิ่มขึ้นมา คือการล้อมวงร่วมกันวิจารณ์บรรดาซอฮาบะฮ์

เมื่อท่านผู้อ่านเข้าใจในสิ่งดังกล่าว เราก็อยากจะสร้างความเข้าใจกับพี่น้องวะฮาบีย์ว่า ในปัญหาเรื่องการอิจญฺฮาด หรือการกระทำที่มีตัวบท ไม่ว่าจะมีตัวบทความเฉพาะหรือกว้างๆมารับรองนั้น ก็ไม่สมควรที่จะกล่าวหาพี่น้องมุสลิมด้วยกันว่าทำบิดอะฮ์ ชิริก หรือกระทำสิ่งที่หะรอม ด้วยกับการอ้างหลักฐานที่มีสายรายงานที่ฏออีฟ

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 3:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ข้อเสนอแนะ

แต่ระบบของบ้านสังคมบ้านเรานั้น ถือว่าดี การให้ทำอาหารให้แก่ครอบครัวมัยยิดและให้พวกเขารับประทานจนอิ่มนั้น เป็นเรื่องที่บรรดาพี่น้องมุสลิมเมืองไทยบ้านเราทำกันอยู่แล้ว และยิ่งไปกล่าวนั้น บรรดาพี่น้องมุสลิมก็จะช่วยกันทำอาหารและทำบุญให้กับครอบครัวของมัยยิด โดยที่การพวกเขาจะทำการบริจาคเงินในขณะที่ไปเยี่ยมมัยยิด และมีระบบการช่วยเหลือที่ดี ปัจจุบันนี้ แม้กระทั้งหมู่บ้านกระผมเอง ก็มีระบบการช่วยเหลือที่ดี คือจะมีการรวมกลุ่มเป็นสมาชิก เพื่อทำการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตาย โดยผู้อิมามมัสยิด หรือผู้นำในท้องถิ่น ได้ตั้งกรรมการและทำการนำเสนอโครงการร่วมเป็นสมาชิกโดยสมัครใจเพื่อการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตาย โดยมีการตกลงร่วมกันว่า หากมีพี่น้องมุสลิมใดเสียชีวิต พวกเราจะทำการช่วยเหลือกันในวงเงินอย่างต่ำ เท่านั้น เท่านี้ แล้วแต่สมาชิกในหมู่บ้านจะตกลงกัน เช่น อย่างต่ำ 50 บาท เป็นต้น ซึ่งหากมีพี่น้องมุสลิมเสียชีวิต กรรมการก็จะทำการเก็บเงินของสมาชิกที่ได้ถูกระบุชื่อที่ตกลงกันไว้ หากมีสมาชิก 100 คน เมื่อมีพี่น้องเสียชีวิต ครอบครัวผู้ตายก็จะได้รับการช่วยเหลืออย่างต่ำ 5000 บาท และหากมีสมาชิก 200 คน ครอบครัวผู้ตายก็จะได้รับการช่วยเหลืออย่างต่ำ 10000 บาท ซึ่งดังกล่าวนี้ ถือว่เป็นการเป็นการริเริ่มและช่วยเหลือกันการในการทำความดี

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน ผลตอบแทนของมัน ก็มีให้แก่เขา และผลตอบแทนของผู้ที่ได้ปฏิบัติด้วยกับมัน จากหลังเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ได้กับเขา) โดยไม่มีสิ่งใดลดลงไปเลย จากผลการตอบของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน จากหลักเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017)

ดังนั้น จำนวนเงินดังกล่าวที่บรรดาพี่น้องมุสลิมได้ช่วยเหลือกับครอบมัยยิดนั้น ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ครอบมัยยิดจะทำการเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย โดยบรรดาพี่น้องมุสลิม มาช่วยกันทำอาหารที่บ้านครอบครัวมัยยิดและทำอาหารให้แก่ครอบมัยยิดด้วย และดังกล่าวก็ย่อมเป็นการปลอมใจโดยอยู่เป็นเพื่อนให้คลายเหงาและคลายโศรกเศร้าแก่ครอบครัวมัยยิด เราจะทำบุญเลี้ยงอาหารกี่วันก็ได้ แล้วแต่สะดวก หนึ่งวัน สองวัน หรือสามวันก็ดี หากทำบุญ 7 วันก็ยิ่งดี นั่นสำหรับผู้ที่มีความสามารถ สำหรับครอบครัวที่ไม่มีความสามารถและไม่มีระบบที่ดีจากการช่วยเหลือจากพี่น้องมุสลิม ก็ไม่สมควรหรือกระเสือกกระสนไปทำบุญ บางท่านกลับยืมเงินผู้อ่านมาทำบุญ(อาจจะมีแต่ผมไม่เคยได้ยิน) ซึ่งกรณีแบบนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่น่าตำหนิเป็นอย่างยิ่ง อาจจะถึงขั้นหะรอม - วัลลอฮุอะลัม และการจำกัดวันทำบุญ 40 วัน หรือ 100 วันนั้น ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ ไม่มีหลักการของศาสนา - วัลลอฮุอะลัม และถ้าหากทายาทผู้ตาย มีความพร้อมและตกลงกันในการทำบุญเลี้ยงอาหาร เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่มัยยิด ก็อนุญาติให้กระทำได้ตามโอกาสและความสะดวก และทำได้ทุกเวลา แม้จะเป็นการให้อาหารหรือเลี้ยงอาหารแค่ 2 - 3 คน ก็ให้กระทำได้ และผู้ตายก็ได้รับผลบุญนั้นด้วย และหากว่ามัยยิดของทายาทเป็นบิดามารดาแล้ว ก็จะได้รับผลบุญโดยตรงไม่ว่าจะทำมากทำน้อยและไม่ว่าจะเวลาใด - วัลลอฮุอะลัม

หากครอบครัวหรือทายาทผู้ตาย มีทรัพย์สินมากพอและมีมติในทายาทที่มีสิทธิ์ได้รับมรดก ว่าให้ทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อซอดาเกาะฮ์แต่ผู้ตายนั้น ก็อนุญาติให้กระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคอาหารแบบข้าวสาร หรือทำการปรุงอาหารเลี้ยงพี่น้องมุสลิม ก็ถือให้กระทำได้ หากมีทายาทบางคนไม่ยินยอมในการเอาทรัพย์สินมาทำบุญเลี้ยงอาหาร ก็อนุญาติให้ทายาทที่ต้องการจะทำบุญเลี้ยงอาหารนั้น เอามรดกส่วนที่เขาได้รับมาทำบุญเลี้ยงอาหาร ผู้อ่านโปรดเข้าใจว่า มรดกหรือทรัพย์สินที่ผู้ตายทิ้งไว้ให้ทายาทนั้น ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทผู้ตาย การนำทรัพย์สินมาใช้ ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทายาท แต่มีบางคนพูดอย่างผิดๆว่า "มันเป็นมรดกของคนตาย" หากทำกินบุญก็เท่ากับกินมรดกของคนตาย!!! ซึ่งคำพูดแบบนี้ ถือว่าผิดและไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา เนื่องจากผู้ตายนั้นไม่มีทรัพย์สินใดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้ว แต่มันเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาท

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
al-farook
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005
ตอบ: 297
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 3:08 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หลักฐานที่อนุญาตทำบุญเลี้ยงอาหาร

1- ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวไว้รายงาน จากท่าน อะหฺมัด บิน มะนีอฺ ซึ่งเขาได้กล่าวรายงานไว้ใน มุสนัดของเขาว่า

عن الأحنف بن قيس قال : كنت أسمع عمر يقول : لا يدخل أحد من قريش فى باب إلا دخل معه ناس ، فلا أدرى ما تأويل قوله حتى طعن عمر فأمر صهيبا أن يصلى بالناس ثلاثا ، وأمر أن يجعل للناس طعاما فلما رجعوا من الجنازة جاءوا وقد وضعت الموائد ، فأسك الناس عنها للحزن الذى هم فيه فجاء العباس بن عبد المطلب ، فقال : ياأيها الناس قد مات...الحديث

" รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า "คนหนึ่งจากกุร๊อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย" ดังนั้น ฉันจึงไม่รู้ถึงการตีความคำพูดของท่านอุมัร จนกระทั้ง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)สามรอบด้วยกัน และท่านอุมัรก็ใช้ให้เขาทำอาหารให้แก่บรรดาผู้คน ดังนั้น ในขณะที่ผู้คนได้กลับมาจาก(ฝัง)ญะนะซะฮ์ พวกเขาก็กลับมา โดยมีบรรดสำหรับอาหารวางอยู่แล้ว แต่บรรดาผู้ตนก็งดที่จะรับประทานนั้น อันเนื่องจากความโศรกเศร้าที่พวกเขาเป็นอยู่ ดังนั้นท่าน อัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ ก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้เสียชีวิตไปแล้ว....." สายรายงาน "หะซัน" ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 หะดิษที่ 709

ท่าน มุหัดดิษ ชัยค์ หะบีบ อัร-เราะหฺมาน อัล-อะซ่อมีย์ กล่าว วิจารณ์ว่า หะดิษนี้ สายรายงาน หะซัน (ดี) ท่านอัลบูซิรีย์ กล่าวว่า ในสายรายงานนี้ มี อลี บิน ซัยด์ บิน ญัดอาน และที่สมบูรณ์ของหะดิษนั้น คือ.... ท่าน อัลอับบาส บิน อบีฏอลิบกล่าวว่า

فقال يا أيها الناس قد مات رسول الله عليه وسلم فأكلنا بعده وشربنا ومات أبو بكر فأكلنا بعده وشربنا أيها الناس كلوا من هذا الطعام فمد يده ومد الناس أيديهم فأكلوا فعرفت تأويل قوله ) كذا فى الإتحاف

" ดังนั้น ท่านอัล-อับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วเราก็ทำการรับประทานและดื่มหลังจากนั้น และท่านอบูบักร ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเราก็ทำการรับประทานและดื่มหลักจากนั้น โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย พวกท่านจงรับประทานจากอาหารนี้เถิด ดังนั้น ท่านอับบาสก็ยื่นมือของท่าน และบรรดาผู้คนที่ยื่นมือของพวกเขา แล้วก็พวกเขาก็ทำการรับประทาน ดังนั้น ฉัน (คือ อัลอะหฺนัฟ บิน ก๊อยซฺ) จึงรู้การตีความคำพูดของท่านอุมัร" และได้รายงานเช่นเดียวกันนี้ อยู่ในหนังสือ อัลอิตหาฟ " ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 - 199

2- ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้ทำการรายงาน จากท่านอิมามอะหฺมัด โดยที่ท่านอะหฺมัด ได้รายงานไว้ใน หนังสือ อัซซุอฮ์ดฺ ว่า

سفيان قال ، قال طاووس : إن الموتى يفتنون فى قبورهم سبعاَ وكانوا يستحبون أن يطعموا عنهم تلك الأيام

" ท่านซุฟยานกล่าวว่า ท่านฏอวูสกล่าวว่า แท้จริงผู้ตายนั้น พวกเขากำลังถูกสอบถามในกุบูรของพวกเขา ถึง 7 วัน และบรรดาซอฮาบะฮ์มีความชอบที่จะทำการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากพวกเขา ในเจ็ดวันดังกล่าว" ท่าน ชัยค์ อัลอะซ่อมีย์กล่าวว่า สายรายงานหะดิษนี้ قوى (มีน้ำหนัก) หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 199

ท่านอัล-หาฟิซฺอิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ กล่าวว่า " ได้มีสายรายงานที่ซอฮิหฺเช่นกัน จากท่าน ฏอวูส ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ได้ทำการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากมัยยิด ใน 7 วันดังกล่าว และคำกล่าวนี้ เป็นคำกล่าวของตาบิอีย์ ว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ได้กระทำสิ่งดังกล่าว และในคำกล่าวของตาบิอีย์นี้ ได้มีอยู่ 2 ทัศนะด้วยกันจากคำกล่าวของนักปราชญ์หะดิษและอุซูลุลฟิกห์

1. คำกล่าวของตาบิอีย์นี้ (คือท่านฏอวูส) อยู่ในบทการรายงานที่ มัรฟั๊วะ คือไปถึงสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งความหมายของมันก็คือ บรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหลายได้กระทำการเลี้ยง(ให้)อาหาร ในสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) โดยที่ท่านร่อซูลทราบในสิ่งดังกล่าว หรือถูกบอกให้ทราบต่อท่านนบี(ซ.ล.)

2. คำกล่าวของตาบิอีย์นี้ผคือท่านฏอวูส) อยู่ในเรื่องของการอ้างถึงบรรดาซอฮาบะฮ์เท่านั้น โดยไม่ถึงท่านนบี(ซ.ล.) เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงถูกกล่าวว่า คำกล่าวของตาบีอีย์(คือท่านฏอวูส) เป็นการบอกเล่าจากบรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหมด ดังนั้น คำกล่าวของท่านฏอวูสนี้จึงเป็นการ ถ่ายทอดถึงมติของบรรดาซอฮาบะฮ์ และบางทัศนะกล่าวว่า ถ่ายทอดเพียงบางส่วนของซอฮาบะฮ์ ซึ่งเป็นทัศนะที่อิมามอันนะวาวีย์ได้ให้น้ำหนักเอาไว้ใน ชัรหฺมุสลิม และอิมามอัรรอฟิอีย์ ได้กล่าวเช่นเดียวกับคำนี้ ซึ่งจุดมุ่งหมายก็คือ การเลี้ยง(ให้)อาหารนั้น เป็นสิ่งที่แพร่หลายในสมัยของซอฮาบะฮ์ดังกล่าว โดยไม่ได้ถูกตำหนิแต่ประการใด...หากท่านกล่าวว่า เพราะเหตุใด การเลี้ยง(ให้)อาหารถึงต้องทำซ้ำกันถึง 7 วัน โดยที่ไม่ต้องอ่านตัลกีน 7 วัน ฉันขอกล่าวว่า เพราะผลประโยชน์ของการเลี้ยง(ให้)อาหารนั้น มันมีประโยชน์สูงกว่าและแผ่ไปถึงมัยยิดได้มากกว่า เพราะการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากมัยยิดนั้น เป็น ซ่อดาเกาะฮ์(บริจาคทาน) ซึ่งมันเป็น สุนัติ โดยมติเอกฉันท์... " ดู หนังสือ อัล-ฟะตาวา อัล-ก๊อบรอ อัลหะดีษะฮ์ ของท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ เล่ม 2 หน้า 30 - 31

ท่านผู้อ่านครับ จากรายละเอียดที่ผมได้นำเสนอมานั้น ก็ทำให้รู้ถึงความสำคัญของญาติพี่น้องของเรา ซึ่งหากมีพี่น้องมุสลิมเสียชีวิต ก็ให้เราให้การช่วยเหลือ โดยการทำอาหารให้กับครอบมัยยิดเป็นอันดับแรก และหากจะทำการช่วยเหลือครอบมัยยิดมากกว่านั้น โดยมีระบบแบบแผนที่ดีในการร่วมมือกันช่วยเหลือตามที่ผมได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น ก็จะเป็นการดียิ่งสำหรับผู้ที่สมัครใจครับ พี่น้องวะฮาบีย์ครับ ปัญหาข้อปลีกย่อยเหล่านี้ สมควรที่จะมีความใจกว้าง หากต่างฝ่ายก็มีหลักฐานที่ตนกระทำ การตะอัศศุบในทัศนะของตนและหุกุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในทัศนะของตนนั้น ย่อมเป็นการละเมิดในเรื่องศาสนา และนั่นก็ไม่ใช่แบบฉบับของสะลัฟ และเราก็ช่วยกันตักเตือนผู้ที่กระทำสิ่งที่ผิดหลักการครับ วัลลอฮุอะลัม

wassalam

الفاروق الشافعى

غفر الله له ولنا ولوالدينا

أمـــــــــــــــــــــــــــين

_________________
นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 10:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
น้อง al-farook ครับ
บังไม่อยากจะโต้แย้งกันอีกให้เสียบรรยากาศ แต่ใคร่ขอนำเสนอให้ผู้อ่านทราบว่า พิธีกรรมที่ครอบครัวของผู้ตาย ได้จัดเตรียมอาหาร และเชิญแขกมากินที่บ้าน แล้วให้พวกเขาอ่านดุอาและกล่าวตะฮลีลลีล อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายนั้น ไม่มีแบบอย่างและเป็นบิดอะฮ
ในเรื่อง นี้ ไม่มีหลักฐานส่งเสริมให้ทำหรอกครับ แม้แต่ท่านอิหม่ามชาฟีอี ก็ไม่ส่งเสริมให้ทำครับ
โปรดอ่านครับ
‏ ‏عَنْ ‏ ‏جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الْبَجَلِيِّ ‏ ‏قَالَ ‏
‏كُنَّا نَعُدُّ ‏ ‏الِاجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنِيعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ ‏ ‏النِّيَاحَةِ
رواه أحمد وصححه الألباني في أحكام الجنائز (ص167)
จากญะรีร บินอับดุลลอฮ อัล-บะญะลี กล่าวว่า “ พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกันที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกัน หลังจากที่ฝังมัยยิต เป็นส่วนหนึ่งของการนิยาหะฮ- รายงานโดย อะหมัด อัลบานียได้ระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเหียะ ในหนังสือ อะหกามุ้ลญะนาอิซ หน้า 167
คำว่า”นิยาหะฮ” หมายถึง การรำพึงรำพัน หรือ การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตาย ด้วยเสียงดัง ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม). قال الإمام الشافعي في ( الأم ) ( 1/247 ) : ( وأحب لجيران الميت أو ذي القرابة أن يعملوا لأهل الميت في يوم يموت وليلته طعاما يشبعهم فإن ذلك سنة وذكر كريم وهو من فعل أهل الخير قبلنا وبعدنا )
อิหม่ามชาฟิอี กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอุม เล่ม 1 หน้า 347 ว่า และข้าพเจ้าชอบให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือ ญาติใกล้ชิด ทำอาหารให้แก่ครอบครัวผู้ตาย ในวันที่เขาตายและในคืนนั้น ให้พวกเขากินให้อิ่ม แท้จริงดังกล่าวนั้น เป็นสุนนะฮ เป็นการระลึกถึง ผู้ที่มีใจเมตตา และมันเป็นการกระทำของคนที่ดี สมัยก่อนพวกเราและหลังจากพวกเรา.

อิหม่ามชาฟิอี ส่งเสริมให้นำอาหารไปเลี้ยงคนในครอบครัวผู้ตาย ไม่ใช่ ครอบครัวผู้ตาย เลี้ยงชาวบ้าน

قال النووي رحمه الله في : "المجموع شرح المهذب" (5/290) : "ويستدل لهذا ـ يعني : كراهة صنع أهل الميت طعاماً ـ بحديث جرير بن عبدالله رضي الله عنه قال : "كنا نعد الاجتماع إلى أهل الميت وصَنِيْعةَ الطعام بعد دفنه من النياحة" رواه أحمد بن حنبل وابن ماجه بإسناد صحيح وليس في رواية ابن ماجه : (بعد دفنه)" أ
อันนะวาวีย์ (ขออัลลอฮโปรดเมตตาแก่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมัจญมัวะ ชัรหุลมุฮัซซับ เล่ม 5 หน้า 290 และอ้างหลักฐานในประเด็นนี้ หมายถึง มักรูฮ (น่ารังเกียจ) การที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร (เลี้ยงแขก) ด้วยหะดิษญะรีร บิน อับดิลละฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า ““ พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกันที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกัน หลังจากที่ฝังมัยยิต เป็นส่วนหนึ่งของการนิยาหะฮ” รายงานโดย อะหมัด บิน หัมบัล และอิบนุมาญะฮ ด้วยสายสืบที่เศาะเหียะ และในรายงานของอิบนิมาญะฮ ไม่มีข้อความว่า “หลังจากฝังมัยยิต”

................
บังขอนำเสนอเพียงแค่นี้ก่อน เพื่อให้ผู้อ่านพิจารณา และขอร้องว่าหากใครคัดค้านก็ให้นำเสนอหลักฐาน ห้ามพูดจาถากถางเยาะเย้ยอีกเด็ดขาด (ที่ย้ำอย่างนี้เพราะบังอะสันไม่ประสงค์จะคุยเรื่องศาสนาที่มาจากอารมณ์กันอีก หวังว่าน้องคงเข้าใจ)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 12:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุมครับ บังอะซัน

ขออัลลอฮทรงตอบแทนแด่บังอะซันมากๆ ที่ไม่ทิ้งพวกเรา ในการสนทนาไป

ผมชอบการลงท้ายของบังมากๆ ตรงที่นำเสนอโดยไม่มีการถากถางกัน พวกเอาวามอย่างผมเองก็ไม่ชอบเช่นกัน


ถ้าพวกเราทั้งหมด ศึกษาศาสนาโดยใจที่เป็นธรรม และหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮ ซุบฮานุวะตอาลา มันคงจะดีอยู่ไม่น้อย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 12:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุมครับ คุณคนอยากรู้

ที่คุณกล่าวว่า

ผมว่าตรงกันข้ามคุณอาจจะโดยไชตอนมารร้ายคอยกระซิบกระซาบคุณหรือคอยชี้แนะคุณในการตัดสินใจสิ่งใด นั้นเพราะว่าคุณไม่มีแนวทางในการอ้างอิงหลักชีวิตของคุณ
แล้วคุณสามารถรับประกันตัวเองได้หรือครับว่า การที่คุณไม่เอาแนวทางหนึ่งทางใดคุณจะถือว่าคุณนั้นทำถูกต้องแล้ว...โดยไม่ต้องรับการชี้นำจากผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่าคุณ .........


ผมไม่รู้ว่าคุณนั้น กำลังเรียนอยู่ไคโรหรืออย่างไร แต่ลักษณะอย่างคุณ ผมว่ากลับมาขายข้าวหมกดีกว่า

ถ้าผมไม่ต้องได้รับการชี้นำจากผู้รู้ แล้วผมจะมานั่งอ่านหาพระแสงอะไร คุณย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่ผมโพสต์ มาทั้งหมด แล้วดูว่าตรงใหนที่ผมบอกว่า ไม่เอาผู้รู้


ขอเชิญบังอะซัน กับ คุณอัลฟารุก สนทนาต่อครับ ผมไม่อยากให้กระทู้ปิดลง เพราะคนขายข้าวหมก
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Wed Apr 12, 2006 5:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณดับดุลลา

อย่าเพิ่งมีน้ำโหซิครับ...ตอนี้ผมว่างครับ เข้าหมกไก่ที่คุณว่านั้นขายหมดแต่ตอนเช้าแล้วครับฮ้าๆๆๆ

นี่ไงหลักฐานที่คุณกล่าวว่า

---ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเดินตาม แนวทางของผู้ใด ถ้าหากสิ่งนั้นทำให้ผมต้องยึดติดอยู่กับมัน และไม่สามารถหันเห ออกไปได้ และก็ไม่ได้ละอายใจ อะไรทั้งสิ้น

Laughing และที่ผมกล่าวเตือนว่า คุณนั้นจำเป็นต้องเดินตามผู้รู้ใครก็ได้ ผมไม่ได้บังคับ ให้คุณตักลีดหรือยึดติดตามที่คุณเข้าใจ ว่าคุณต้องเลือกฝังตัวอยู่สายอีหม่ามทั้ง4 เท่านั้น
แต่ที่คุณกล่าว่า...คุณนั้นไม่จำเป็นจะต้องเดินตามแนวทางผู้ใด คุณสามารถตัดสินใจได้เเอง

อันนี้ผมถือว่าอันตรายต่อตัวคุณที่เอาตัวเองเป็นตัวมาตรฐานในการเลือกชอบหรือไม่ชอบ
ในความรู้ และใครละครับจะยอมรับในสิ่งที่คุณเลือกว่า นั้นคือสิ่งถูกต้องกับสิ่งที่คุณเลือกปฏิบัติ

คุณยังกล่าวอีกว่า
ผมพร้อมในการเปลี่ยนแปลงตัวของผมเอง เมื่อมีหลักฐานที่ชัดเจนกว่า และถูกต้องกว่า

และที่คุณกล่าว่า...คุณนั้นสามารถจะตัดสินและพร้อมในการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีหลักฐานที่ชัดเจนกว่า

----ตรงนี้ซิครับปัญหา...

คุณดับดุลลาครับ....ถ้าคุณอยู่ในระดับคนมีความรู้และมีความสามารถที่จะเลือกวินิจฉัยตัวบทในอัลกรุอ่านและอัลฮาดีสได้ ผมถือว่าคุณนั้นสุดยอดและผมจะไม่ตักเตือนคุณเลยครับ

แต่ถ้าคุณมีความรู้ระดับต่ำเหมือนผมหรือรู้ไม่ทุกอย่างนั้น เหมือนพี่น้องเราทั่วๆไปนั้น ผมถือว่าคุณนั้นมีความเสี่ยงมาก ในการที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองโดยที่คิดว่า มันมีหลักฐานชัดเจนทั้งที่คุณไม่มีความรู้มากพอ
เช่นกัน หลักฐานที่ชัดเจนหรือไม่ชัดเจนนั้นคุณ จะรู้ได้อย่างไรละ
ถ้าขาดผู้ชี้นำหรือแนะนำ...ว่าอันนี้ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของผู้มีความรู้/อันนี้มันเขาไม่ยอมรับกัน

ที่ผมกล่าวมานี้ ผมเพียงบอกว่า ถ้าใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองเก่งมีความรู้สามารถเลือกหาหลักฐานที่ถูกต้องมาเป็นมาตรฐานในการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้

แต่ก็นั้นแหละ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาความรู้ของตัวเองมาตัดสินในเลือกหลักฐานว่าอันนั้นผิดอันนี้ถูก ฮ้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4 ... 25, 26, 27  ถัดไป
หน้า 3 จากทั้งหมด 27

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.15 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ