ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
สยดสยอง มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 30/11/2004 ตอบ: 9
|
ตอบ: Fri Dec 10, 2004 6:34 am ชื่อกระทู้: |
|
|
สลามถึงเพื่อนร่วมกระทู้
ได้ข่าวว่ามีจีจี่ภาค 2 ( ใช้หลักตะกี้ยะห์ ) เข้ามาอีกแล้วใช่ไหมค่ะ ดีจังเลยค่ะ
ถ้าคุณจัสมินอ้างว่า "ถึงกระนั้นก็ตามบรรดาผู้นับถือคัมภีร์อัตเตารอตและอัลอินญี้นก็ยังมีอยู่ในปัจจุบันพร้อมกับความผิดเพี้ยนของเขาที่สืบทอดกันมาแต่ในอดีตและอาจมีความผิดเพี้ยนมากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไปในปัจจุบันนี้"
ถ้าอย่างนั้นอยากรบกวนคุณจัสมินช่วยอธิบายคำสรุปท้ายบทของหนังสือ "อะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร" ข้อ 3 เล่ม 1 หน้า 20 ที่ อ. อิสหาก เขียนได้ไหมว่า "ถ้าหากยาฮูดีและนัสรอนีมีอากีดะห์ผิดเพี้ยนไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นอะห์ลุ้ลกิตาบ" มันหมายความว่าอะไรค่ะ
อ่านแล้วงงจริงๆ เลยไม่ทราบว่า ยาฮูดีกับนัสรอนีเพี้ยนหรือว่าคนเขียนเพี้ยนกันแน่
กรุณาช่วยชี้แจงข้อความทั้ง 2 ตอนให้เคลียร์ด้วยนะค่ะ เพราะมันขัดแย้งกันเอง
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Sat Dec 11, 2004 6:31 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เห็นด้วย และอยากรู้เหมือนกันว่า อากีดะห์ที่เพี้ยนกับอากีดะห์ที่ไม่เพี้ยนของยะฮูดีนัศรอนีของอัซสลาฟียูนคืออะไร??? จะได้แยกแยะถูกว่า ยะฮูดีนัศรอนีไหนเป็นอะห์ลุลกิตาบ และยะฮูดีนัศรอนีไหนที่ไม่ถือว่าเป็นอะห์ลุลกิตาบ ไม่ใช่เหมาว่าทั้งหมดเป็นอะห์ลุลกิตาบเหมือนที่สรุปไว้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 1:10 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับตรงกันว่า อะห์ลุ้ลกิตาบต้องยึดคัมภีร์ด้วย และก็ยอมรับเหมือนกันว่า ปัจจุบันนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคัมภีร์ยังคงเหลืออยู่หรือเปล่า หรือไม่สามารถชี้ได้ว่าคัมภีร์เล่มใดถูกต้อง
ซะละฟี่ยูน :
อัลอินญี้ลมีอยู่ด้วยกันสี่ฉบับคือ มัตทา (แมทธิว Metthew) , ยูฮะนา (จอห์น John ) , มัรกอส (มาร์ก Mark ) ลูกฺอ (ลูกา Luke) ชื่อเหล่านี้คือชื่อของผู้บันทึกคัมภีร์อัลอินญี้ล และมีเพียงสองท่านที่ทันยุคของนะบีอีซาคือ ยูฮะนา (จอห์น John ) , และมัตทา (แมทธิว Metthew) อัลอินญี้ลที่ถูกบันทึกโดยสี่ท่านนี้มีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถชี้ได้ว่าเล่มใดถูกต้อง (จากหนังสืออะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร โดย อ.อิสฮาก เล่มที่ 1 หน้า 12)
มูลนิธิอนุรักษ์ :
แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า คัมภีร์อัตเตารอต และอินญีล ยังคงหลงเหลืออยู่หรือเปล่า หรือแม้แต่คัมภีร์ฉบับที่ถูกบิดเบือนแก้ไขบางส่วนนั้นจะยังคงมีอยู่หรือไม่ หรือจะมีแต่ข้อเขียนของพวกเขาล้วนๆที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาเอง แล้วเรียกมันว่าคัมภีร์ เช่นคัมภีร์ตัลมูต เป็นต้น ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเป็นชาวคัมภีร์ได้อย่างไร (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟาริด เล่มที่ 2 หน้า 16 และ 17) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 1:13 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ส่วนประเด็นที่ว่า อะกีดะห์เพี้ยนอย่างไร ไม่เพี้ยนเป็นอย่างไร ที่คุณ natee ถามนี้ ผมพยายามอ่านในหนังสือของซะละฟี่ยูน ทั้ง 2 เล่ม หลายรอบก็ไม่เจอคำชี้แจง นอกจากคำพูดที่คุณสยดฯได้นำมาเสนอว่า
ซะละฟียูน :
"ถ้าหากยาฮูดีและนัสรอนีมีอากีดะห์ผิดเพี้ยนไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นอะห์ลุ้ลกิตาบ" (จากหนังสืออะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร โดย อ.อิสฮาก เล่มที่หนึ่ง หน้า 20)
เมื่อทางซะละฟียูนไม่ชี้แจงประเด็นนี้ไว้ ผมก็จนปัญญาที่จะกล่าวแทน ส่วนในหนังสือของ อ.ฟารีด ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ยาวมาก ซึ่งผมจะได้ทยอยนำเสนอเป็นระยะๆ ดังนี้
มูลนิธิอนุรักษ์ :
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
ประกาศเถิดมูฮัมหมัดว่า โอ้อะห์ลุลกิตาบเอ๋ย จงมาสู่ถ้อยความคำหนึ่งที่เท่าเทียมกันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน คือการที่เราจะไม่สักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ และเราจะไม่ยึดคนใดเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์ ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 64
เมื่อครั้งที่ท่านนบีได้ส่งสารไปยัง ฮิรอกล์ หรือเฮราเครอุส จักรพรรดิ์แห่งโรมัน ท่านได้เขียนอายะห์นี้ไว้ในตอนต้นของสารนั้นด้วย ซึ่งเป็นถ้อยความเชิญชวนให้เขาและประชาคมของเขาได้รับอิสลามจากท่านนบี
ท่านอิบนุกะษีรได้อธิบายว่า คำพูดนี้คลุมถึงอะห์ลุลกิตาบที่มาจากชาวยะฮูดและชาวนะศอรอ รวมถึงบรรดาผู้ที่ดำเนินตามแนวทางของพวกเขาด้วย ( โอ้อะห์ลุลกิตาบเอ๋ย จงมาสู่ถ้อยความคำหนึ่ง ) และคำนี้บ่งถึงประโยคที่สมบูรณ์ดังที่ได้กล่าวไว้ที่นี้ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงแจ้งลักษณะด้วยคำพูดที่ว่า ( เท่าเทียมกันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน ) คือ ยุติธรรมและเสมอกัน ซึ่งพวกเราและพวกท่านก็อยู่บนถ้อยความนี้เช่นเดียวกัน แล้วพระองค์ก็ได้ทรงสาธยายด้วยคำว่า ( คือการที่เราจะไม่สักการะสิ่งอื่นใดใดนอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ ) ไม่ว่าจะเป็นเทวรูป ,เจว็ดทั้งหลาย,ไม้กางเขน, และสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาเทียบเคียงพระเจ้า, แม้กระทั่งไฟที่ใช้ในการบูชา, และไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม หากแต่พวกเรา ยอมให้อัลลอฮ์เป็นหนึ่งเดียวในการสักการะโดยไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ และนี่คือการเรียกร้องเชิญชวนของบรรดารอซูลทั้งหมด ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า ( และเราไม่ได้ส่งรอซูลคนใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเราจะวะฮีย์ให้แก่เขาว่า แท้จิรงไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การสักการะนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงสักการะต่อข้าเถิด ) ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 25 ( และเราได้ส่งรอซูลมาในแต่ละประชาชาติ โดยกำชับว่า พวกท่านทั้งหลายจงสักการะต่ออัลลอฮ์ และออกห่างจากเจว็ดทั้งหลาย ) ซูเราะห์อัลนะฮล์ อายะห์ที่ 36 หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงกล่าวว่า ( และเราจะไม่ยึดคนใดเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์ ) ท่านอิบนุญุรอยญ์ ได้อธิบายว่า หมายถึงคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเราได้เชื่อฟังกันในสิ่งที่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ และท่านอิกริมะห์ได้อธิบายว่า หมายถึงคนใดในหมู่พวกเราต่างกราบกันเอง ตัฟซีรอิบนิกะษีร เล่มที่ 2 หน้าที่ 45 46 (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟารีด เล่ม 2 หน้า 18 และ 19) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 1:17 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ในอัลกุรอานอายะห์ข้างต้นนี้เป็นการเชิญชวนอะห์ลุลกิตาบให้มารับอิสลามกับท่านนบีมูฮัมหมัด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ศรัทธาต่อนบีและคัมภีร์ของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพระองค์อัลลอฮ์ได้บอกถึงฐานการศรัทธาบางประการของพวกเขาที่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ท่านนบีได้มาเชิญชวน โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า ถ้อยความนั้นเท่าเทียมกัน, เหมือนกัน, หรือเสมอภาคกัน (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟารีด เล่ม 2 หน้า 19 และ 20) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 6:41 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ลองอ่านกันดู นายชาตรี ประธานชมรมซะละฟียูน เขาตั้งคำถามไว้ใน muslimthailand
อาลอิมรอน 64. ที่ท่านอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี อ้างอิง "จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ ! จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคาระสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม "
จากอายะห์นี้ ผมเข้าใจว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เชิญชวนพวกอะห์ลุลกิตาบให้มารับอิสลามนะครับ แต่เหตุไฉน ท่านจึงเข้าใจว่า เป็นฐานอะกีดะห์ของอะห์ลุลกิตาบไปได้
....................................
ฐานอะกีดะห์ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นของอะห์ลุ้ลกิตาบ หรือว่า เป็นของมุสลิม ครับบบบบบ
....................................
ถ้าสามข้อข้างบนเป็นฐานอะกีดะห์อะห์ลุ้ลกิตาบ แล้วท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามอาลอิมรอม 64 อัลลอฮฺใช้ให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เชิญใครไปทางไหนครับ ? ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมพยายาเชิญชวนผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อนหน้านี้ ให้มารับอิสลามนั่นก็คือ ฐานอะกีดะห์ทั้งสามข้อนั้นเป็นของมุสลิม ไม่ใช่อะกีดะห์ของอะห์ลุลกิตาบ
....................................
ถ้าทั้งสามข้อเป็นฐานอะกีดะห์ของอะห์ลุ้ลกิตาบแล้ว ฐานของมุสลิมละครับ ต้องศรัทธาอย่างไร ?
....................................
ไม่ทราบว่า อาลอิมรอน 64 ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เชิญชวนให้มารับอัลอิสลาม หรือ เชิญชวนให้ไปยึดฐานอะกีดะห์ของอะห์ลุ้ลกิตาบ
....................................
จึงได้เกิดความสงสัยว่า..เอ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เชิญชวนให้อะห์ลุ้ลกิตาบมารับอิสลาม หรือว่า อิสลามไปรับอะห์ลุ้ลกิตาบกันแน่ เพราะว่ามีผู้ที่อ้างว่ารู้ ได้บอกว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้พูดถึงฐานอะกีดะห์ของอะห์ลุ้ลกิตาบเอาไว้ในอายะห์นี้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 8:23 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เหตุที่ นายchatree ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากเอกสารของสลาฟียูนแล้ว จะเห็นว่า สิ่งที่ อ.อิสฮากได้เขียนไว้ในเอกสารชุดที่ 1 ของเขานั้น ถ้าจะเขียนให้เป็นนักวิชาการหน่อย ก็จะออกมาตามที่ท่านอาจารย์ฟารีดอธิบายไว้นั่นแหละ ค่ะ แต่คงเป็นเพราะการเขียนที่สับสนวกวน จนกระทั่งคนที่เป็นประธานชมรมแท้ๆ ยังไม่เข้าใจ เพื่อนๆ สมาชิกลองอ่านดูซิคะ...
๓. ศาสนาเดิมของยะฮูดและนะศอรอก็คืออิสลาม เมื่อพวกเขาเพี้ยนไปแล้วจึงไม่เรียกว่ามุสลิมหรืออิสลาม แต่ถูกเรียกว่าศาสนาของยะฮูดและนะศอรอ (หน้า 20)
ส่วนว่ามีบรรดายะฮูดีหรือนะศอรอได้มาศรัทธาต่อนะบีมูฮัมหมัดและศรัทธาต่ออัลกุรอ่านแล้ว คนเหล่านี้แม้เดิมทีเป็นยะฮูดหรือนะศอรอแต่ก็ไม่เรียกว่าเป็นยะฮูดและนะศอรอแล้ว พวกเขาถูกเรียกว่ามุสลิมต่างหาก (หน้า 19)
จากข้อความทั้งสองนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ยะฮูดี-นัสรอนี เดิมก็คือ มุสลิม แต่เมือเพี้ยน ซึ่งก็คือการไม่มาศรัทธาต่อนะบีมูฮัมหมัดและศรัทธาต่ออัลกุรอ่าน ก็กลายเป็นอะห์ลุลกิตาบ(ซึ่งสลาฟียูนบอกว่าอะห์ลุลกิตาบคือยะฮูดีนัศรอนี) นั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเป็นเพราะคำจำกัดความของอะห์ลุลกิตาบที่ผิดตั้งแต่แรก โดยบอกว่า อะห์ลุลกิตาบคือยะฮูดีนัศรอนีทั้งหมด และยะฮูดีนัศรอนีเป็นศาสนาไม่ใช่เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
สยดสยอง มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 30/11/2004 ตอบ: 9
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 8:38 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงนายชาตรี ซาลาฟียูน
ดิฉันว่าคุณชาตรีกลับไปศึกษาภาษาอาหรับใหม่ดีกว่าค่ะ (อ๋อลืมไปท่านไม่ได้เรียนภาษาอาหรับ) แต่ไม่เป็นไร ดิฉันอยากให้คุณชาตรีไปถามผู้รู้ก็ได้ค่ะ ในอายะห์กุรอ่านซูเราะห์อาลอิมรอน 64. ภาษาอาหรับคำว่า " ซ่าวาอุน" หมายความว่าอย่างไร
กล่าวคือ...อัลลอฮ์ได้เรียกร้องว่า "จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ ! จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคาระสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม
ฉะนั้นการเรียกร้องของอัลลอฮ์นั้นต้องการให้ผู้ได้รับคัมภีร์กลับมาสู่ความเชื่อหลักอากีดะห์ใหญ่ๆ ให้ถูกต้องกันก่อน คือมีความเชื่อเหมือนกัน(ซ่าวาอุน)ในเรื่องพระเจ้า และอย่าได้เอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮ์ และหากผู้ได้รับคัมภีร์แต่มีความเชื่อผิดเพี้ยนหรือมีการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ตรี,เอกานุภาพ) ก็ไม่ถือว่าเป็นอะห์ลุ้ลกิตาบ ซึ่งตรงกับฮ่าดีสของท่านอุมัรที่กล่าวห้ามการแต่งงานกับพวกย่าฮูดีและนัสรอนีที่ทำซิริกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และที่สำคัญยังไปตรงกับหนังสืออะห์ลุ้ลกิตาบคือใคร ของอ. อิสหาก ที่มีอยู่ในเล่ม 1 หน้า 20 ข้อ 3 อีกด้วยค่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 9:35 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัชฮาดุอันลาอิ้ลาฮ่าอิลลัลลอฮ์
อัชฮาดุอันน่ามุฮำมะดัรร่อซูลุ้ลลอฮ์
มุฮำมัดเป็นร่อซูล นายจำไม่ได้หรือชาตรี
อะห์ลุกิตาบเขาไม่เชื่อนะบีมุฮำมัด |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Sun Dec 12, 2004 11:13 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมอ่านเจอในถามตอบ โดย อ.ฟารีด
คำว่า fundamentalist ที่หมายถึงผู้ที่เชื่อถือหลักเดิมของศาสนาคริสต์ ตามที่ถามมานั้น ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับอิสลาม เพราะศาสนทูตอีซา เรียกร้องไปสู่การสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์เช่นเดียวกัน
แท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงสักการะต่อพระองค์เถิด อัลกุรอาน 3/51
ศาสนทูตอีซาได้รับคัมภีร์ชื่อ อินญีล ซึ่งก็เป็นคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และผู้ที่เชื่อศรัทธาต่อนบีอีซา อีกทั้งศรัทธาในคัมภีร์อินญีลนั้น พวกเขาถูกเรียกว่า มุสลิม พวกเขานับถือศาสนาอิสลาม (ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ )
แต่หลังจากที่ท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด ได้ประกาศอิสลาม ผู้คนเหล่านี้ก็มาศรัทธาต่อศาสนทูตมูฮัมหมัด และศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอานด้วย พวกเขาก็ยังคงสถานภาพของมุสลิม โดยพวกเขาได้รางวัลสองต่อ
บรรดาผู้ซึ่งที่เราได้ประทานคัมภีร์ (อัตเตารอตและอินญีล) ให้แก่พวกเขาก่อนหน้ามัน (อัลกุรอาน) พวกเขาได้ศรัทธาต่ออัลกุรอานด้วย และเมื่อได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลกุรอานด้วย แท้จริงมันคือสัจธรรมที่มาจากองค์อภิบาลของเรา และแท้จริงเราได้เป็นผู้น้อมรับก่อนหน้านี้มาแล้ว พวกเหล่านี้แหละจะได้รับรางวัลสองต่อ อัลกุรอาน 28/52 54
ส่วนผู้ที่ศรัทธาต่อศาสนทูตอีซา และคัมภีร์อินญีล ที่ปฏิเสธต่อศาสนทูตมูฮัมหมัดและคัมภีร์อัลกุรอานนั้น พวกเขาไม่ถูกเรียกว่ามุสลิมอีกแล้ว เพราะจะไม่มีมุสลิมหลงยุคหลังจากที่มูฮัมหมัดประกาศอิสลาม ที่สำคัญก็คือ ท่านศาสนทูตมูฮัมหมัดนั้น มิใช่เป็นศาสนทูตของกลุ่มชนใดโดยเฉพาะ แต่เป็นศาสนทูตของประชาชาติอิสลามทั้งมวล เพราะฉะนั้นใครจะยึดถืออิสลามก็ต้องศรัทธาต่อท่าน และศรัทธาต่อัลกุรอานด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ถูกเรียกว่า มุสลิม แต่เรียกว่า ชาวคัมภีร์ (อะห์ลุลกิตาบ)
และถ้าจะถามว่า fundamentalist ( ผู้ที่เชื่อถือในหลักเดิมของศาสนาคริสต์ ) กับชาวคัมภีร์นี้เหมือนกัน หรือเป็นกลุ่มเดียวกันใช่ไหม ถ้าท่านถามผู้รู้บางท่านอาจจะได้รับคำตอบว่า ใช่
แต่สำหรับผมตอบว่า ไม่ใช่ เพราะชาวคัมภีร์ศรัทธาต่อศาสนทูตอีซา และคัมภีร์อินญีล แต่ปฏิเสธศาสนทูตมูฮัมหมัด และคัมภีร์อัลกุรอาน อย่างไรก็ตามฐานการศรัทธาเดิมของพวกเขายังคงอยู่เช่น ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ สักการะต่อพระองค์ เชื่อในเรื่องกาลอวสาน เชื่อมั่นชีวิตในโลกหน้า การตอบแทนความดีความชั่ว อย่างนี้เป็นต้น |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Mon Dec 13, 2004 1:29 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ช่วยกันเสนอข้อมูลวิชาการ ผมขออนุญาตเสนอต่อจากที่ค้างไว้ดังนี้
มูลนิธิอนุรักษ์ :
นอกจากนั้นแล้ว ในหนังสือ ฟิกฮุสซุนนะห์ ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้รู้ในบ้านเราหลายท่านใช้เป็นข้ออ้างอิงเสมอๆ โดยเฉพาะหนังสือเล่มนี้ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทย โดยสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถที่จะตรวจสอบได้ ระบุไว้ดังนี้
ส่วนหญิงชาวคัมภีร์นั้น (ในฉบับภาษาไทย ผู้แปลได้เติมคำว่า คือชาวยิวและคริสต์ซึ่งเป็นคำของผู้แปลเอง) ระหว่างนางกับผู้ศรัทธาไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะว่าเธอศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสักการะต่อพระองค์ และศรัทธาต่อบรรดานบี เชื่อมั่นชีวิตในโลกหน้า และผลตอบแทนในโลกหน้าด้วย และปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาสนาด้วยการใช้กันให้ทำความดี และห้ามปรามในเรื่องชั่ว ฟิกฮุสซุนนะห์ เล่มที่ 2 หน้าที่ 103 (ฉบับแปลไทย เล่มที่ 3 หน้า 141)
เมื่อเราได้อ่านข้อความจากหนังสือฟิกฮุสซุนนะห์ ก็เกิดสะกิดใจว่า อะห์ลุลกิตาบ หรือชาวคัมภีร์นั้นศรัทธาต่ออัลลอฮ์ อิบาดะห์ต่อพระองค์ เชื่อในเรื่องอาคิเราะห์ด้วยหรือ จนกระทั่งท่านชัยยิต ซาบิก ผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้กล่าวว่า ระหว่างหญิงชาวคัมภีร์กับชายมุสลิมไม่ต่างกันมากนัก |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
นพัฒน์ มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 86
|
ตอบ: Mon Dec 13, 2004 1:31 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
มีผู้ตั้งสมมติฐานว่า หากพวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เชื่อเรื่องอาคิเราะห์ ศรัทธาเรื่องการลงโทษและการตอบแทนในโลกหน้าแล้ว พวกเขาก็คือมุสลิม จะเรียกอะห์ลุลกิตาบทำไม คำตอบก็คือ เพราะพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานและไม่ศรัทธาต่อนบีมูฮัมหมัด เพราะอิสลามยุคสุดท้ายคือยุคของอัลกุรอาน และนบีมูฮัมหมัด (ต่างกับผู้ที่กล่าวว่า หมดยุคของอะห์ลุลกิตาบแล้วในข้อที่ 1)
ฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะศรัทธาต่อนบีมูซา และนบีอีซา ศรัทธาต่อคัมภีร์อัตเตารอตหรืออัลอินญีลก็ตาม พวกเขาก็ไม่ถูกเรียกว่ามุสลิม พวกเขาไม่ใช่มุสลิมหลงยุค แต่พวกเขาถูกเรียกว่า อะห์ลุลกิตาบ ฉะนั้นในหนังสือฟิกฮุสซุนนะห์จึงกล่าวว่า หญิงชาวคัมภีร์กับชายผู้ศรัทธาไม่แตกต่างกันมากนัก.....ดังที่ท่านได้อ่านผ่านมาแล้วข้างต้น
มูลเหตุแห่งการอนุญาตให้แต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์นั้น ต่างจากหญิงมุชริกะห์ (หญิงที่ตั้งภาคี) คือ หญิงชาวคัมภีร์กับชายมุสลิมมีจุดบรรจบกันในด้านการศรัทธาที่เป็นฐานรากบางประการเช่น การยอมรับในพระเจ้า,การศรัทธาต่อบรรดารอซูล,การศรัทธาต่อวันอาคิเราะห์ และการเชื่อในเรื่องการสอบสวน,การชำระบัญชี และการลงโทษผู้ประพฤติผิด อัลฟิกฮุลอิสลามีย์ วะอะดิ้ลละตุฮู หน้าที่ 6653 (จากหนังสือสถานภาพของยะฮูดี นัศรอนี และอะห์ลุลกิตาบ โดย อ.ฟาริด เล่มที่ 2 หน้า 20 และ 21) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
รอยยา มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 20/02/2004 ตอบ: 78
|
ตอบ: Tue Dec 14, 2004 1:47 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ฟังทีแรกงงมากคะ จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่ออ่านข้อมูลเปรียบเทียบก็ชัดเจน ได้ทราบแล้วว่าจริงเท็จอย่างไร ใครผิดใครถูก ไม่ต้องบอกก็ทราบกันดีอยู่แล้ว
ขอให้อดทน ตั้งมั่นกับความถูกต้องอย่างนี้แหละ ขอเป็นกำลังใจให้
ขอบคุณมากคะที่ช่วยชี้แนะ ญะซากัลลอฮฺ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ยุสรอ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 13/12/2004 ตอบ: 8
|
ตอบ: Tue Dec 14, 2004 12:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ดิฉันเป็นสมาชิกใหม่สำหรับเวปนี้ค่ะ แต่ไม่ใช่สมาชิกใหม่สำหรับสื่ออนุรักษ์มรดกอิสลามค่ะ ดิฉันได้ติดตามฟังเรื่องนี้มาโดยตลอด และด้วยสมมุติฐานของตัวเองก็เห็นว่า อะห์ลุลกิตาบไม่น่าจะใช่ยะฮูดีนัศรอนีที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะเหล่านั้นมันคือศัตรูของอิสลาม ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา คงไม่ให้มุสลิมไปเชื่อมสัมพันธ์ถึงขนาดให้แต่งงานกันได้หรอกนะคะ (คิดเองน่ะค่ะ) ดังนั้นจึงมีใจเอนเอียนไปทางฝ่ายมูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลามอยู่แล้ว และยิ่งได้ฟังที่อาจารย์ฟารีดพูดทางวิทยุ ก็ทำให้ดิฉันสนใจเรืองนี้มาก :
ถ้าจะพูดไปแล้ว เกี่ยวกับการแต่งงานกับอะห์ลุลกิตาบ หรือจะกินสัตว์เชือดของอะห์ลุลกิตาบมันยังเป็นประเด็นย่อย เพราะว่าน้อยคนที่จะไปแต่งงานกับพวกอะห์ลุลกิตาบหรือจะไปกินสัตว์เชือด ของพวกเขา ทุกวันนี้มุสลิมเรา..จะกิน..จะอยู่ก็ระวังตัวกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นประเด็นใหญ่กว่านี้ก็คือ ถ้าหากว่าเราเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง โดยเข้าใจว่า ยะฮูดี นัศรอนี คือ อะห์ลุลกิตาบทั้งหมด มันจะมีผลกระทบต่ออะกีดะห์ หรือหลักความเชื่อของเราในเรื่อง อัลวะลาห์ วัลบะรอฮ์ ก็คือเรื่องของรัก เรื่องของเกลียด คือจะทำให้เราแยกมิตร แยกศัตรูไม่ออก จนกลายเป็นว่า เอามิตรมาเป็นศัตรู หรือเอาศัตรูมาเป็นมิตร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายนะครับ เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาผมจึงพยายามที่จาชี้ให้เห็นว่า ยะฮูดีนัสรอนีนั้นมีทั้งที่เป็นอะห์ลุลกิตาบ และที่ไม่ใช่อะห์ลุลกิตาบ เพื่อที่พี่น้องจะได้เข้าใจเป็นลำดับว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู ตรงไหนได้ แล้วก็ตรงไหนไม่ได้อย่างไร ในแง่มุมของวิชาการ
อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ ดิฉันก็ได้ทราบว่าสมมุติฐานของดิฉันนั้นถูกต้อง ด้วยกับสื่งที่อาจารย์ฟารีด ได้นำเสนอให้ได้รับทราบ ญะซากัลลอฮุฆ็อยร็อน ขอพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบแทนคุณความดีของท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพดี มีสติมั่น เพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้พวกเราไปนานๆ นะคะ อามีน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
สยดสยอง มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 30/11/2004 ตอบ: 9
|
ตอบ: Wed Dec 15, 2004 6:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
สลามคุณนพัฒน์กับป้านะที
ดิฉันจะให้เวลานายชาตรี(หัวหน้าซาลาฟี่ยูนหรืออดีตนายจีจี่จอมฟิตนะห์)ตอบคำถามที่พวกเราได้ตั้งคำถามไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะให้เวลา 1 สัปดาห์ ถ้าไม่มีคำตอบเป็นที่พอใจดิฉันจะถือว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลงนะคะ
ส่วนคำถามต่อไปที่อยากจะให้คุณนพัฒน์กับป้านะทีช่วยนำเสนอทางวิชาการหน่อยค่ะ คืออยากทราบว่า
"ยาฮูดีกับนัสรอนีเป็นชื่อของเชื้อชาติเผ่าพันธ์หรือว่าเป็นศาสนาตามที่อาจารย์บางท่านเข้าใจกันแน่ค่ะ" |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|