ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Sun Dec 19, 2004 3:54 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ขออภัยที่เข้ามานำเสนอล่าช้าไปหน่อย เพราะต้องฟังและอ่านข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่อยากให้ใครต่อว่า ว่าเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ในประเด็น ผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุ้ลกิตาบ ตามข้อกล่าวหาของซะละฟียูนว่าบิดเบือนอัลกุรอานนั้น ดูจะเป็นข้อหาที่ร้ายแรงไม่น้อย แต่เมื่อผมอ่านเอกสารของทางซะละฟียูนก็พบว่าเป็นข้อหาที่กล่าวขึ้นลอยๆ โดยไม่มีรายระเอียดนำเสนอ ขณะเดียวกันกลับได้ข้อมูลที่เพื่อนสมาชิกนำเสนอไว้แล้วคือ
ซะละฟี่ยูน :
ศาสนาเดิมของยะฮูดและนะศอรอก็คืออิสลาม เมื่อพวกเขาเพี้ยนไปแล้วจึงไม่เรียกว่ามุสลิมหรืออิสลาม แต่ถูกเรียกว่าศาสนาของยะฮูดและศาสนาของนะศอรอ และหากเปลี่ยนหลักอะกีดะห์ (หลักความเชื่อศรัทธา) ไปเชื่อตามลัทธิอื่นๆ พวกนี้ก็ไม่ถูกเรียกว่าอะห์ลุ้ลกิตาบแล้วเช่นกัน (จากหนังสืออะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร โดย อ.อิสฮาก เล่ม 1 หน้า 20)
ดูเหมือนซะละฟียูนจะขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะข้อความข้างต้นนี้ก็ชี้ชัดอยู่แล้วว่า มีผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุ้ลกิตาบด้วยเช่นกัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Sun Dec 19, 2004 3:58 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ส่วนทางมูลนิธิอนุรักษ์ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ยาวมาก โดยมีรายละเอียดพร้มหลักฐานซึ่งผมจะทยอยนำเสนอดังนี้
มูลนิธิอนุรักษ์ :
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่ผู้รู้ของเราบางท่านกล่าวว่า ไม่เคยรู้หรือไม่เคยได้ยินคำว่า ผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบ ทั้งๆที่เรื่องนี้มีทั้งอัลกุรอานและอัลฮะดีษยืนยันหลายกรณีด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
1- ศอฮาบะห์ของรอซูลหลายท่าน เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบ
เช่นท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุสลาม ที่เคยเป็นหนึ่งในหมู่อะห์ลุลกิตาบที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์อัตเตารอต เมื่อเขาได้มารับอิสลามกับท่านนบี เขาก็เป็นศอฮาบะห์ของท่านนบี เขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับการยืนยันว่าเป็นชาวสวรรค์ เขาถูกเรียกว่ามุสลิม เขาทิ้งความเป็นอะห์ลุลกิตาบไว้เบื้องหลัง หากมีผู้ถามว่า ศอฮาบะห์ของท่านรอซูลคนใดที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์อัตเตารอตเป็นอย่างดี ผู้รู้ในแวดวงของนักวิชาการก็จะตอบว่า ศอฮาบะห์ท่านนี้คือ อิบนุสลาม ซึ่งหลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้คือ ฮะดีษในศอเฮียะห์บุคคอรี เลขที่ 3363 ซึ่งเป็นเหตุการณ์เผชิญหน้าเพื่อพิสูจน์ข้อความในคัมภีร์อัตเตารอต (อ่านฮะดีษบทนี้ในเล่มที่ 1 หน้าที่ 33 34)
นอกจากนั้นในเหตุการณ์ที่บรรดาอะห์ลุลกิตาบ ซึ่งนำโดยท่านอับดุลลอฮ์ บินสลามและพวกพ้องประมาณ 10 คน ที่มารับอิสลามนั้น ยังเป็นเหตุแห่งการประทานอายะห์อัลกุรอาน ซูเราะห์อัลกอศ็อด อายะห์ที่ 54 อีกด้วย ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเล่มที่ 1 บทที่ 1 หัวข้อเรื่อง อะห์ลุลกิตาบในยุคของนบี หน้าที่ 35 45
2 ผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบอีกกรณีหนึ่งก็คือ กลุ่มบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 29 34 ซึ่งเป็นข้อบัญญัติที่สั่งให้ต่อสู้กับพวกเหล่านี้ และท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า หญิงของคนในกลุ่มนี้ไม่อนุญาตให้แต่งงานด้วย พวกเขาถูกเรียกว่า อะห์ลุลฮัรบ์ แต่ถ้าพวกเขาวางอาวุธแล้วยอมจ่ายญิชยะห์ (ภาษีคุ้มครอง) ให้แก่รัฐอิสลาม พวกเขาถูกเรียกว่า อะห์ลุลซิมมะห์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเล่มที่ 1 บทที่ 3 หัวข้อเรื่อง ยะฮูดี นัศรอนีที่สิ้นสภาพจากอะห์ลุลกิตาบ หน้าที่ 60 77 )
ที่กล่าวมานี้เป็นกรณีตัวอย่างเพียงสังเขป ที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบนั้นมีตัวตนอยู่จริง และมีตัวบทหลักฐานยืนยันทั้งจากอัลกุรอานและฮะดีษของท่านรอซูล (จากคำถามท้ายบทของหนังสือ สถานภาพยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟารีด เล่มที่ 2 หน้า 64 และ 65 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Sun Dec 19, 2004 8:45 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ดิฉันคิดว่า เรื่องผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบ น่าจะมาจากความสับสนของผู้รู้สลาฟียูน ซึ่งคง เจตนาที่จะฟิตนะห์โจมตีผู้อื่นมากเกินไป จนทำให้ลืมไปว่า สิ่งที่ตัวเองได้เขียนไว้นั้น มีความเป็นไปอย่างไร เพราะเท่าที่มีปรากฏในเอกสารสลาฟียูน ก็ดูเหมือนจะมีพวกที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบอยู่นะคะ :
พวกมะยูซี แต่เดิมนั้นก็นับถือคัมภีร์อัตเตารอต และอัลอินญี้ล ต่อมาพวกเขาผิดเพี้ยนไปจนไม่เหลือร่องรอยแห่งการศรัทธาในคัมภีร์ดังกล่าว แต่ท่านนะบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็สั่งให้ปฏิบัติต่อพวกเขาคล้ายอะห์ลุ้ลกิตาบ (หน้า6-7) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Sun Dec 19, 2004 8:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอเพิ่มเติมในส่วนของคุณยุสรอหน่อยนะคะ ดิฉันเห็นด้วยค่ะ ว่า อะห์ลุลกิตาบที่ศาสนาอนุมัติให้แต่งงานด้วยได้นั้นไม่น่าจะใช่ยะฮูดีนัศรอนีที่เป็นศัตรูของอิสลาม ซึ่งเรื่องนี้ก็มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือของท่านอาจารย์ฟารีด เล่มที่ 2 ในหัวข้อศัตรูไม่ใช่มิตร หน้า 48 50 เช่น
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้เอาศัตรูของข้า และศัตรูของเจ้ามาเป็นมิตร โดยหยิบยื่นความรักใคร่ให้แก่พวกเขา ซูเราะห์แลมุมตะยินะห์ อายะห์ที่ 1
และเจ้าจะพบว่า มนุษย์ที่เป็นศัตรูฉกาจต่อบรรดาผู้ศรัทธาคือ ยะฮูดและบรรดาผู้ให้มีภาคี ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 82
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงอย่าเอายะฮูดและนะศอรอมาเป็นมิตร เพราะพวกเขาเป็นมิตรซึ่งกันและกัน และผู้ใดเอาพวกเขามาเป็นมิตร เขาเป็นหนึ่งชนนั้นด้วย ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 51 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
rabiab มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: Dec 16, 2004 ตอบ: 8
|
ตอบ: Sun Dec 19, 2004 9:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน ขอบคุณท่านวิทยากรมากค่ะ ที่ได้อธิบายให้ทราบ ดิฉันไม่ได้มีอคติกับใคร เพียงแต่สงสัยเท่านั้นเองค่ะ คุณยุสรออย่าโกรธดิฉันนะคะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
วิทยากร อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004 ตอบ: 158
|
ตอบ: Mon Dec 20, 2004 3:27 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์
ผมเข้ามาอ่านแล้วอดปลื้มไม่ได้ ที่คุณยุสรอและคุณ rabiab สนทนากันในบรรยากาศของความเป็นพี่น้อง
ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงเพิ่มพูนความดีให้แก่ท่านทั้งสอง และพี่น้องร่วมกระทู้ทุกท่าน
_________________
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Mon Dec 20, 2004 5:45 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผู้ที่เคยเป็นอะห์ลุลกิตาบ (ต่อ)
บรรดาผู้ซึ่งที่เราได้ประทานคัมภีร์ (เตารอตและอินญีล)ให้แก่พวกเขาก่อนหน้ามัน (อัลกุรอาน) พวกเขาได้ศรัทธาต่อมัน (อัลกุรอาน) ด้วย และเมื่อได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่าเราศรัทธาต่ออัลกุรอานด้วย แท้จริงมันคือสัจธรรมที่มาจากองค์อภิบาลของเรา และแท้จริงเราได้เป็นผู้น้อมรับมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเหล่านี้แหละจะได้รับรางวัลสองต่อ ซูเราะห์อัลกอศ็อด อายะห์ที่ 52-54
ท่านอิบนุกะษีรได้อธิบายว่า : พระองค์อัลลอฮ์ได้พูดถึงบรรดาผู้รู้ที่เคร่งครัดจากชาวอะห์ลุลกิตาบว่า พวกเขาได้ศรัทธาต่ออัลกุรอาน ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า บรรดาผู้ซึ่งที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่พวกเขา โดยพวกเขาได้อ่านมันอย่างจริงๆ พวกเหล่านี้แหละคือผู้ศรัทธาต่อคัมภีร์นั้น ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 131 และพระองค์ได้กล่าวว่า และแท้จริงส่วนหนึ่งจากชาวอะห์ลุลกิตาบนั้นมีผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า (อัลกุรอาน) และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา (อัตเตารอตและอินญีล) ในฐานะผู้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 199 และพระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงบรรดาผู้ได้รับความรู้ก่อนหน้านี้ คราใดก็ตามที่ได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะหมอบกราบลงหน้าผากจรดพื้นเพื่อสุญูด และพวกเขาจะกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่องค์อภิบาลของเรา สัญญาแห่งองค์อภิบาลของเรานั้นย่อมถูกปฏิบัติอย่างครบถ้วนแน่นอน ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 107-108 และพระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า และเจ้าจะพบว่าผู้ที่รักใคร่บรรดาผู้ศรัทธานั้นจะใกล้ชิดยิ่งกว่า พวกเขาคือ ผู้ซึ่งที่กล่าวว่า พวกเราคือนะศอรอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ในหมู่พวกเขามีนักปราชญ์,บาดหลวงที่เที่ยงธรรม และพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่รอซูล เจ้าก็เห็นว่าในดวงตาของเขามีน้ำตาคลอ เพราะสัจธรรมที่พวกเขารู้ดี โดยพวกเขาจะกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของเราได้โปรดบันทึกพวกเราไว้ร่วมกับบรรดาผู้ปฏิญาณตนต่อพระองค์ด้วยเถิด ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 82 83 จากตัฟซีรอิบนิกะษีร เล่มที่ 6 หน้าที่ 253 254
เราได้เห็นแนวทางการอธิบายของท่านอิบนนิกะษีรด้วยการเอาอัลกุรอานอธิบายอัลกุรอาน เพื่อยืนยันในเรื่องเดียวกัน และนี่เป็นแนวทางการอธิบายเป็นลำดับแรกที่บรรดานักตัฟซีรให้การยอมรับ (จากหนังสือสถานภาพยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟารีด เล่มที่ 1 หน้า 36) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Mon Dec 20, 2004 5:48 am ชื่อกระทู้: |
|
|
นอกจากนั้นยังมีฮะดีษอธิบายความในเรื่องนี้ดังนี้
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
และผู้ศรัทธาชาวคัมภีร์ ซึ่งเขาคือมุอ์มินต่อมาเขาก็ศรัทธาต่อนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เขาได้รางวัลสองต่อ บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2789
คำพูดของท่านนบีข้างต้นนี้เป็นการอธิบายอย่างชัดเจนว่า ในช่วง ฟัตเราะห์ คือช่วงรอยต่อระหว่างนบีอีซากับนบีมูฮัมหมัดนั้น ยังคงมีผู้ศรัทธามั่นต่อคัมภีร์ (อะห์ลุลกิตาบ) อยู่จริงๆ เช่น ท่านวะรอเกาะห์ อิบนุ เนาว์ฟัล ซึ่งเป็นญาติสนิทของท่านหญิงคอดิยะห์ และอะห์ลุลกิตาบในยุคนั้นที่มารับอิสลามโดยไม่เปิดเผยตัวเช่น นะญาซีย์ กษัตรย์แห่งฮะบะซะห์ และบางคนก็มาเป็นศอฮาบะห์ของท่านนบี เช่น ท่านอับดุลลอฮ์ บินสลาม เป็นต้น (จากหนังสือสถานภาพยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟารีด เล่มที่ 1 หน้า 37) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
rabiab มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: Dec 16, 2004 ตอบ: 8
|
ตอบ: Mon Dec 20, 2004 3:40 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ดิฉันมีเรื่องรบกวนอีกแล้วค่ะ ท่านวิทยากรได้เปิดกว้างให้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ก็คงไม่ผิดกติกานะคะที่ดิฉันจะนำฟัตวาของอาจารย์ซึ่งคิดว่าเป็นที่ยอมรับของสมาชิกตรงนี้ เป็นผู้รู้ที่ไม่มีอคติต่อผู้ใด เป็นผู้รู้ที่นำเสนอตามหลักการด้วยความอิคลาศ และที่สำคัญเป็นผู้รู้ที่ใจกว้างพอที่จะรับฟังและให้ความเคารพต่อฟัตวาที่ไม่เหมือนท่าน ซึ่งสำหรับเรื่องอะห์ลุลกิตาบท่านได้ให้คำตอบไว้ดังนี้
ผมขออธิบายเกี่ยวกับอะฮฺลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์) คือพวกยะฮูดีย์ (ยิว) และนัศรอนีย์ (คริสต์) ดั่งนี้ครับ
ประการแรก
ยะฮูดีย์ หรือนัศรอนีย์ในยุคของท่านรสูลุลลอฮฺนั้นพวกเขาได้บิดเบือนคำสอนที่อยู่ในคัมภีร์ของพวกเขา,พวกเขาตั้งภาคี (???) โดยยึดนบีอีสาเป็นพระเจ้า หรือยึดพระเจ้าสามองค์
อายะฮฺอัลกุรฺอานในสูเราะฮฺอัลบัยยินะฮฺ อายะฮฺที่ 1 อ้างว่าพวกอะฮฺลุลกิตาบเป็นกาเฟรฺ "?? ??? ?????? ?????? " ความว่า "บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่อะฮฺลุลกิตาบและพวกบูชาเจว็ดนั้นจะไม่พ้นจาก (หลักศรัทธาของพวกเขา) จนกว่าจะได้มีหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขา"
สิ่งที่ได้รับจากอายะฮฺข้างต้น 1. พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า อะฮฺลุลกิตาบคือพวกยะฮูดีย์และนัศรอนีย์อันเนื่องจากการปฏิเสธของพวกเขา และการหลงผิดของพวกเขา (ดูหนังสือ ตัยสีรุลกะรีมิรฺเราะหฺมาน หน้า 931)
ประการที่สอง
อะหฺลุลกิตาบคือผู้ทำชิริก
ในสูเราะฮฺมาอิดะฮฺ : 73 " ??? ??? ????? ????? ?? ???? ???? ????? " ความว่า "แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นบุคคลที่สามของสามองค์ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว" สามองค์คือ พระบิดา,พระบุตร,พระวิญญาณบริสุทธิ์, พระบิดาหมายถึงอัลลอฮฺ พระบุตรนั้นหมายถึงนบีอีสา และพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นหมายถึงการที่พระบิดาได้เข้าอยู่พระบุตร, อีกทั้งอัลกุรฺอานบทนี้มิได้ถูกยกเลิกนะครับ แต่พระองค์ยังอนุญาตให้รับประทานอาหารที่เชือดโดยพวกเขา (ซึ่งอยู่ในสูเราะฮฺมาอิดะฮฺนี้เหมือนกันในอายะฮฺที่ 5)
ประการที่สาม
ท่านรสูลุลลอฮฺยืนยันการบิดเบือนของอะฮฺลุลกิตาบ
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า" ?????? ?????? ???? ?? ??? ???????? ?????? ??? ?? ????: ??? " ความว่า "ปรากฏว่าพวกอะฮฺลุลกิตาบพวกเขาอ่านคัมภีร์เตารอตเป็นภาษาฮิบบรูและอธิบายเป็นภาษาอฺรับให้แก่บรรดามุสลิม, ท่านรสูลุลอฮฺกล่าวว่า พวกท่านจงอย่าเชื่อพวกอะฮฺลุลกิตาบและพวกท่านจงอย่าปฏิเสธพวกเขาเช่นกัน, แต่พวกท่านจงกล่าวว่า "เราศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺและสิ่งที่ถูกประทานลงมา" (เป็นอายะฮฺอัลกุรฺอาน หะดีษข้างต้นบ่งชี้ชัดเจนว่า ท่านรสูลเรียกพวกยิวว่าอะฮฺลุลกิตาบ ซึ่งคัมภีร์ของพวกเขาได้ถูกบิดเบือนไปแล้ว โดยท่านรสูลต้องกำชับว่า หากพวกเขาพูดถึงคัมภีร์ของพวกเขา, พวกท่านจงอย่าเชื่อ เพราะบางบทอาจถูกบิดเบือน หรืออย่าปฏิเสธ เพราะบางบทอาจเป็นถ้อยคำสำนวนของคัมภีร์เดิม
ประการที่สี่
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า " ????? ?? ????? ???? ???? ???? ??? ???? ???? ???? ???? ?????? " ความว่า "สตรียะฮูดีย์คนหนึ่งที่ (ตำบล) ค็อยบัรฺนำเนื้อแกะย่าง (ปิ้ง) เป็นของกำนัล (ฮะดียะฮฺ) ให้แก่ท่านรสูลุลลอฮฺ โดยแกะย่างนั้นนางใส่ยาพิษเอาไว้, ซึ่งท่านรสูลุลลอฮฺก็รับประทานแกะย่างนั้น, ซึ่งบรรดาเศาะหาบะฮฺก็รับประทาน (เนื้อแกะย่างนั้น) ด้วยเช่นกัน" (บันทึกโดยอบูดาวูด)
หะดีษข้างต้นผมขอพูดประเด็นเกี่ยวกับสตรีชาวยิวที่นำแกะย่างมาให้ท่านรสูลรับประทาน,ท่านรสูลก็รับประทาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ท่านรสูลรับประทานสัตว์ที่เชือดโดยชาวคัมภีร์ (อะฮฺลุลกิตาบ) ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺที่ตรัสไว้ว่า " ????? ????? ????? ?????? ?? ??? ? ?????? ?? ??? " ความว่า "และอาหารของบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกท่าน และอาหารของพวกท่านเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเขา" (สูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ : 5)
สรุปว่าในทัศนะของผมที่ได้ค้นคว้าศึกษามานั้นผมเห็นด้วยกับหลักการที่ว่า อะฮฺลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์) คือพวกยะฮูดีย์ (ยิว) และพวกนัศรอนีย์ (คริสเตียน) ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเรียกพวกยิวและคริสเตียนว่าเป็นพวกอะฮฺลุลกิตาบครับ เพราะในคัมภีร์อัลกุรฺอานเรียกกลุ่มชนทั้งสองว่า "อะฮฺลุลกิตาบ" ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นกาเฟรฺ,พวกเขาบิดเบือนคัมภีร์ของพวกเขา, พวกเขาทำชิริก (ตรีเอกานุภาพ) และพวกเขาคิดสังหารท่านนบีมุหัมมัด เป็นต้น
อนึ่ง ส่วนบุคคลใดมีทัศนะว่าอะฮฺลุลกิตาบ คือยะฮูดีย์และนัศรอนีย์ แต่พวกยะฮูดีย์และนัศรอนีย์ในปัจจุบันไม่เรียกว่าเป็นพวกอะฮุลุลกิตาบแล้ว นั่นก็เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลจะวินิจฉัยนะครับ ???? ??????? ???????
by: มุรีด ทิมะเสน mureed@mureed.com - 21/10/04 16:45 "
ดิฉันจึงคิดว่า เรื่องนี้น่าที่จะมีทางเลือกให้เราได้ทั้งสองทาง แล้วแต่ใครจะพิจารณาให้น้ำหนักไปทางไหน จริงมั้ยคะ? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
วิทยากร อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004 ตอบ: 158
|
ตอบ: Tue Dec 21, 2004 1:04 am ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
ด้วยความเต็มใจครับ
ผมยังยืนยันคำพูดเดิมว่า ถ้าเป็นการนำเสนอวิชาการก็ยินดี
ประโยชน์จะได้กับผู้ที่เข้ามาศึกษาค้นคว้าจริงๆ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมกับอาจารย์มุรีด ก็ยังทำงานร่วมกัน และรักใคร่ชอบพอกันดีอยู่ ถ้าเราเข้าใจต่างกันก็พูดคุยกันบนพื้นฐานของหลักการเพื่อหาบทสรุป ไม่เห็นจะต้องมานั่งทะเลาะกัน สาดโคลนเข้าหากัน เราไม่ใช่นักเรียนช่างกลที่ต้องยกพวกตีกันเพื่อศักดิ์ศรี บรรยากาศเก่าๆที่ไม่ดีก็ฝังมันไปซะ
ขอให้คนรุ่นใหม่ใฝ่รู้ เชิดชูศาสนา
เชิญเลยครับ
_________________
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Tue Dec 21, 2004 3:04 pm ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
ผมเชื่อว่าข้อเขียนของท่าน อ มุรีด ไม่ได้แฝงไว้ด้วยอคติเหมือนอย่างข้อเขียนของบางสำนัก แต่ท่านก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมาก นอกจากเป็นการตอบคำถามโดยภาพรวมมากกว่าที่จะเป็นการชี้แจงข้อมูลทางวิชาการ ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะนำข้อมูลมาเปรียบเทียบในเชิงวิชาการ ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้รู้ทั้งสองฝ่าย
แต่เมื่อคุณ rabiab ได้เปิดประเด็นนี้มาก็จึงอยากนำข้อเขียนของ อ ฟารีดมาลงชี้แจงไว้ดังนี้
มูลนิธิอนุรักษ์
ในอัลกุรอานแต่ละอายะห์ที่ได้ถูกประทานลงมานี้ มีลำดับขั้นของแต่ละช่วงแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งเราจะพบว่าในช่วงต้นๆ เป็นโองการที่เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่การศรัทธาต่อท่านนบีมูฮัมหมัด และสิ่งที่ท่านนบีได้นำมา เช่น
พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า
โอ้อะห์ลุลกิตาบเอ๋ย จงมาสู่ถ้อยคำที่เท่าเทียมกันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน คือการที่เราจะไม่สักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ และเราจะไม่ยึดคนใดเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 64
เมื่อครั้งที่ท่านนบีได้ส่งสารไปยัง ฮิรอกล์ หรือเฮราเครอุส จักรพรรดิ์แห่งโรมัน ท่านก็ได้เขียนอายะห์นี้ไว้ในตอนต้นของสารนั้นด้วย ซึ่งเป็นถ้อยคำที่เชิญชวนให้เขาและประชาคมของเขาได้รับอิสลามจากท่านนบี
แต่หลังจากที่เชิญชวนแล้ว พวกเขายังไม่ใส่ใจ และยังคงดื้อดึงต่อไป พระองค์อัลลอฮ์ก็สำทับแจ้งเตือน และตำหนิพวกเขา
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
โอ้อะห์ลุลกิตายเอ๋ย เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธโองการต่างๆของอัลลอฮ์ ทั้งๆที่พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันกันอยู่ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 70
โอ้อะห์ลุลกิตาบเอ๋ย เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงนำความเท็จมาปะปนกับความจริง และพวกเจ้าก็ปิดบังความจริงไว้ ทั้งๆที่พวกเจ้าก็รู้ดี ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 71 (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ เล่ม 1 หน้า 67 และ 68 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Tue Dec 21, 2004 3:15 pm ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
หากจะมีผู้กล่าวว่า แม้เขาจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ และฯลฯ แล้ว พระองค์ก็ยังเรียกเขาว่า อะห์ลุลกิตาบ เหมือนกับอีกอายะห์หนึ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
لَمْ يَكُنِ الَّذِيْنَ كَفَرُوا مِنْ أهْلِ الكِتَابَ وَالمُشْرِكِيْنَ مُنْفَكِّيْنَ
บรรดาผู้ซึ่งปฏิเสธจากอะห์ลุลกิตาบและบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นไม่เคยหลุดพ้นจากความเชื่อเดิมๆ ซูเราะห์อัลบัยยินะห์ อายะห์ที่ 1
มีผู้กล่าวว่า นี่เป็นหลักฐานที่แสดงว่า แม้ว่าเขาจะปฏิเสธแต่เขาก็ยังเป็นอะห์ลุลกิตาบ และพระองค์อัลลอฮ์ก็เรียกพวกเขาว่า อะห์ลุลกิตาบจริงๆ
ขอทำความเข้าใจสักนิดว่า ผมไม่เคยพบผู้รู้ท่านใดแปลคำว่า مِنَ الَّذِيْنَ أوْتُو الكِتَاب หรือ مِنَ أهْلِ الكِتَاب ว่า เขาเป็นอะห์ลุลกิตาบแต่จะให้ความหมายว่า จากอะห์ลุลกิตาบ หรือ จากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์
เพราะคำว่า เขาเป็นอะห์ลุลกิตาบ กับคำว่า จากอะห์ลุลกิตาบ นั้นมีความหมายต่างกันมากเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่นคำพูดที่ว่า เขาเป็นคนปัตตานี กับคำว่า เขามาจากปัตตานี คำพูดทั้งสองนี้บ่งบอกถึงสถานภาพของผู้ถูกกล่าวถึงคนละกรณี และให้ความหมายต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังมือ
นอกจากนั้นแล้วคำว่า مِنْ ยังให้ความหมายจำกัดว่า ส่วนหนึ่ง มิใช่ทั้งหมด ดังเช่นพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
وَمِنَ النَاسِ مَنْ يَقُوْلُ آمَنَّا بِاللهِ وَبِاليَوْمِِ الآخِر
และจากมนุษย์ หรือ ส่วนหนึ่งของมนุษย์ มีผู้กล่าวว่าเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์ ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 8
ในอายะห์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า มิใช่มนุษย์ทั้งหมดที่กล่าวเช่นนั้น แต่มีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่กล่าวว่าเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์และศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์
ฉะนั้นประโยคที่ว่า مِنَ الَّذِيْنَ أوْتُو الكِتَاب หรือ
مِنَ أهْلِ الكِتَاب จึงมิได้มีความหมายว่า เขาเป็นอะห์ลุลกิตาบ หากแต่มีความหมายว่า ส่วนหนึ่งจากอะห์ลุลกิตาบ หรือ ส่วนหนึ่งของผู้ที่ได้รับคัมภีร์
ท่านอิหม่ามกุรตุบีย์ได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์ใช้ให้ทำการต่อสู้กับบรรดากุฟฟารทั้งหมด และได้รวมพวกเขาไว้ในหมวดนี้ด้วย และที่พระองค์ได้กล่าวเจาะจงด้วยคำว่า อะห์ลุลกิตาบ นั้นก็เพื่อให้เกียรติคัมภีร์ที่ถูกประทานให้แก่พวกเขา โดยพวกเขาได้รู้เรื่องจากคัมภีร์เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ เรื่องราวของบรรดารอซูล ข้อบัญญัติ และแนวทางของบรรดานบีต่างๆ โดยเฉพาะได้กล่าวถึงนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่เมื่อพวกเขาปฏิเสธต่อมูฮัมหมัด สถานภาพของพวกเขาก็ได้ถูกแจ้งเตือน ก่อนที่จะสั่งให้มีการสู้รบในที่สุด และการจ่ายภาษีคุ้มครองนั้นเป็นการทดแทนการสู้รบ ตัฟซีรอัลกุรตุบีย์ เล่มที่ 8 หน้าที่ 109 110 (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟาริด เล่มที่ 1 หน้า 70 และ 71) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
rena มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: Dec 16, 2004 ตอบ: 2
|
ตอบ: Tue Dec 21, 2004 5:10 pm ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
อะห์ลุ้ลกิตาบเป็นมุสลิมหรือกาเฟรกันแน่คะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Wed Dec 22, 2004 4:02 am ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
อะห์ลุ้ลกิตาบคือกาเฟร เป็นความเข้าใจตรงกัน ทั้งจากผู้รู้ของซะละฟียูน และมูลนิธิอนุรักษ์
แต่มีประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจต่างกันอยู่บ้างคือ
ซะละฟียูน :
ศาสนาของอัลลอฮ์คืออิสลาม ทั้งมูซาและอีซาเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ อัตเตารอตและอัลอินญี้ลเป็นคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่อมูซาและอีซาในยุคที่ทั้งสองยังอยู่หรือจากไปแล้ว และคัมภีร์ยังไม่ถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงไป เขาผู้นั้นคือมุสลิม (จากหนังสืออะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร โดย อ.อิสฮาก เล่ม 1 หน้า 16)
มูลนิธิอนุรักษ์ :
ส่วนผู้ที่ศรัทธาต่อศาสนทูตอีซา และคัมภีร์อินญีล ที่ปฏิเสธต่อศาสนทูตมูฮัมหมัดและคัมภีร์อัลกุรอานนั้น พวกเขาไม่ถูกเรียกว่ามุสลิมอีกแล้ว เพราะจะไม่มีมุสลิมหลงยุคหลังจากที่มูฮัมหมัดประกาศอิสลาม ที่สำคัญก็คือ ท่านศาสนทูตมูฮัมหมัดนั้น มิใช่เป็นศาสนทูตของกลุ่มชนใดโดยเฉพาะ แต่เป็นศาสนทูตของประชาชาติอิสลามทั้งมวล เพราะฉะนั้นใครจะยึดถืออิสลามก็ต้องศรัทธาต่อท่าน และศรัทธาต่อัลกุรอานด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ถูกเรียกว่า มุสลิม แต่เรียกว่า ชาวคัมภีร์ หรือ อะห์ลุลกิตาบ (จากถาม-ตอบ ลัทธิและนิกาย คำถามที่ 5 โดยอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Wed Dec 22, 2004 4:28 am ชื่อกระทู้: Re: อะหลุลกิตาบไม่ใช่ยะฮูดี-นัสรอนีที่กำลังไล่ฆ่ามุสลิมเราอย |
|
|
ไปตรอกข้าวสาร เจอมุสลิม (มูซา) มุสลิม (อีซา) มุสลิม (มุหำหมัด) ด้วย
มุสลิมสามรุ่นเดินชนกันเละเลย คุณสะหาก เอ้ย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|