ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 11, 12, 13 ... 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 10:49 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คูณนพ

เท่าที่เห็น และอ่าน ข้อ เขียน ของ คุณ มา ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยบอกว่า "ผู้ที่ไม่เชื่อ อะฮะดีษ บุคอฮรี ยังคงเป็น มุสลิมอยู่" และ การที่คุณ กล่าวว่า

"ผมจึงอยากเรียกร้องให้มุสลิมที่มีความสามารถ ช่วยประหารชีวิตเขาด้วย(หากไม่เป็นการเดือดร้อนหรือไม่กลัวการเดือดร้อน"

คุณทราบไหมว่า เป็นการผิด กฎหมายอาญา และ ผิด หลักการ ของ อิสลาม ตามที่คุณ ประกาศออกมาเช่นนั้น.... เนื่อง จาก ผม ทราบ ว่า คุณ เป็น ใคร และมีอาชีพอะไร?.... เพื่อ ความปลอดภัยของผมและครอบครัว ผมจำต้อง ส่ง ชื่อ และข้อเขียนของคุณ ให้กับ กองตำรวจสอบสวนกลาง, การเขียน ของ คุณ เช่นนี้ จะทำ ให้ ผู้อื่น เดือด ร้อน ไป ด้วย

คุณ มีเหตุผลอะไร ก็ อธิบาย มา ซิ ผมกลับเข้ามาที่นี่ ด้วย เจตนาดี คนมีความรู้ ของ สังคมมุสลิมไทย ไปอยู่ ที่ใด จึงไม่สนใจ เรื่องที่ผมนำมา ว่าเป็ นเรื่องสำคัญ

คุณนพเข้าใจเรื่อง ที่ผมอธิบายหรือไม่ ลองอ่าน ให้เข้าใจซิครับ ว่า ผมหวังดีหรือ หวัง ร้าย ต่อ อิสลาม ถ้าคุณ มีความรู้ คุณ ควร ใช้ ปัญญา ไม่ ใช่กำลัง หรือ ความ เขลา ของคุณผมเป็นมุสลิม มา 3 Generations แล้ว คุณปู่ คุณพ่อ ของผมก็ทำงานให้ สังคมมุสลิมมามากแล้ว ในอดีต


เนื่อง จาก การ มองดูสังคมมุสลิม ทั่ว โลก แล้ว ผม ทราบว่า อะไรที่ ทำ ให้ มุสลิม เรา พ่ายแพ้ และ ตกต่ำ ผมก็แสดงความคิดเห็น และ เหตผล ออกมา หวังว่า บางท่าน อาจจะหูตาสว่างบ้าง แต่ น่าเศร้าใจ ที่ เรา นับถือ ศาสนาอิสลาม โดย ขาด เหตุผล อ่านที่ผมเขียน ให้ เข้า ใจ คุณไม่ต้อง เห็น ตาม ผม หรอก เพียง แต่ ใช้ ความคิด หน่อย เท่านั้น คุณ ก็ จะเข้า ใจ

ถ้าคุณเห็นว่า ข้อเขียน ของ ผม ผิด หลักก็ อ้าง หลักฐานมา เพื่อผมจะได้ เข้า ใจ ให้ ถูกต้อง


ผมจะมากรุงเทพฯ ในสองเดือน ข้างหน้า และจะพักที่ "Oriental Hotel" บางรัก 1 อาทิตย์ ให้เบอร์ โทรศัพท์ หรือ อี เมลล์ ของคุณ ไว้กับผม เมื่อ มาถึง ผมจะ ติดต่อ กับคุณ เพื่อ ให้ เด็ก ผมไปรับ คุณมาคุยกับผมที่โรงแรม ก็ได้ บางทีเราอาจจะ เข้าใจกันได้ ว่า ผมมีเจตนาดีต่อ "อิสลาม" แค่ไหน?


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 2:01 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ไม่เอาน่า คุณ mahh
คุณ nop เราต่างก็เคยอยู่เว็บเดียวกันมาก่อน
รวมถึงผมด้วย preecha เราอยู่กันจน
กระดานล้มไปแล้ว หนึ่งแห่ง
ก็เขียนแบบนี้แหละ ที่นี่น่าจะใช้เป็นที่
เผยแผ่ หลักการและหลักฐานจะดีกว่าน๊ะครับ
เตือนมาเนื่องจาก เราก็คุ้นกันดีอยู่
ผม คุณแมชช คุณ นพ และผมเราก็เคย
สนทนากัน มาแล้ว คงพูดกันง่ายๆนะครับ
ถนอมน้ำใจกันหน่อย อย่าว่ากันแรงชี่น๊ะ
wassalam





















ีะะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
แคร็อธ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 24/02/2005
ตอบ: 5


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 3:25 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอาลัยกุมคุณนพ และมุสลิมทุกท่าน(ถ้าคุณแมทท์ไม่ยอมรับฮะดีษซึ่งเป็นแบบอย่างท่าน นบีมุฮัมมัด(ซ.ล)ผมก็ไม่สามารถให้สลามคุณได้)

ยุคนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว และเราก็ไม่ได้อยู่ประเทศอิสลามด้วย การที่จะไปประหารใครคงทำไม่ได้ ดังนั้นผมจึงอยากเรียกร้องให้ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ร่วมกันให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเว็บนี้เพื่อเห็นแก่พี่น้องมุสลิมท่านอื่นๆ

เพราะการที่เราไปไล่ Hack เว็บ ไล่โจมตีข้อมูลบนเว็บมันไม่ได้ช่วยให้มุสลิมหลายๆคน(รวมทั้งผมด้วย)ที่เผลอเข้าไปอ่านแล้ว หายอึดอัดแต่มันจะยิ่งกลับทำให้พวกเราอึดอัดมากขึ้น เนื่องจากการไปไล่ปิดเว็บหรือลบความเห็นนั้นมันหมายถึงบรรดาผู้รู้ของเราไม่สามารถแก้ต่างและให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้อาจจะทำให้มุสลิมที่ความรู้ไม่แน่นพอ หลงเชื่อและหลุดออกไปจากแนวทางที่ถูกต้องได้

ทุกท่านอย่าเพิ่งคิดว่า นายแมทท์โผล่มาแค่ที่นี่ที่เดียว แต่ นายคนนี้โผล่ไปที่พันทิพด้วย และท่าทางจะพยายามไปทุกๆกระดานสนทนา ที่คนเยอะ แบบนี้ทำยังไงก็ตามไปลบไม่ไหวหรอกครับ (เจตนาส่อถึงการจ้องทำลายอิสลามเห็นๆถึงเอาเรื่องฮะดีษไปโจมตี กลางเว็บที่มีคนต่างศาสนาอยู่เยอะ)

ดังนั้นแล้วผมมีความเห็นว่าการที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือขอให้ทุกท่านร่วมกันใช้หลักฐานและเหตุผลที่ถูกต้อง อธิบายตอบโต้นายแมทท์กันด้วย ไม่ใช่เพื่อให้นายคนนี้กลับใจ แต่เพื่อให้มุสลิมหลายๆท่านไม่ตกเป็นเหยื่อความเลวร้ายครั้งนี้

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่านายคนนี้นอกจากจะไม่ใช่เพียงผู้ที่หลงผิดแล้ว นายคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในขบวนการทำลายอิสลามด้วย(นี่คือความเห็นของผมนะครับ นายแมทท์จะเป็นจริงอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าไม่ทราบ) การที่เราไปไล่ hack ไล่ลบความเห็น คงไม่สามารถหยุดความโกลาหลครั้งนี้ได้ ที่ทำได้คือ ปกป้องด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรัดกุม

ท่านผู้รู้หรือผู้อาวุโสบางท่านอย่าคิดว่า internet เป็นของเล่น ที่สั่งห้ามเล่นก็พอ สั่งห้ามเข้าเว็บก็เรียบร้อย มันง่ายไปครับ เพราะถ้าไม่แก้ไขกันตอนนี้มันก็จะลามไปเป็น หนังสือ ลามไปเป็น อะไรได้อีกหลายอย่าง

ผมเองความรู้ก็น้อยนิด ไปถกเถียงสู้ได้คงไม่ได้แถมอาจจะบาปอีกด้วย ดังนั้นผมจึงขอความกุรณา ท่านทั้งหลายมาช่วยกันด้วยนะครับ

เราจะได้กำจัดความหลงผิดนี้ออกไปซะที อินชาอัลลอฮฺ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 8:29 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


Addullslam และ แคร็อธ


ผมทราบดีว่า ข้อเขียน ของผม อาจจะทำให้เข้าใจยาก เพราะว่า เราเคยชิน กับประเพณี มาเป็นเวลานาน แต่ว่า ประเพณีบางอย่าง ไม่ใช่หลักการ ของศานา ซึ่งจำเป็นอย่าง ยิ่ง ที่เรา จะต้อง แยก ให้ออก, ตัวอย่างเช่น เรา ทำ เมาลิด มา เป็น เวลาหลายชั่วคน เพิ่ง จะมาเลิกทำ เมื่อ ไม่นาน นี้, การแห่แหน เด็กๆ คล้าย แห่บวชนาค เมื่อ เวลา ทำ สุนัด บางแห่ง บางตำบล ยังทำ อยู่


เนื่องว่า การ อธิบาย ใน อัล กุรอาน ประกอบ ไปด้วย ตรรกวิทยา, ปรัชญา, ตัวอย่าง, การ อุปมาอุปมัย, และ สุภาษิต สอน ใจ ต่างๆ เรื่อง เหล่า นี้ ผู้ อ่าน จะ ต้อง แยก แยะ ออก จาก กัน ให้ ได้ ตัวอย่าง ที่ ผมยกมา ให้ เห็น เกียว กับ การ ใช้ “อะหะดิษ” อธิบาย อัลกุรอาน นั้น คุณ ว่า คำอธิบาย ของ ผม หรือ ของ บุคอฮ์ รี ย์ ที่ ถูกต้อง และ มี เหตุ ผล กว่า?

.............................................

จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)


นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป

.............................................................


การที่ผมกลับเข้ามา และ นำ ชื่อ เวบ ที่กล่าว โจมตีอิสลาม อย่าง เสื่อม เสีย มา ขอความช่วยเหลือ จาก มุสลิม ที่มีความรู้ ในห้องนี้ ก็เพราะว่า ไม่เป็น การ เหมาะสม ที่จะ ไป เขียน ใน พันทิบ เพราะ เป็น เริ่อง เสื่อม เสีย ต่อ สังคม มุสลิม


คุณจะเห็น ว่า ผม เขียน ตอบ โต้ ผู้ ที่ กล่าว โจมตี อิสลาม ในเรื่อง การ วิวัฒนาการ และ เรื่อง กำ เนิด ของ สิ่งมีชีวิตในพันทิบ จนเขาจำนนที่ว่า “ชาลส์ดาร์วินเชื่อ ในเรื่อง การมีผู้สร้างหรือ พระเจ้า", แต่ไม่ เห็น มี มุสลิม ผู้ ใด ที่กล้า ใช้ เหตุ ผล ในการ ป้องกัน อิสลาม เลย, นอก จากจะ ใช้ กำลัง และ การ ฆ่าฟัน โดย อาศัย ศาสนา เป็น เครื่อง กำบัง ซึ่งมีแต่จะนำ ความ เสื่อม เสีย มา สู่ อิสลาม อิสลามสอน ให้ เรา ใช้ เหตุผล ในการ ใคร่ ตรอง ข่าวสาร ก่อน ที่ เรา จะ เชื่อ อะไร


ผมอธิบายว่า “อะฮะดิษของบุคอรีย์” ไม่ใช่ “วะฮีย์” ของท่านรอซูลที่แท้จริง ก็ เพราะว่า ไม่ ผ่านการทดสอบ ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้

“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”

จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์

การกล่าวเช่นนี้ เป็น การ ทำ ลายอิสลาม หรือ ว่า เป็น การ ช่วย ให้ มุสลิม ใช้อัลกุรอาน พิจารณา ว่า สิ่ง ใด เป็น ของ จริง และ ของ ปลอม?

ถ้าอาจารย์ ต่างๆ สอน ว่า “อะฮะดิษ เป็น วะฮีย์" แต่ ขัด กับ การ อธิบาย ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 แล้ว และเรา จะเห็นว่า อะฮะดิษ ไม่ผ่าน การทดสอบที่อัลลออ์ วางไว้ ผมอยากจะถาม มุสลิมทั้งหลายว่า:

เราควรจะเชื่อ “อัลลอฮ์” (อัลกุรอาน) ที่อธิบายให้เราเข้าใจว่า สิ่งใดก็ตาม ถ้ามาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอน เราจะพบสิ่ง บก พร่องในสิ่งนั้น อย่างมากมาย (4:82)” หรือ ว่าเราควรจะ เชื่อ “บุคอฮ์รีย์ หรือ เชื่ออาจารย์ ท่านต่างๆ ที่สอน ว่า “ซอเฮียะ ฮะดีษ เป็น วะฮีย์” ?

อย่างแน่นอทีเดียว.....ผมเองตัวผมเอง ผม ต้อง เชื่อ “อัลลออ์” และ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นฮะดีษที่แท้จริง ของท่าน รอซูล และ เป็น สิ่ง เดียว ที่ ท่าน รอซูล ยึดถีอ เป็น หลัก ปฏิบัติ ในศาสนาอิสลาม ซี่งเป็น ซุนนะห์ ที่แท้ จริง ของ ท่าน รอซูล และผมว่ามุสลิมทุกๆท่าน คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้


การไม่เห็นด้วย กับ ผู้ เล่า เรื่อง เกี่ยว กับท่าน รอซูล นั้น เป็นบาป ด้วย หรือ อย่าลีมว่า บุคอรีย์ เป็น คนธรรมดา ไม่ใช่ ศาสดา หรือ บุคคล ที่มุสลิม กราบ เคารพ บูชา การไม่เห็น ด้วย กับอีหม่ามต่างๆ ไม่ถือว่า เป็น บาป ตาม หลักการ ของ อิสลาม ผมจึงอยากให้ มุสลิมเรา ทบทวนดูว่า อิสลามสอน ให้ เรา ศรัทธา อะไรบ้าง? นอกจาก อัลลอฮ์, อัลกุรอาน และท่าน รอซูลมูฮํมมัด, โปรด คิดดูให้ดี ก่อน ที่ จะ ตำหนิผม


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 9:25 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

" มันคือประเพณี "
" เรายึดติดอยู่กับประเพณี "
" เราเคยชินอยู่กับประเพณ "

คำพูดเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของคุณแมทท์
เพราะคุณแมทท์เข้าใจว่าที่เรานำหลักการจากอัลหะดีษมาเนี่ยคือพวกอนุรักษ์ประเพณี
เปล่าเลยครับ (มีสองอย่างคือเข้าใจผิดหรือไม่ก็แกล้งโง่) พวกเรารักษาหลักการ
ไอ้พวกอนุรักษ์ประเพณีพวกหัวดื้อเนี่ยต้องพวกอนุรักษ์เมาลิด อนุรักษ์กวนขนมอาชูรอครับ
พวกนี้เค้ากลัวว่าวันนึงประเพณีนี้จะหายไป ความชื่นมื่นรื่นเริงในดุนยาจะหายไป

ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ใช่ด้วยอารมณ์รุนแรง หรือความบ้าคลั่งเลยครับ
ผมพูดอย่างนิ่งๆ ใจนิ่ง ไม่มีอะไรสะทบสะเทือนความคิดของผมทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นแวดล้อม หรือความเกรงใจ เกรงกลัวอะไรก็แล้ว ถนอมน้ำใจไม่มี
ว่ากันด้วยหลักการตรงๆ

พี่น้องสุนนะฮฺครับ วันนี้เราคงจะเป็นคณะใหม่สมชื่อ เป็นบูดอสมชื่อ
ไม่ใช่สุนนะฮฺแท้ๆ ไม่ใช่สลัฟแท้ๆหรอกครับ
เพราะเราเอาแค่เรื่องฟิกฮฺมาเฉยๆ แต่ไม่ได้เอาจิตวิญญาณ เอาอิมานของเค้ามาเป็นแบบอย่างเลย
และเมื่อจิตวิญญาณมันไม่สุนนะฮฺ แน่นอนหลักการบางประการเราก็ทิ้ง
พี่น้องครับ ผมไม่ได้มาชวนทะเลาะ หรือพร่ำบ่นมั่วๆเหมือนคนเสียสติ
เพราะอย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่า ผมสติและจิตใจผมมานิ่งๆเลยครับ
ว่ากันด้วยหลักการเพรียวๆ
เรื่องการประหารชีวิตคุณแมทท์ ผมไม่ได้มั่วนะครับ
จะต้องให้นำหลักฐานมาว่าหรือเปล่าครับ
ตอนที่ผมโพสต์ไปนั้นผมคิดว่า พี่น้องสุนนะฮฺ(หรือมุสลิมโดยทั่วไปก็ตาม)จะพยักหน้าเห็นด้วยด้วยซ้ำ
แต่นี่คุณมาบอกว่าให้ถนอมน้ำใจ ให้พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ตรงนี้นำหลักการหลักฐานมาจากไหนครับ
วันนี้เราสนุกกับการได้เสวนาทางกระทู้เหรอครับ
เราถึงได้มานั่งสนทนาเล่นกันกับมุรตัด สนทนาเล่นกันกับผู้ก่อตั้งลัทธิใหม่
เราควรนำจิตวิญญาณแบบสลัฟกลับมาใช้ นำอิมานแบบนั้นมาอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่เอามาแต่เรื่องฟิกฮฺ เราจะได้เป็นกลุ่มสุนนะฮฺจริงๆ เป็นสลาฟียฺจริงๆ ไม่ใช่บูดอ

พี่น้องครับ ใครๆมันก็อ้างว่ารักษาหลักการทั้งนั้นแหละ
อย่างที่คุณแมทท์เค้าทำอยู่ เค้าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ เค้าต้องให้ศาสนาอิสลามเนี่ยมันเป็นแบบนี้
แล้วจะทำให้ยังไงให้มันเป็นล่ะ? ..ก็ต้องหลอกตัวเองก่อนไง หลอกซะจนเข้าใจว่าไอ้ที่เค้าอยากให้เป็นเนี่ยมันเป็นจริงๆ
ผมรู้จักคนแบบนี้มาหลายคนเหมือนกันครับ ไม่ใช่พึ่งมาเจอนี่เป็นรายแรก

โดยทางจิตวิทยา มันเกิดจากการที่คุณแมทท์เห็น(ลึกๆในใจ)ว่าอิสลามล้าหลัง
ในสภาพสังคมที่โมเดิร์น คุณแมทท์เป็นคนโมเดิร์น แต่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรสูล
ทีนี้ทำไงในเมื่อหลักการของอัลลอฮฺและรสูลมันโดนดูถูกมันน่าอาย
เค้าก็ต้องอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็บิดเบือน เฉไฉเปลี่ยนแปลงความหมายคำสอนให้เป็นไปตามที่เค้าชอบ โดยการหลอกตัวเองซะก่อน (แล้วจึงเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ)
นี่คือโดยทางจิตวิทยาที่มันเกิดครับ
เหมือนกับคนดื้อ ต้องอนุรักษ์งานกินบุญ ตัลกีน อีซีกุโบรฺ เมาลิด พวกนี้จะทำอย่างไรครับ ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เค้าต้องการให้มันอยู่(ด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่บุคคล)
ในเมื่อมันไม่มีในหลักการ ทีนี้มันก็ต้องเฉไฉ บิดเบือน หาหลักฐานมาค้ำยัน
โดยเริ่มจากการหลอกตัวเองซะก่อน แล้วค่อยไปหลอกคนอื่น อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือลักษณะคร่าวๆ(รายละเอียดมันต้องคุยยาวๆ)

วันนี้เราต้องใช้อิมานนำเป็นอันดับแรก แล้วทีนี้จึงใช้ปัญญาความรู้ในหลักการตามต่อมา
ถ้ามีปัญญา มีความรู้ แต่เพลินไปกับดุนยา แน่นอนหลักการมันก็เสียโดยการที่เราไม่รู้ตัว
อย่างที่ท่านกำลังเสวนาอยู่กับเจ้าลัทธิใหม่นี่แหละครับ

ผมยืนยันอีกครั้งว่าท่านทั้งหมด ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม ไม่สามารถดึงคุณแมทท์กลับได้เลย
นี่ไม่ใช่คำทำนายนะครับ แต่มันคือความเข้าใจเรื่องหิกมะฮฺของศาสนา
โดยทางประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้ คนอย่างคุณแมทท์เนี่ยไม่มีกลับครับ มีแต่ตายสภาพนี้เนี่ยแหละ
แล้วเรายังไม่เข้าใจ อยากจะรักษาหลักการแต่ยังไม่รู้หลักการ หรือปกปิดหลักการซะเอง ศาสนาเรามันถึงได้เป็นแบบนี้ไง
เป็นศาสนาที่ไม่ตาย ไม่มีเสียหาย แต่คนที่นับถือมีน้อยคนที่จะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

ขอให้พวกเราพ้นจากการเป็นผู้หลงทางด้วยเถิด

เข้าใจอีกที นึกภาพให้ดีๆนะครับ ผมไม่ได้ทะเลาะนะครับ
ผมอารมณ์ดีๆ สบายๆ นิ่งๆเลยครับ
แต่ที่พูดมาตรงหลักการเป๊ะครับ ถือว่าเตือนสติกัน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 9:41 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คุณนพ

ขอให้พูดกันให้ตรงจุด คุณช่วยอธิบายด้วยว่า เหตุผลข้างล่างนี้ ถูกต้องไหม? ตอบเป็นข้อๆ บางทีคุณอาจจะกลับใจผมได้....

1. จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)


นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป

2. ผมอธิบายว่า “อะฮะดิษของบุคอรีย์” ไม่ใช่ “วะฮีย์” ของท่านรอซูลที่แท้จริง ก็ เพราะว่า ไม่ ผ่านการทดสอบ ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้

“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”

จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์

การกล่าวเช่นนี้ เป็น การ ทำ ลายอิสลาม หรือ ว่า เป็น การ ช่วย ให้ มุสลิม ใช้อัลกุรอาน พิจารณา ว่า สิ่ง ใด เป็น ของ จริง และ ของ ปลอม?

ถ้าอาจารย์ ต่างๆ สอน ว่า “อะฮะดิษ เป็น วะฮีย์" แต่ ขัด กับ การ อธิบาย ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 แล้ว และเรา จะเห็นว่า อะฮะดิษ ไม่ผ่าน การทดสอบที่อัลลออ์ วางไว้ ผมอยากจะถาม มุสลิมทั้งหลายว่า:

เราควรจะเชื่อ “อัลลอฮ์” (อัลกุรอาน) ที่อธิบายให้เราเข้าใจว่า สิ่งใดก็ตาม ถ้ามาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอน เราจะพบสิ่ง บก พร่องในสิ่งนั้น อย่างมากมาย (4:82)” หรือ ว่าเราควรจะ เชื่อ “บุคอฮ์รีย์ หรือ เชื่ออาจารย์ ท่านต่างๆ ที่สอน ว่า “ซอเฮียะ ฮะดีษ เป็น วะฮีย์” ?

อย่างแน่นอทีเดียว.....ผมเองตัวผมเอง ผม ต้อง เชื่อ “อัลลออ์” และ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นฮะดีษที่แท้จริง ของท่าน รอซูล และ เป็น สิ่ง เดียว ที่ ท่าน รอซูล ยึดถีอ เป็น หลัก ปฏิบัติ ในศาสนาอิสลาม ซี่งเป็น ซุนนะห์ ที่แท้ จริง ของ ท่าน รอซูล และผมว่ามุสลิมทุกๆท่าน คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้


ผมอยากให้คุณตอบให้ตรงจุดทั้ง สองข้อนี้ และใช้ หลักฐานอ้างอิงด้วยถ้ามี อย่าหลืกเลี่ยงคำถามครับ


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 10:09 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

สำหรับคุณนพ

ที่คุณว่า ผมเข้าใจผิด.....

" มันคือประเพณี "
" เรายึดติดอยู่กับประเพณี "
" เราเคยชินอยู่กับประเพณ "
คำพูดเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของคุณแมทท์
เพราะคุณแมทท์เข้าใจว่าที่เรานำหลักการจากอัลหะดีษมาเนี่ยคือพวกอนุรักษ์ประเพณี
เปล่าเลยครับ (มีสองอย่างคือเข้าใจผิดหรือไม่ก็แกล้งโง่) พวกเรารักษาหลักการ
ไอ้พวกอนุรักษ์ประเพณีพวกหัวดื้อเนี่ยต้องพวกอนุรักษ์เมาลิด อนุรักษ์กวนขนมอาชูรอครับ

ที่คุณนพคาดความคิดของผมนั้น ผิดถนัดเลยครับ ผมกล่าวว่า:

“เราเคยชิน กับประเพณี มาเป็นเวลานาน แต่ว่า ประเพณีบางอย่าง ไม่ใช่หลักการ ของศาสนา ซึ่งจำเป็นอย่าง ยิ่ง ที่เรา จะต้อง แยก ให้ออก, ตัวอย่างเช่น เรา ทำ เมาลิด มา เป็น เวลาหลายชั่วคน เพิ่ง จะมาเลิกทำ เมื่อ ไม่นาน นี้, การแห่แหน เด็กๆ คล้าย แห่บวชนาค เมื่อ เวลา ทำ สุนัด บางแห่ง บางตำบล ยังทำ อยู่”……….ทำให้มุสลิมบางท่านเข้าใจผิดคิดว่า สิ่งเหล่านั้น อยู่ ในหลักการของ ศาสนาอิสลาม


การนำอะฮะดิษของบุคอฮ์รีย์มาใช้ แล้ว อ้าง ว่า เป็น “วะฮีย์ นั้น ผมว่า เป็น ความเข้าใจที่ผิด ด้วย เหตุผล จาก อัลกุรอาน …

“ผมหมายความว่า การเอาเรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับท่าน รอซูล แล้วอ้างว่ามีผู้ เห็น หรือ ได้ ยิน ท่าน รอซูลกล่าวหรือ ปฏิบัติ เช่นนั้น เช่นนี้ โดย ที่เนื้อ หาเรื่อง บอกเล่า เหล่านั้น มึข้อบกพร่อง และความผิดพลาดอย่างมากมาย, การที่เรื่องบอกเล่าเหล่านั้น มีข้อบกพร่อง และขัดกันเอง ก็ เพราะว่า เรื่องเหล่านั้น ไม่ใช่ “วะฮีย์” จากอัลลออ์, ตามมาตรฐาน ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82”

คุณเชื่อว่า ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์ ข้างล่างนี้ เป็น “วะฮีย์หรือไม่?

การ จัดเพศหญิงว่า เป็น ต้นเหตุ แห่งความชั่วช้าทั้งหลาย และ จัดไว้ ในเรื่อง อบายมุข ประเพศหนึ่ง ตัวอย่าง


ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์ 8/4-102 และ ฮันบฺล 4/86

บรรยายว่า “ถ้าลิง, สุนัขดำ หรือ ผู้หญิง เดินผ่าน ผู้ซึ่งกำลังละหมาดอยู่ การละหมาดของ เขาผู้นั้น จะไม่บรรลุผล(คือใช้ไม่ได้)

ฮะดิษ ซอเฮี๊ยะ บุคอฮ์รีย์ 76/53
บรรยายว่า
“วิญญานชั่วช้าสถิตย์อยู่ใน ผู้หญิง , ม้า และ บ้าน (ทรัพย์สิน)”

จากอะฮะดีษทั้งสอง บทนี้ สะท้อนถึงความลำเอียงดูหมิ่น ผู้หญิง เพศมารดา ว่า มีฐานะความสำคัญ เท่ากับ ลิง, สุนัขดำ ม้า และ บ้าน, เป็น “อะฮะดีษที่ปลอมแปลง” หาหลักฐานความเป็นจริง สนับสนุน ไม่ได้, ศาสนาอิสลามให้การยกย่อง เพศหญิงอย่าง เต็มที่ ไม่เคยใช้ การ บรร ยาย คุณสมบัติ ที่ทำให้ ผู้หญิง มีคุณค่าเท่ากับ สุนัข, ลิง หรือ วิญญานแห่งความชั่วช้า

เอากันแค่นี้ ก่อน ขอให้คุณอธิบายด้วย ว่า “ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์” ข้างบนนี้ มีหลักฐานว่า เป็น วะฮีย์ อย่างไร?



wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 11:13 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณไม่ต้องอธิบายซ้ำหรอกครับ
ผมเข้าใจคุณมานานนมแล้ว

เลิกพายเรือในอ่างได้แล้วครับ
ผมเห็นหลักดำน้ำขุ่นของคุณมาตั้งแต่ muslimthai.com แล้วครับ
แล้วคุณก็ไปตั้งเว็บเลียนแบบ musthaiusa

ในหะดีษมันเป็นประเพณีไม่ใช่บัญญัติศาสนาอิสลาม...
ต้องแยกนะระหว่างศาสนากับประเพณี...
ที่นบีพูด นบีกระทำมันคือประเพณียุคนั้นนะ...
การเชื่อนบีราวกับว่ากุรอานเดินได้เป็นชีริกนะ...

ผมจำได้หมดแล้วครับ
แต่ไม่มีใครเชื่อคุณหรอกครับ
นอกจากคนที่(ใจลึกๆ)อยากออกจากหลักการ หรือ(ลึกๆ)ดูถูกดูชังหลักการว่ามันโง่เขลาและดูล้าหลัง
ซึ่งคนเหล่านี้คือคนที่ไม่ผ่านบททดสอบด้วยกับการที่อัลลอฮฺส่งเขาไปอยู่ในแวดล้อมที่ค้านกับบัญญัติอิสลามและสังคมรังเกียจหลักการอิสลามอยู่แล้ว
แน่นอนคนพวกนี้ก็ต้องการนำสิ่งที่ตนเองเชื่อปรับไปให้สอดคล้องกับความชอบของสังคมหรือแวดล้อม
แต่หารู้ไม่ว่า ถึงจะปรับไปแค่ไหนก็เหอะ เค้าก็รังเกียจอยู่ดี!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 11:40 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณนพ

คุณเลี่ยงอีกแล้ว อธิบายคำถามให้ทุกๆท่านทราบด้วย

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Fri Feb 25, 2005 11:00 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


สวัสดีครับท่านสมาชิก


ผมกลับเข้ามาสนทนา ที่นี่ เพราะ ว่า ที่นี่ เป็น ครอบ ครัว มุสลิม ที่ เมื่อ เข้า มาคุย แล้ว มี ความ อบ อุ่น ใจ และ ท่าน วิทยากร ก็ มี น้ำ ใจ เป็น ผู้ ใหญ่ ที่ น่า นับ ถีอ, มันแน่นอน ทีเดียว การ สนทนา เรื่อง ศาสนา จาก ผู้ ที่ มา จาก ทิศทาง ต่างๆ, ต่้างครอบครัว และ การ อบรม ใน ครอบ ครัว ที่ ต่าง กัน และ ประ สพการ ใน การ เรียน การ สอน ที่ ต่าง กัน ย่อม มี ความ เห็น และ ความ เข้า ใจ ที่ ไม่ ตรง กัน ผมไม่ เคย โกรธเคือง ผู้ ใด เลย และให้ความนับถือผู้ ที่ มีวิชาความรู้ ถึงแมืว่า บางครั้ง จะ มี ผู้ ที่ ใช้อารมณ์ กับ ผมๆ ผม ก็ ให้ อภัย ได้, ผม คิดว่า การ เสวนา เช่นนี้ ทำให้ เรา กล้า พูด, กล้า ถาม, และ กล้า คิด, ถึง เหตุ ผล ต่างๆ ว่า ทำไมเรา จึงมี ความ ศรัทธา ต่อ อิสลาม และสิ่ง ใดที่ เป็น หลักการ ที่ แท้ จริง ของ อิสลาม แต่ถ้าเรา มีศรัทธา ที่ แท้ จริง ยึดมั่น ต่อ พระองอัลลอฮ์ แล้ว ไม่ว่า เรา จะ เสวนา กัน ใน รูป แบบ ใด เรา ก็ไม่ เสีย อีมาน แต่ สิ่งที่ได้ประโยชน์คือ เข้า ใจ อิสลาม ดี ขึ้น


ในการศึกษาขบวนการ ของ “อะหะดีษ” นั้น ไม่ใช่แต่เชื่อ คำบอกเล่า เท่านั้น, แต่เราจะต้อง ใช้ เหตุผล ว่า สิ่ง ที่ เขียน บัน ทึก อยู่ ใน การ รวบ รวม นั้น, เมื่อ พิจารณา เปรียบเทียบ กับบุคลิก ลักษณะ, ความเป็น นักรบ, ผู้ปกครอง, แม่ทัพ, นักปกครอง และ คุณ สมบัติ ประจำตัว ของบุคคล ผู้ ซึ่ง ถูกพระองอัลลอฮ์ ทรง แต่งตั้ง ให้ เป็น ศาสนฑูต ของ พระองค์ นั้น สอดคล้อง กัน หรือ ไม่, พระองค์ อัลลออ์ ทรง บัญญัติ ไว้ ว่า พระองค์ ทรง ส่ง ท่าน รอซูล มา เพื่อ ความ เมตตา กรุณา ต่อ มวล มนุษย์ ชาติ ดังนั้น เรื่อง ราว อะไร ก็ ตาม ที่เป็น เรี่อง บอกเล่า จาก กลุ่ม บุคคล และ ผู้ อื่น ต่อๆ กันมา ที่ขัด กับ คุณลักษณะ ของ ท่าน รอซูล แล้ว เรา จะ ต้อง ใช้ เหตุผล ว่า เรื่อง เล่านั้น จะเป็น ไป ได้ หรือ ไม่


ตัวอย่างเช่น ถ้า มีซอเฮี๊ยะ ฮะดิษ บรรยายว่า “ เมื่อใดก็ตาม ที่ท่าน รอซูล ต้องการจะกอดเล้าโลม ภรรยาท่าน ขณะมี ประจำเดือน ท่านจะบอกให้ นาง เอา ผ้า พันรอบเอวนาง แล้ว ท่าน ก็กอดรัด ปลุกปล้ำ, และผู้เล่า กล่าวว่า, ท่านควบคุม อารมณ์ ใคร่ ของท่าน ได้ ดีมาก”,

เรา ลอง มาคิด ดู ว่า เรื่อง นี้ เชื่อ ได้ หรือ ไม่?
1. ท่านรอซูล มีศรัทธา มั่น ต่อพระองค์ อัลลออ์, ถ้า พระองค์ อัลลอฮ์ สั่ง ห้าม สามี เข้า ใกล้ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน ท่าน รอซูล จะไม่ ทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน
2. คุณลักษณะของท่านรอรูลเป็น หลักประกัน ว่า ท่าน จะควบคุมอารมณ์ ท่าน โดยที่ ไม่ เข้า ใกล้ หรือ ปลุกปล้ำ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน

เพียง สอง ข้อ นี้ เรา ก็ ต้อง Reject หรือ ไม่ ยอมรับ เรื่อง บอก เล่า เรื่อง นี้ เมื่อ เป็น เช่นนี้ คำว่า “ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ” จึงไม่ มีความหมาย อะไร เพราะ ว่า โดย เหตุ ผล จากความ ยึดมั่น ต่อ อัลลอฮ์ และ อัลกุรอาน ของ ท่าน รอซูล ก็ เพียง พอ แล้ว ว่า “ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ” บทนี้ ไม่มีความจริง


ตาม ที่ คุณ นพ กล่าวว่า:

“ในหะดีษมันเป็นประเพณีไม่ใช่บัญญัติศาสนาอิสลาม...
ต้องแยกนะระหว่างศาสนากับประเพณี...
ที่นบีพูด นบีกระทำมันคือประเพณียุคนั้นนะ...
การเชื่อนบีราวกับว่ากุรอานเดินได้เป็นชีริกนะ”


ปัญหาไม่ได้ อยู่ ที่ ว่า, “ที่นบีพูด นบีกระทำมันคือประเพณียุคนั้นนะ.. การเชื่อนบีราวกับว่ากุรอานเดินได้เป็นชีริกนะ”........ ปัญหาอยู่ ที่ว่า สิ่ง ที่เรา เชื่อ นั้น มัน มี ความ จริง อยู่ หรือ ไม่ และเป็นกล่าวของท่านรอซูลที่แท้จริงหรือไม่? ถ้าเป็น เรื่อง เล่า ต่อๆ กันมา แล้ว และ ไม่ มี ความ จริง และ ถ้าเรา อ้างว่า “อะหะดีษ” ของ บุคอฮ์รีย์ เป็น “วะฮีย์” หรือ การพูด หรือ การ กระ ทำ ที่เกิดมาจาก การ ดลใจของ อัลลออ์, แล้ว นำสิ่งนี้ ขึ้น เทียบเท่า อัลกุรอาน โดย นำ มา อธิบาย อัล กุรอาน หรือ จัดอันดับ อยู่ ใน “กีตาบุลลอฮ์” แล้ว การกระทำเช่นนั้น เป็น การ สร้าง ภาคี หรือ “ชิริก”


พระองค์ อัลลออ์ ได้ ทรงกล่าวไว้ว่า

“และแท้จริง มีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาที่บิดลิ้นของพวกเขาในการอ่านคัมภีร์ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจว่า มันมาจากคัมภีร์ ทั้งๆที่มันมิได้ มาจากคัมภีร์ พวกเขาอ้างว่า มันมาจากอัลลอฮ์ ทั้งๆที่มันมิได้มาจาก อัลลอฮ์ พวกเขากล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ดี” ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 78


การแอบอ้างว่า เรื่องราวใดๆ ก็ตาม ที่นอกเหนือ จาก อัลกุรอาน ว่า เป็น “วะฮีย์” จะตกอยู่ ในข่าย ของ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 78 ดังนั้น ถ้า มีผู้ อ้างว่า “อะหะดีษ” ของ บุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม หรือ ของผู้ใดก็ตาม ที่ จัด อยู่ ใน จำ พวก “ซอเอี๊ยะฮะดีษ” เป็นวะฮีย์ แล้ว เป็นการไม่ถูกต้อง และ จัดว่า เป็น การ กระทำ ที่ เป็น “ซิริก” ซึ่ง พระองค์ อัลลออ์ ได้ กล่าว สาปแช่ง ไว้ ดังนี้


“ความวิบัติจงมีแด่ผู้ที่เขียนคัมภีร์ขึ้นเองด้วยมือของพวกเขา แล้วอ้างว่า มันคือคัมภีร์จากอัลลอฮ์ เพื่อพวกเขาจะได้นำมันไปแลกกับราคาเพียงเล็กน้อย” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


ในที่นี้ รวมถึงผู้ ที่ นำเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยว กับ ท่านรอซูล และ ศาสนาอิสลาม แล้ว แอบอ้าง ว่า เป็น “วะฮีย์” นำมาทำเป็นการค้า เช่น การ แปล หรือ การ เขียน อะฮะดีษ มาออกเป็น หนังสือ ขาย เป็น การ ค้า โดยที่ สร้าง ความ ประทับ ใจ ให้ กัมุสลิม ว่า เรื่อง ราว เหล่า นั้น เป็น “วะฮียฺ” จาก อัลลอฮ์ ผู้ ที่กระทำการค้า “อะฮะดีษ” จะตกอยู่ ในข่าย นี้ . .... ถ้าเขาเหล่านั้น หลอกลวง มุสลิม ว่า เรื่อง เหล่านั้น เป็น “วะฮีย์” จาก อัลลอฮ์ ดังนั้น ผู้ ที่ กำลังทำ กิจการค้า ในทำนองนี้ โปรด ระลึก ถึง “ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


พระองค์ อัลลออ์ ทรง รอบรู้ เพื่อ ให้ โองการต่างๆ ของ พระองค์ เกิดผล พระองค์ ไม่ใช่ แต่ จะ บอก การ ลงโทษ เท่านั้น พระองค์ ทรง บอก วิธี ป้อง กัน ไม่ ให้ มุสลิม หลง ตก อยู่ ใน หลุมพลาง อันนี้ พระองค์ ทรง ประทาน บัญญัติ ซึ่ง ใช้ เป็น มาตรฐาน ใน การ ตรวจ สอบ “อะหะดีษ” ว่า เป็น วะฮีย์ จริง หรือ ไม่ เข้าใจได้ จาก ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 82


“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”


จากความหมายของ ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์


ด้วยเหตุนี้ การที่กล่าวว่า ผู้ ที่ไม่เชื่อ หรือ ยอม รับ ซอเฮี๊ยะหะดีษ เป็น “กาเฟร” นั้น จึง เป็น การ กล่าว โดย ไม่ เข้า ใจ ความหมาย ใน “อัลกุรอาน” ในทางตรงกันข้าม ผู้ ที่ “ ยกและศรัทธา “ซอเฮี๊ยะหะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” ว่า เป็น “วะฮีย์” จึง จัดว่า เป็น การ กระ ทำ ที่ เป็น “ชิริก” แต่ถ้า เรา จะ ใช้ “ซอเฮี๊ยะหะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” เพื่อที่ศึกษาว่า เป็น ส่วน หนึ่งข อง ประวัติศาสตร์ อิสลาม เช่น หนัง สือ ประวัติ ศาสตร์ ทั่วๆไป ผมก็ ไม่ เห็น ว่า จะ เป็น การ กระทำ ที่ เป็น ชิริก ตราบใดที่เรา ไม่ เชื่อ ว่า เป็น “วะฮียฺ ์” จาก อัลลอฮ์


ผมหวังว่า คุณนพ คงเข้าใจ, การพยายาม ที่จะ อธิบาย ให้ ผู้ ที่ ขาด ข้อมูลหรือได้ รับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ (Ignorant) ได้เข้า ใจในเรื่อง นี้ หลายๆ ครั้ง ในรูปแบบ ที่ต่างกัน นั้น, ไม่ เรียก ว่า “พายเรือในอ่างน้ำ”, แต่ เรียกว่า เป็น การ หารูปแบบ ในการ สอน ให้ สามารถที่จะ เป็น สื่อ ให้ ผู้ นั้น ได้ รับขอ้มูลที่ถูกต้องได้ เพี่อ ขจัด ความ Ignorance ของ เขา นั้น ก็ คือ ทำ ให้ เขา เข้า ใจได้ ดี ขึ้น


คุณนพเข้าใจหรือไม่ ว่า ผม ยอมรับ อัลฮะดีษของท่าน รอซูลทุกๆอย่าง ที่เห็น ได้แน่นอน ก็คือ อัลกุรอาน อย่าง เดียว เท่านั้น ที่ เป็น “วะฮีย์” ส่วน “ซอเฮี๊ยะหะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” นั้น ไม่ผ่านการทดสอบของอัลลอฮ์ (4:82) จึงไม่จัดว่า เป็น วะฮีย์ ดังที่ได้ กล่าวแล้ว


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Sat Feb 26, 2005 8:59 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณ แมทท ครับผมว่าจะอ่านอย่างเดียวแต่ก็อดถามไม่ได้
ที่คุณเข้าใจว่า
ผม ยอมรับ อัลฮะดีษของท่าน รอซูลทุกๆอย่าง ที่เห็น ได้แน่นอน ก็คือ อัลกุรอาน อย่าง เดียว เท่านั้น ที่ เป็น “วะฮีย์” ส่วน “ซอเฮี๊ยะหะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” นั้น ไม่ผ่านการทดสอบของอัลลอฮ์ (4:82) จึงไม่จัดว่า เป็น วะฮีย์ ดังที่ได้ กล่าวแล้ว ??
นั้นผมอยากทราบว่า อัลลอฮฺ กล่าวว่า
" " และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์แต่เป็นวะฮีย์
ที่มาจากอัลลอฮฺ " "
ท่านจะว่าเป็นอย่างอื่นเช่นใดอย่าบอกนะว่าหมายถึงอัลกุรอานทั้งหมด
และจะรู้ได้อย่างไรว่าส่วนไหนเป็นหะดีษหรือ อัล กุรอาน
หรือว่าในอิสลามไม่มีคำว่า หะดีษ ครับ
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sun Feb 27, 2005 11:14 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คุณ Addullslam


ผม ขอบคุณ ที่คุณ ได้ ให้ โอกาศ ผม ได้ อธิบาย ให้ ทราบ ความ เข้า ใจ ของ ผม ซึ่ง ไม่ จำเป็น ที ผู้ ใด จะ ต้อง เห็น ด้วย คุณ จะ สังเเกตุ ได้ ว่า ทุกครั้ง ที่ ผม กล่าว ถึง คำว่า “ฮะดีษ” นั้น ผมจะ ชี้ เฉพาะ ลงไปว่า “ซอเฮี๊ยะ หะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” การ ที่ จำ เป็น จะ ต้อง ย้ำ เช่นนี้ ก็ เพราะ ผม ต้อง การ จะ ให้ ทุกๆ ท่าน ทราบว่า “ฮะดีษ” ที่ผม ไม่เห็น ด้วย ว่า เป็น วะฮีย์ นั้น คือ เรื่อง บอก เล่า ต่างๆ ที่ บุคอฮรี์ และ มุสลิม รวบรวม มาจาก คำบอกเล่า ต่อๆ กัน มา หลัง จาก ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ได้ สิ้น ชีวิต ไปแล้ว นาน กว่า 200 ปี


หลังจาก ท่าน รอซูลมูฮัมมัด ได้ สิ้น ชีวิตไป แล้ว บรรดา เพื่อน ฝูง ผู้ที่เคย ติด ตาม และผู้ รับใช้ ท่าน รอซูล ผู้ซึ่ง ต้อง การ หาชื่อเสียง ให้ กับตัวเอง โดยการใช้ ความสัมพันธ์ ในอดีต ที่มีอยู่กับ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ก็ เริ่ม การ บอกเล่า เรื่อง ราว เกี่ยว กับ ท่าน รอซูล เป็น ต้น ว่า, “ฉันได้ เห็น ท่านรอซูลทำอย่างนี้ และ ฉันได้ ยิน ท่านรอซูลกล่าวว่าอย่างนั้น”, เป็นที่เห็น อย่างชัดแจ้งว่า ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่ท่าน รอ ซูล กล่าว หรือ กระทำ ไม่ ใช่ ข่าวสาร.. ที่พระองค์ อัลลอฮ์.. ต้องการ จะให้ท่านรอซูลนำมาประกาศ ให้ แก่ ปวง ชน (บัญญัติ ใน อัลกุรอาน)


ตัวอย่าง “ฮะดีษและซุนนะ” ที่ ไม่ ใช่ “วะฮีย์”


ซอเอียะฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 1, เลขที่ 0029
บรรยาย โดย อับดุลลออ์ อิบนฺซอญิส


“ท่านรอซุลห้ามถ่ายปัสสวะลงไปในรู” ..... รูอะไร? และมีเหตุผลอย่างไร?


“ ท่านศาสดาถ่ายปัสสวะในท่ายืน” จาก บุคอฮรีย์ 4/60-64


และอีกบทหนี่ง บันทึกว่า:

ท่านศาสดาไม่เคย “ถ่ายปัสสวะ” ในท่ายืนเลย บอกเล่าโดย ฮันบลฺ 6/136, 192,213,


อะไรกันแน่ ? ท่านถ่ายปัสสวะในท่าใดกันแน่? และมีอะไรเกี่ยวกับ หลักการ ของ ศาสนาอิสลาม บ้าง และ เราเรียนรู้ อะไร จาก สิ่ง บอกเล่าทั้งสองบทบ้าง?


ข้อความที่ขัดกับบัญญัติ ในอัลกุรอาน:


“ไม่มีการบังคับในการใช้ชีวิตตามวิถีทางของอัลลฮ์; อย่างแน่นอน วิถีทางที่ถูกต้อง ได้ ถูก ทำให้เห็น ความแตกต่าง ที่ชัดเจน จาก หนทางที่ผิดพลาด; ดังนั้น ผู้ใดก็ตาม ที่ ไม่ หลงผิด ไปกับ ผู้ ปฎิเสธ แต่กลับมาศรัทธา ต่อ พระองค์อัลลอฮ์, แน่นอนทีเดียว เขาได้ ยึดอยู่กับ สิ่งที่มั่นคงที่สุดซึ่ง จะไม่มีการ แตกสลาย, อัลลอฮ์พระองค์ทรงได้ยินและรอบรู้” (2:256)


ทีนี้ลองมาดู คำกล่าวใน “ฮะดีษ”


บุคอฮิรีย์: หมวด 6, เล่มที่ 60, เลขที่ 80:
บรรยายโดย อบู ฮูรัยรอว่า:


“พวกเจ้าทั้งหลาย (มุสลิมที่แท้จริง) คือบุคคลที่ดีที่สุด ใน มวลมนุษย์ที่เคยมีมา, หมายความว่า เป็น ผู้คนที่ดีที่สุด สำหรับ ประชาชนทั้งหลาย, ในขณะที่เจ้าลากคอพวกเขามาด้วยสายโซ่ จนกว่าที่เขาจะยอมรับอิสลาม”


คุณจะเห็น ว่า “อัลลอฮ์ ให้ เสรีภาพ สำหรับ ผู้ที่ จะเข้ารับอิสลาม, แต่ในฮะดีษ ใช้การบังคับ โดย กล่าวว่า ถ้าเราเป็น มุสลิม ที่ แท้จริง แล้ว จะต้อง บังคับ ให้ ผู้ อื่น เป็น มุสลิม (ให้ทรมานจนกว่า เขาจะยอมรับอิสลาม)


ผมเข้าใจว่า ยังมี มุสลิมจำนวนมาก นอกจากผม ซึ่ง มอง เห็น ความ บกพร่อง และ ไม่ แน่นอน เกี่ยว กับ “ซอเฮี๊ยะ หะดีษที่รวบรวม โดย บุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” แต่ไม่กล้า ที่ จะ กล่าวตำหนิ ทั้งนี้ เพราะ ว่า เกรง กลัวอาจารย์ และ เกรง กลัว บาป ทั้งนี้ เพราะ ถูก หลอก ถูกขู่ กัน มา ตั้ง แต่ เด็กๆ ว่า “ซอเฮี๊ยะ หะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” เป็น “วะฮีย์ จาก อัลลอฮ์ เช่น เดียว กับอัลกุรอาน


พระองค์ อัลลออ์ ทรง รอบรู้ พระองค์ ทรง บอก วิธี ป้อง กัน ไม่ ให้ มุสลิม หลง ตก อยู่ ใน หลุมพลาง อันนี้ พระองค์ ทรง ประทาน บัญญัติ ซึ่ง ใช้ เป็น มาตรฐาน ใน การ ตรวจ สอบ “อะหะดีษ” ว่า เป็น วะฮีย์ จริง หรือ ไม่ เข้าใจได้ จาก ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 82


“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”


จากความหมายของ ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 82 นี้ บอกให้เราทราบว่า ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่ เราจะเห็น ได้ว่า ใน “ซอเฮี๊ยะ หะดีษที่รวบรวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์


คุณ Addullslam ถามผมว่า:


นั้นผมอยากทราบว่า อัลลอฮฺ กล่าวว่า


" และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์แต่เป็นวะฮีย์”
ที่มาจากอัลลอฮฺ "


ส่วนมาก ปัญหาที่เกิด ขึ้น ใน การ อ้าง อิง อัลกุรอาน เกิด ขึ้น จาก การ ที่ ผู้ อ้าง ไม่ ได้ มอง ดู ถึง เนื้อ เรื่อง ของ อัลกุรอาน ในซุเราะห์ หรือ อายะที่นำมา อ้าง อิง , บาง ครั้ง ใช้ เพียง อายะเดียว หรือ บาง ส่วน ของ อายะห์ มาอ้าง:


จากตัวอย่าง ที่ว่า " และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์แต่เป็นวะฮีย์” นี้เป็น อายะหนึ่ง ใน ซูเราะฮฺ อันนัจมฺ ซึ่ง ผู้ที่ศรัทธา ใน “ซอเฮี๊ยะ หะดีษที่รวบ รวมโดยบุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม” นิยม นำมาอ้างอิง ว่า อายะนี้ หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ ท่านรอซูลกล่าว หรือ กระทำ เป็น วะฮีย์ ทั้งหมด”


แต่ถ้า เรา อ่าน ต่อ ไป ถึง อายะห์ ที่ 4 เรา จะเห็น ว่า ตั้งแต่ อายะที่2 ซึ่งกล่าวเตือน ผู้ คนรอบข้าง ท่าน รอซูลมูฮัมมัด ไม่ ให้ เข้า ใจ ท่าน ผิด ว่าท่านเสียสติ ในการ อ้างว่า ไดยิน เสียงกระซิบของ ผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่, เป็นการ บอกว่าท่านรอซูล มีสภาวะจิตอยู่ในสภาพ ปกติ , อายะที่ 3 นั้น บอกให้ทราบว่าการรับวะฮีย์ ของ ท่าน รอซูล นั้น เป็นสิ่ง แท้จริง ที่มาจากอัลลออ์ ท่านไม่ได้ กล่างออกมาตาม ที่ ท่าน นึกคิดเอาเอง, อายะ ที่ 4 และอายะที 5 บอกให้ทราบว่า อัลกุรอานถูกส่งมาโดยผู้ใด เพียงแค่ อายาต3,4 และ5 ก็บอก ให้เราทราบ ว่า นั้นคือ การประทาน อัลกุรอาน เท่านั้น


ผู้ศึกษาอัลกุรอาน อ่านตั้งแต่อายะที่ 1 จนถึง อายะที่ 62 เขาจะทราบว่า อายะที่วา " และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์ แต่เป็นวะฮีย์” นั้น หมายถึงอัลกุรอาน เท่านั้น ไม่มีที่ใด อธิบายว่า อายะที่ 3 รวบยอดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ ท่านรอซูล กล่าว หรือ ปฏิบัติ เป็น วะฮีย์ จาก อัลลอฮ์:


ซูเราะฮฺ อันนัจมฺ อายะ 1-5


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตา


1. ยามที่ตะวันคล้อยต่ำลงมา (ขอสาบานด้วยดวงดาวเมื่อมันคล้อยตกลงมา)

2. สหาย ของพวกเจ้ามิได้หลงผิดและเชื่อมั่นในทางที่ผิด (บอกว่าท่านรอซูล มีสภาวะจิตอยู่ในสภาพ ปกติ)

3. และเขามิได้พูดตามอารมณ์

4 .มันไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก การประทานคัมภีร์(อัลกุรอาน) โดย “วะฮีย์” (โดยการดลใจจากอัลลอฮ์)

5. ผู้ทรงพลังอำนาจอันมากมาย (ญิบรีล) ได้สอนเขา


ซูเราะฮฺ ลุกมาน อายะที่6 กล่าวไว้ว่า:

“และในหมู่มนุษย์มีผู้นำเอาเรื่องไร้สาระ เพื่อทำให้ผู้อื่นหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ โดยปราศจากความรู้ และถือเอามันเป็นเรื่องขบขัน ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างร้ายแรง”


การแอบอ้างว่า เรื่องราวใดๆ ก็ตาม ที่นอกเหนือ จาก อัลกุรอาน ว่า เป็น “วะฮีย์” จะตกอยู่ ในข่าย ของ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 78 ดังนั้น ถ้า มีผู้ อ้างว่า “อะหะดีษ” ของ บุคอฮ์รีย์ หรือ มุสลิม หรือ ของผู้ใดก็ตาม ที่ จัด อยู่ ใน จำ พวก “ซอเอี๊ยะฮะดีษ” เป็นวะฮีย์ แล้ว เป็นการไม่ถูกต้อง และ จัดว่า เป็น การ กระทำ ที่ เป็น “ซิริก” ซึ่ง พระองค์ อัลลออ์ ได้ กล่าว สาปแช่ง ไว้ ดังนี้


“ความวิบัติจงมีแด่ผู้ที่เขียนคัมภีร์ขึ้นเองด้วยมือของพวกเขา แล้วอ้างว่า มันคือคัมภีร์จากอัลลอฮ์ เพื่อพวกเขาจะได้นำมันไปแลกกับราคาเพียงเล็กน้อย” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"
คุณ Addullslam ถามผมว่า:

“หรือว่าในอิสลามไม่มีคำว่า หะดีษ ครับ?”


คำว่า “ฮะดีษ” มีการใช้อยู่ ในอัลกุรอาน ประมาณ 31 ครั้ง ในรูปแบบต่างๆกัน มีอยู่ 18 ครั้ง ที่ใช้ คำว่า “ฮะดีษ” โดยตรง เรื่องราวต่างๆที่ดีๆในอัลกุรอาน ไม่ได้ อ้างถึง เรื่องราวที่ มุสลิมในปัจจุบัน เชื่อ ว่า เป็น คำกล่าว ของ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด เลย


ผมอยากให้คุณ Addullslam อ่าน การใช้คำว่า ฮะดีษ ใน อายะต่างๆ ต่อ ไปนี้ 7:185, 31:6, 39:234, 5:6, 52:34, 68:44…แล้คุณจะ เห็น ว่า ทำไมเราจึง จะ ต้อง ยึด ถือ อัลกุรอาน ท่านั้น เป็น แนวทาง ในการ เรียน การ สอน และ การ ปฏิบัติ ศาสนกิจ ตามหลักการ ของ อิสลาม ที่เป็น ศาสนาของ พระองค์ อัลลอฮ์


พระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานอิสลาม ให้แก่มุสลิม และได้ มอบ หนังสือ คู่ มือ ศาสนาของพระองค์ คือ อัลกุรอาน เพื่อเป็น แนวทาง ปฏิบัติศาสนาของพระองคฺ์, แต่เรากลับไป เอา หนังสือ นิทาน เรื่องเล่า ซึ่ง หาความแท้จริงไม่ได้ มา เป็น คู่มือ แทน แสดงว่า เรา ไม่ ปฏิบัติ ตาม “ฮะดีษ และ ซุนนะห์” ที่แท้จริง ของ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด. คุณคิดว่าอย่างไร?


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Mon Feb 28, 2005 12:07 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แก้เติมข้อความ

ผู้ศึกษาอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อันนัจมฺ อ่านตั้งแต่อายะที่ 1 จนถึง อายะที่ 62 เขาจะทราบว่า อายะที่วา " และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์ แต่เป็นวะฮีย์” นั้น หมายถึงอัลกุรอาน เท่านั้น ไม่มีที่ใด อธิบายว่า อายะที่ 3 รวบยอดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ ท่านรอซูล กล่าว หรือ ปฏิบัติ เป็น วะฮีย์ จาก อัลลอฮ์:
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Mar 01, 2005 12:09 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

Dear addullslam:

I know that you are very well verse in English. I have the following Hadeeths for you to translate into Thai for our Muslim brothers and sisters. I, my self, cannot express these Hadeeths in Thai comfortably due to the nature of their contents. I am wondering why this sunnah is not being practicing in our Hadeeth Experts’ familes ( in Thai Muslim Society).


Book 008, Number 3424:
' A'isha (Allah be pleased with her) reported that Sahla bint Suhail came to Allah's Apostle (may peace be eupon him) and said: Messengerof Allah, I see on the face of Abu Hudhaifa (signs of disgust) on entering of Salim (who is an ally) into (our house), whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said: Suckle him. She said: How can I suckle him as he is a grown-up man? Allah's Messenger (may peace be upon him) smiled and said: I already know that he is a young man 'Amr has made this addition in his narration that he participated in the Battle of Badr and in the narration of Ibn 'Umar (the words are): Allah's Messenger (may peace be upon him) laughed

Book 008, Number 3425:
'A'isha (Allah be pleased with her) reported that Salim, the freed slave of Abu Hadhaifa, lived with him and his family in their house. She (i. e. the daughter of Suhail came to Allah's Apostle (may peace be upon him) and said: Salim has attained (purbety) as men attain, and he understands what they understand, and he enters our house freely, I, however, perceive that something (rankles) in the heart of Abu Hudhaifa, whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said to her: Suckle him and you would become unlawful for him, and (the rankling) which Abu Hudhaifa feels in his heart will disappear. She returned and said: So I suckled him, and what (was there) in the heart of Abu Hudhaifa disappeared.


Book 008, Number 3427:
Umm Salama said to 'A'isha (Allah be pleased with her): A young boy who is at the threshold of puberty comes to you. I, however, do not like that he should come to me, whereupon 'A'isha (Allah be pleased with her) said: Don't you see in Allah's Messenger (may peace be upon him) a model for you? She also said: The wife of Abu Hudhaifa said: Messenger of Allah, Salim comes to me and now he is a (grown-up) person, and there is something that (rankles) in the mind of Abu Hudhaifa about him, whereupon Allah's Messenger (may peace be upon him) said: Suckle him (so that he may become your foster-child), and thus he may be able to come to you (freely).

Thanks

wassalam

Matt
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Mar 01, 2005 12:13 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Correction:


"I am wondering why this sunnah is not being practiced in our Hadeeth Experts’ familes ( in Thai Muslim Society)."
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 11, 12, 13 ... 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 12 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.07 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ