ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - ก็อตยานีย์ ภัยร้ายของ อิสลาม
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
ก็อตยานีย์ ภัยร้ายของ อิสลาม
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 5, 6, 7 ... 12, 13, 14  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

-ท่านรอซูลกล่าวว่า “ ในวันกิยามะฮนั้นความตายจะถูกนำมา ประหนึ่งว่ามันคือแกะ………จนกระทั่งท่านได้กล่าวว่า แล้วถูกใช้ให้นำแกะนั้นมา และมันก็ถูกเชือด ภายหลังได้ถูกกล่าวขึ้นว่า โอ้ชาวสวรรค์ จงอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร โดยไม่มีความตายใด ๆ อีกแล้ว โอ้ชาวนรก จงอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร โดยไม่มีความตายใด ๆ อีกแล้ว”
ท่านอิมาม อัลกุรฏุบีย์ กล่าวว่า “ฮะดีษเหล่านี้พูดชัดเจนว่าการพำนักของชาวนรกนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด การพำนักของพวกเขานั้นเป็นไปตลอดโดยไม่มีการตาย ไม่มีชีวิตที่มีค่า ไม่มีการพัก ดังที่อัลลอฮ์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่ถูกกำหนดให้ตายลง และจะไม่ได้รับการลดหย่อนการลงโทษ” และตรัสว่า “ทุกคราที่พวกเขาอยากจะออกมา จะถูกนำกลับเข้าไป” ท่านยังกล่าวอีกว่า ฉะนั้นใครที่อ้างว่าพวกเขาจะได้ออกจากนรก แล้วนรกจะอยู่โดยว่างเปล่า หรือสูญสลายไปนั้น เขาก็ได้ออกจากสิ่งที่ท่านรอซูลนำมา และออกจากสิ่งที่อะฮ์ลุซซุนนะฮ์มีมติ(อิจมาอ์)”

ท่านอิมามอัลกุรฏุบีย์พูดไว้ชัดเจนว่าผู้ที่มีทรรศนะแบบนี้ถือว่าค้านกับสิ่งที่ท่านรอซูลนำมา แล้วท่านรอซูลนำอะไรมาถ้าไม่ใช่กุรอาน และฮะดีษ? และยังค้านกับอิจมาอ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อีกด้วย แล้วจะพูดยังไงได้อีก?

ยังมีฮะดีษอีกมากมายแต่ผมเห็นว่าแค่นี้ก็คงพอสำหรับคนที่ยอมจะทำความเข้าใจ

การที่บอกว่ากาฟิรจะได้ออกจากนรกนั้นมีสิ่งที่เป็นผลตามมามากมาย คือ นรกจะอยู่อย่างว่างเปล่า หรือไม่ก็นรกสูญสลายไป และมีบางอย่างตามมาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีมุสลิมคนไหนกล้าพูดแม้แต่ผู้ที่คล้อยตามทรรศนะดังกล่าวนั่นก็คือ คำกล่าวที่ว่า “ฟิรเอาน์จะได้เข้าสวรรค์” “กอรูนเป็นชาวสวรรค์” “นัมรูดอยู่ในสวรรค์” และในที่สุดหัวหน้าของคนพวกนี้คือ “อิบลีสจะได้เข้าสวรรค์” มีมุสลิมคนไหนกล้าพูดแบบนี้บ้างตลอดระยะเวลา 14 ศตวรรษ??? ผู้ที่มีทรรศนะดังกล่าวกล้าพูดหรือไม่?? ไม่มีอะฮ์ลุซซุนนะฮ์คนไหนตลอดเวลาที่ผ่านมาจะกล้าพูดว่า “กาฟิรจะได้เป็นชาวสวรรค์”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

จึงน่าแปลกกับคนที่อ้างว่า “การเชื่อว่าความเมตตา และการอภัยของอัลลอฮ์แผ่ไปไม่ถึงนรก(โดยการนำพวกเขาออกจากนรกในที่สุด)นั้นเป็นการศรัทธาที่บกพร่อง” เขาไม่ละอายใจหรือที่เขาว่าอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ทั้งหมดเป็นผู้มีศรัทธาบกพร่อง? เขาไม่ละอายใจหรือที่เขาว่าบรรดาศอฮาบะฮ์ บรรดาตาบีอีน อะอิมมะฮ์มุจตะฮิดีน อุลามาอ์อามิลีน ศอลิฮีนมูกินีน ชุฮาดาอ์มุญาฮิดีน มุสลิมีนอัจมะอีน เป็นผู้มีศรัทธาบกพร่อง??

ท่านอิมาม อบูลฮะซัน อัลอัชอารีย์ กล่าวในมะกอลาต อิสลามียีนว่า “และมุสลิมทั้งหมดนอกจากญะฮ์ม(อิบนุ ศอฟวาน)บอกว่า อัลลอฮ์จะทรงให้ชาวสวรรค์อยู่ในสวรรค์ตลอดกาล และพวกกาฟิรอยู่ในนรกตลอดกาล”
ท่านพูดแบบนี้เพราะ ญะฮ์ม อิบนุ ศอฟวาน เป็นเจ้าของทรรศนะที่ว่า นรกและสวรรค์จะสูญสลาย และผู้ที่อยู่ในนั้นด้วย และเป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮ์จะให้ชาวสวรรค์ ชาวนรกอยู่ในนั้นตลอดไป

ในหนังสือเล่มเดียวกัน ท่านอิมาม อัลอัชอารีย์กล่าวว่า “สิ่งที่ญะฮ์ม(อิบนุศอฟวาน)มีทรรศนะอยู่คนเดียวก็คือ การที่สวรรค์นรกจะดับสูญ...”ท่านยังกล่าวไว้อีกที่หนึ่งว่า “1.มุสลิมทุกคนมีอิจมาอ์นอกจากญะฮ์ม ว่าความสุขในสวรรค์นั้นถาวร ไม่มีสิ้นสุด และการลงโทษกุฟฟารก็เช่นเดียวกัน...”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ท่านอิมามอบูลมุซอฟฟัร อัลอิสฟิรอยีนีย์ กล่าวไว้ใน อัตตับศีร ในขณะที่ท่านกำลังอธิบายอะกีดะฮ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัลญามาอะฮฺว่า “และมนุษย์จะถูกรวม และคิดบัญชี หลังจากนั้นชาวสวรรค์ก็จะได้อยู่ในความสุขถาวร ได้เห็นพระเจ้าของพวกเขาซึ่งเป็นการเพิ่มเกียรติของพวกเขา และทำให้เนียอฺมะฮฺของพระองค์สมบูรณ์ และพวกกาฟิร และพวกตกมุรตัดจะตกอยู่ในการลงโทษของญะฮันนัมพวกเขาไม่มีทางรอดไปได้เลย และจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษในนรกหลังจากนั้นก็จะได้ออกจากนรก....และท่านรอซูลกล่าวว่า “ผู้ที่ในหัวใจมีเศษเสี้ยวของอีมานจะไม่ได้คงอยู่ในนรก และผู้ที่ในหัวใจมีเศษเสี้ยวของความยะโสจะไม่ได้เข้าสวรรค์” (ความยะโส)หมายถึงการกุฟุรนั่นเอง ส่วนเศษเสี้ยวของการศรัทธานั้นคือ ความเชื่อที่ทำให้พ้นจากชิริก และการเสกสรรค์ปั้นแต่ง และความสงสัย และความคลางแคลงอย่างที่เราได้พูดไป...”

การอีมาน กับการกุฟุรนั้นเป็นคนละเรื่อง เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกันอยู่ด้วยกันไม่ได้ เหมือนการมี กับการไม่มี ความเป็นกับความตาย ฉะนั้นใครจะอ้างว่ายะฮูด หรือนะศอรอจะได้เข้าสวรรค์เพราะฮะดีษดังกล่าวนี้ถือว่าผิด เพราะพวกเขาปฏิเสธนบีมุฮำหมัด ซึ่งเป็นการปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองพวกเขาจึงเป็นกาฟิรคำว่าอีมานถูกดึงออกไปจากพวกเขาหมดแล้ว ถ้าพวกเขายังเป็นมุอฺมินในบางเรื่อง ถ้าเช่นนั้นเราก็คงเรียกเขาได้ในคราเดียวว่า กาฟิรมุอฺมิน ซึ่งกุฟุรกับอีมานนั้นเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ท่านฮาฟิซ อิบนุฮะญัรกล่าวว่า “และพวกบิดอะฮ์บางพวกยึดเอาเปลือกนอกของฮะดีษนี้(การได้เข้าสวรรค์ของผู้ที่กล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ)กล่าวอ้างว่าชาวคัมภีร์ที่ให้เอกภาพกับอัลลอฮ์นั้นจะได้ออกจากไฟนรกแม้ว่าจะไม่ศรัทธา(ต่อนบีคนไหนเลย)นอกจากกับคนที่ถูกส่งมายังพวกเขาเท่านั้น คำพูดนี้เป็นเท็จเพราะคนที่ไม่ยอมรับท่านนบีถือว่าปฏิเสธอัลลอฮ์ และคนที่ปฏิเสธอัลลอฮ์นั้นไม่มีเตาฮีด”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส่วนหลักฐานที่อัลลอฮ์จะทรงเอาผู้ศรัทธาออกจากนรกนั้นมีมากมาย และคงไม่มีใครปฏิเสธหนึ่งในนั้นคือท่านรอซูลกล่าวว่า “...ฉันกล่าวว่า พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ขอทรงอนุมัติให้ข้าพระองค์สำหรับคนที่กล่าวว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ พระองค์ตรัสว่า นั่นไม่ใช่อำนาจของเจ้า แต่ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้า ความสูงส่งแห่งข้า ความทะนงแห่งข้า ความยิ่งใหญ่แห่งข้า อำนาจแห่งข้า ข้าจะเอาผู้ที่กล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ออกมา”

เมื่อมาดูความเข้าใจในมุมกลับของหลายฮะดีษที่พูดถึงการนำผู้ศรัทธาออกจากนรกนั้นจะเข้าใจได้ว่าผู้ที่ไร้ศรัทธา หรือศรัทธาบางส่วน ปฏิเสธบางส่วน(ซึ่งถือว่าไม่ใช่ผู้ศรัทธาแต่เป็นกาฟิร) หรือผู้ที่ศรัทธาแล้วกลับไปปฏิเสธอีก(มุรตัด) นั้นจะไม่ถูกนำออกมาจากนรก แต่จะถูกปล่อยให้อยู่ในนั้นตามเดิม ฉะนั้นใครอ้างว่าพวกเขาจะถูกนำออกมาเข้าสวรรค์ก็จงนำหลักฐานมาจากกุรอานจากฮะดีษ ไม่ใช่การตีความผิดๆที่ห่างไกลในด้านภาษา ความเป็นจริง และค้านกับกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจมาอฺอย่างสิ้นเชิง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การตีความอายะฮ์อัลกุรอานให้เข้ากันกับแนวความคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่ช่างห่างไกลเหลือเกิน บางคนที่ไม่มีความรู้เรื่องภาษาเมื่อดูผิวเผินแล้วจะคิดว่ามันเป็นการอธิบายที่ลึกซึ้ง ถึงแก่นแต่หาใช่เช่นนั้นไม่ ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายความหมาย คำว่า “อุม” “ตับชีร” “เมาลา” นั้นต่างเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

การบอกว่า “อุม”ในซูเราะฮฺอัลกอริอะฮ์ แปลว่าแม่ และว่านรกเสมือนแม่ที่คอยดูแลลูกนั้นผิด นักอรรถาธิบายอัลกุรอานต่างบอกว่า อุม ตรงนี้คือ มัสกัน คือมะอฺวา คือที่พักพิง ต้องการพูดถึงการพักพิง ไม่ใช่พูดถึงความเอ็นดู
เราอาจกล่าวได้ว่า การที่อัลลอฮ์ทรงใช้คำว่า อุม ในอายะฮ์นี้นั้นพระองค์อาจต้องการสื่อถึง
1.ความเอ็นดู ดูแลที่นรกมีต่อชาวนรกเช่นเดียวกับที่แม่มีต่อลูก
หรือ 2.ความใกล้ชิดระหว่างนรกกับชาวนรก เช่นที่แม่ใกล้ชิดกับลูก
จะเป็นข้อหนึ่งไปไม่ได้ เพราะนรกเป็นที่ที่มีแต่การด่าทอซึ่งกันและกัน สาปแช่ง กินเลือดกินหนองกัน ทรมาทรกรรม ซึ่งไม่ต้องไปเปรียบกับแม่ลูกเลย
ต่างกับความหมายที่ 2 ซื่งบ่งถึงความใกล้ชิด และมันเป็นที่อยู่ที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เกินกว่าการจะผละออกจากกันได้ การใช้ อุม ในที่นี้จึงเป็นความหมายนี้เป็น อิสติอาเราะฮฺ ยืมคำว่าอุมมาใช้แทนมัสกัน หรือมะอฺวา
ส่วนความหมายที่ 1 นั้นไม่ได้มีความสวยงามของโวหารอรับสอดแทรกอยู่เลยแม้แต่น้อย เพราะขาดอะลาเกาะฮฺบะลาฆียะฮฺระหว่างแม่กับนรกในด้านการดูแลรักษาอย่างสิ้นเชิง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส่วนคำว่า ตับชีร นั้น หมายถึง การแจ้งข่าว ที่เรียกดังกล่าวเพราะการแจ้งข่าวนั้นส่งผลถึงผิวหนัง ในเรื่องดีใจหรือเสียใจ มันมาจากคำ บัชชะร่อ ท่านอิบนุ ซัยยิดิฮี กล่าวว่า อัตตับชีร เป็นได้ทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ฉะนั้นจำเป็นต้องดูสำนวนที่มีคำนี้อยู่ว่าตกลงมันเป็นการแจ้งข่าวดี หรือไม่ดีกันแน่ ในกุรอานนั้นคำนี้มาในความหมายแจ้งข่าวดีในหลายอายะฮ์ด้วยกัน เช่น 36/11 37/101 หรืออื่นๆ และก็มาในความหมายข่าวร้ายด้วยเช่น 16/58
ส่วนคำดังกล่าวที่มาควบคู่กับการบอกถึงการลงโทษนั้นเป็นไปได้ 2 อย่างคือ
1.มีความหมายตามเดิม(ฮะกีเกาะฮฺ)ดั้งเดิมของคำดังกล่าว
หรือ 2.มีนัยยะในคำดังกล่าวโดยอาศัยอัสรอรฺบะลาฆียะฮ์ในการใช้คำดังกล่าว

หากเป็นข้อ 1.นั้นความหมายดั้งเดิมคือการแจ้งข่าว 1.1ดี หรือ 1.2ร้าย ซึ่งจะเป็นดีไปไม่ได้ เพราะการสาปแช่งของอัลลอฮ์นั้นตกอยู่บนพวกกาฟิรทั้งหลาย ความหมายจึงเป็นข่าวร้าย ซึ่งตามความหมายดังกล่าวเป็นความหมายดั้งเดิมของคำ ไม่ได้มีเรื่องของการเยาะเย้ย เย้ยหยันเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะความหมายเดิมเป็นเช่นนั้น

หรืออาจเป็นข้อ 2 ซึ่งความหมายของตับชีรแล้วส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในการแจ้งข่าวดี ถ้าเป็นไปตามข้อสองความหมายของตับชีรจะเป็นความหมายที่ถูกใช้ส่วนใหญ่ตามอุรฟฺ(ที่ใช้กันโดยทั่วไป) แต่เป็นความหมายการแจ้งข่าวดีที่มาควบคู่กับซิรบะลาฆีย์(เหตุทางด้านโวหารอรับ)ซึ่งก็คือ การเย้ยหยัน เรียก อุสลูบตะฮักกุมีย์ สำนวนเย้ยหยัน
คำนี้จึงมาได้ทั้งสองความหมายทั้ง 1.2 และ 2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส่วนที่บอกว่านรกคือเมาลานั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับที่อธิบายไปในเรื่องอุม

นอกจากเรื่องภาษาแล้วยังมีการยกหลักฐานสนับสนุนมัซฮับเท็จด้วยการยกหลักฐานถึงความเมตตาของอัลลอฮ์อย่างกว้างๆอีก
ซึ่งการตอบโต้ตรงนี้นั้นคงจะไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะมุสลิมทุกคนบอกว่าอัลลอฮ์เป็นอัรรอฮฺมานุรรอฮีมอยู่แล้ว

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพระองค์จะทรงเมตตากาฟิรในอาคิเราะฮ์ด้วยหรือเปล่า??

อัลลอฮฺได้สาปแช่งกาฟิรไว้หลายที่ด้วยกันในอัลกุรอาน
33/64 ทรงสาปแช่งพวกกาฟิร
5/60 พวกกาฟิรอะฮ์ลุลกิตาบ
4/46 ทรงสาปแช่งพวกเขาเนื่องเพราะความกุฟุรของพวกเขา(ดูว่าการกุฟุรเป็นเหตุแห่งการสาปแช่ง)
48/6 ทรงสาปแช่งกาฟิร มุนาฟิกีน
2/161 สาปแช่งคนที่ปฏิเสธแล้วตายในสภาพนั้น เช่นเดียวกัน 3/87
7/44 การสาปแช่งแห่งอัลลอฮ์มีแด่ผู้อธรรม และการตั้งภาคีนั้นเป็นการอธรรมที่ใหญ่หลวงดู 31/13
และอายะฮ์อื่นๆอีก ซึ่งทั้งหมดบอกให้เรารู้ว่าในปรโลกไม่มีความเมตตาแก่คนกาฟิร มุชริกีน การอ้างว่าพวกเขาจะได้รับการอภัยนั้นขัดต่อคำกล่าวของอัลลอฮ์ดู 4/48 4/116 การตั้งภาคีนั้นไม่มีการให้อภัย
9/80 แม้ท่านนบีจะขออภัยให้พวกมุนาฟิกีน(ทั้งที่ท่านนบีเป็นผู้ที่ถูกตอบรับดุอาอ์) 70 ครั้งอัลลอฮ์ก็ไม่อภัยให้ เพราะพวกเขาปฏิเสธ(ดูการให้เหตุผลว่าที่ไม่อภัยเพราะพวกเขาปฏิเสธ)
37/34 พวกปฏิเสธแล้วตายในสภาพดังกล่าวอัลลอฮฺ “จะไม่”อภัย
63/6 พวกมุนาฟิกีน แม้ท่านนบีจะขออภัยให้ก็ “จะไม่” ยกโทษให้
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:49 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมบอกแล้วว่าจะขัดแย้งกันมั้ยหากวันหนึ่งอัลลอฮ์จะทรงอภัย จะทรงเมตตาให้พวกเขาได้รับสวนสวรรค์ ทั้งที่พระองค์บอกเองว่าพวกเขาโดนสาปแช่ง และจะไม่อภัยให้พวกเขาแม้ท่านนบีขอก็ตาม และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าอูฐจะลอดรูเข็มได้?

ฉะนั้นการกล่าวหาว่าถ้าไม่เชื่อว่าความเมตตา การอภัยจะแผ่ไปยังนรกถือเป็นการศรัทธาที่บกพร่องจึงเป็นการกล่าวหามุสลิมทั้งหมด ไม่เพียงแต่อะฮฺลุซซุนนะฮฺเท่านั้น
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การที่เราบอกว่าอัลลอฮฺทรงมีลักษณะ “เมตตา” นั้นนักวิชาการบอกว่าความเมตตาตรงนี้นั้นเป็นไปได้ 2 ทางคือ
1.เป็นลักษณะของการกระทำ (ศิฟะฮฺเฟียะอลฺ)
2.เป็นลักษณะของอาตมัน (ศิฟะฮฺซาต)
ตามความหมายที่ 1 เราจึงเรียกริสกีจากอัลลอฮฺว่า รอฮฺมะฮฺ และอัลลอฮฺก็เรียกเช่นนั้น ดู 10/21 18/82 11/9 42/48 ฯลฯ
ฉะนั้นตามความหมายนี้(พิจารณาจากการกระทำของอัลลอฮฺ)จึงถือว่ามีหลายรอฮฺมะฮฺ จึงเข้ากับฮะดีษที่ว่าพระองค์มีความเมตตา 100 ส่วน

ส่วนถ้าเป็นความหมายที่ 2 คือเป็นคุณลักษณะของอาตมันนั้น มันจะไม่แยกเป็นหลายส่วน อิบนุ ฮะญัรกล่าวว่า “สรุปจากคำกล่าวของเขา(อัลมุฮัลลับ)ว่าความเมตตานั้นมี 2 อย่าง ความเมตตาที่เป็นลักษณะแห่งอาตมันซึ่งอันนี้ไม่มีหลายส่วน และความเมตตาที่เป็นลักษณะของการกระทำซึ่งก็คือสิ่งที่ฮะดีษนี้บ่งไว้(ฮะดีษความเมตตา 100 ส่วน)”

อิมามอัลกัรมานีย์ กล่าวว่า “อัรรอฮฺมะฮฺในที่นี้หมายถึง ความสามารถ(กุดเราะฮฺ)ที่เกี่ยวอยู่กับการประทานสิ่งดีๆ...”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:51 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หากเราเข้าใจความเมตตาแห่งอัลลอฮ์ด้วยความหมายแรก(ศิฟะฮฺเฟียอลฺ) แสดงว่าความเมตตาดังกล่าวผูกอยู่กับการกระทำ ซึ่งหากบอกว่าอัลลอฮฺจะทรงเมตตากาฟิรด้วยควาหมายนี้แสดงว่าพระองค์ต้องทรงทำอะไรซักอย่างที่เป็นความเมตตาแก่พวกกาฟิร ซึ่งจะเป็นอื่นจาก 2 อย่างไม่ได้คือ
1.อภัยให้ทั้งหมดแล้วนำเข้าสวรรค์
หรือ 2. ผ่อนปรนการลงโทษ
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างเพราะอัลลอฮฺทรงยืนยันด้วยพระองค์เองดังที่ผ่านไปแล้ว

หากเข้าใจตามความหมายที่ 2 จะหมายถึงพระองค์สามารถ หรือต้องการที่จะให้สิ่งดีๆกับผู้คน ซึ่งลักษณะดังกล่าวเข้าอยู่ใต้พระประสงค์ของอัลลอฮฺ ถ้าโดยกว้างๆตามความหมายนี้อาจเป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์อาจทรงประทานรอฮฺมะฮฺนี้ให้ชาวนรก แต่พระองค์ทรงยืนยันเองว่าพระองค์ไม่ประสงค์เช่นนั้น ดู 7/156-157
พระองค์บอกเราว่าความเมตตาที่กว้างใหญ่นั้นจะมีแก่ผู้ศรัทธาเท่านั้น และบอกเป็นนัยยะว่าผู้ที่ปฏิเสธท่านรอซูลไม่ว่าจะเป็นพวกมุชริก หรือชาวคัมภีร์นั้นไม่มีสิทธิได้รับ นักวิชาการบางคนอธิบายอายะฮ์นี้ว่า การที่พระองค์บอกว่าความเมตตาของพระองค์คลุมทุกสิ่งทุกอย่างนั้น หมายถึงในดุนยา เพราะกาฟิรก็ได้รับด้วยอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนช่วงต่อมา(ฟะซะอักตุบุ..) เป็นกริยาที่เรียกว่ามุฏอเรียอฺ เป็นกริยาที่บอกถึงเวลาปัจจุบันและอนาคต แต่เมื่อมาคู่กับตัวซีน หรือคำ เซาฟ่ะ มีความหมายเจาะจงในอนาคต การกำหนดความเมตตาดังกล่าวให้กับผู้ศรัทธาจึงอยู่ในอนาคตซึ่งก็คือ อาคิเราะฮ์นั่นเอง เมื่อถึงอาคิเราะฮ์พวกกาฟิรจึงไม่มีส่วนเอี่ยวในความเมตตานี้ เพราะพวกเขาได้เอาส่วนของพวกเขาไปหมดแล้ว ดู 46/20
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:51 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คำว่า อัรรอฮฺมาน และ อัรรอฮีมนั้น มีความหมายต่างกัน คำแรกนั้นกว้างกว่าซึ่งตรงกับดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า “และความเมตตาของเราครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง” หมายถึงทุกชนิดของความเมตตา
ส่วนคำที่สองนั้นแคบกว่า ใช้เรียกผู้ที่เห็นว่าการกระทำของเขาเป็นความเมตตา มนุษย์เป็นรอฮีมได้ แต่เป็นรอฮฺมานไม่ได้ ด้วยความที่ว่ารอฮีมตรงนี้ไม่ได้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างแต่เป็นการกระทำบางอย่างที่ให้แก่บางคน อัลลอฮฺจึงตรัสว่า “และพระองค์ทรงเป็นผู้เมตตา(รอฮีม)แก่ผู้ศรัทธา” 33/43

และด้วยการเรียกลำดับเช่นนี้(อัรรอฮฺมาน อัรรอฮีม)อัลลอฮ์จึงตรัสดังที่ว่า 7/156-157 โดยกล่าวถึงความหมายของรอฮฺมานก่อนคือความเมตตาแผ่คลุมทุกอย่าง แล้วหลังจากนั้นจึงบอกถึงรอฮีมว่าในเวลานั้นจะมีให้ก็แค่ผู้ศรัทธา

อิบนุลมันซูรเล่าว่า อัลฟาริซีย์กล่าวว่า “การกล่าวกันว่า บิสมิลลาฮิรรอฮฺมานิรรอฮีมนั้น มีการกล่าวถึงอัรรอฮีมหลังจากที่อัรรอฮฺมานครอบคลุมทุกความเมตตาแล้วก็เพราะเป็นสิทธิเฉพาะสำหรับผู้ศรัทธา ในดำรัสอัลลอฮ์ที่ว่า “และพระองค์ทรงเป็นผู้เมตตา(รอฮีม)แก่ผู้ศรัทธา” เช่นเดียวกับที่พระองค์ตรัสว่า “จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง” หลังจากนั้นพระองค์ตรัสต่อว่า “ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด” พระองค์ทรงกล่าวถึงสิ่งที่แคบหลังจากที่พระองค์กล่าวอย่างกว้างๆ...”

เป็นอันว่าความเมตตาในเวลานั้นจะมีให้แก่ผู้ศรัทธาเท่านั้น และนี่ก็เป็นคำอธิบายฮะดีษความเมตตาร้อยส่วนที่ถูกอ้างอิงอีกด้วย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ท่านอิมามอัลกุรฏิบีย์กล่าวว่า “ความหมายของฮะดีษนี้(ความเมตตา 100 ส่วน)คือว่าอัลลอฮฺทรงรู้ว่าชนิดของเนียอฺมะฮฺที่ให้กับบ่าวนั้น 100 ชนิด พระองค์ให้พวกเขาในโลกดุนยานี้แค่ชนิดเดียวซึ่งทำให้เกิดเป็นผลประโยชนของพวกเขา เกิดความเมตตาขึ้นระหว่างกัน ครั้นถึงวันกิยามะฮ์พระองค์จะทรงให้มันครบถ้วนแก่บ่าวของพระองค์ “ผู้ศรัทธา” ในส่วนที่เหลือมันจึงครบร้อย และทั้งหมดนั้นให้กับบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “และพระองค์ทรงเป็นผู้เมตตา(รอฮีม)แก่ผู้ศรัทธา” คำว่ารอฮีมนั้นเป็นรูปแบบที่เรียกว่าที่สุดที่ไม่มีอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว จากตรงนี้เข้าใจได้ว่าพวกกาฟิรไม่มีส่วนใดๆในความเมตตานั้น ไม่ว่าจะความเมตตาชนิดที่มีในดุนยา หรือชนิดอื่นเมื่ออัลลอฮฺทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงรู้ในความเมตตาที่มีต่อผู้ศรัทธาครบถ้วน ซึ่งพระองค์ทรงชี้ไว้ที่ว่า “และเราจะกำหนดมันให้กับผู้ที่มียำเกรง...”

คำของอัลกุรฏุบียฺที่ “พวกกาฟิรไม่มีส่วนใดๆในความเมตตานั้น ไม่ว่าจะความเมตตาชนิดที่มีในดุนยา หรือชนิดอื่น...”นั้นหมายความว่า ในวันกิยามะฮ์นั้นพระองค์จะให้ความเมตตาของพระองค์สมบูรณ์ 100 ส่วน โดยประทานมาทั้งร้อยซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชนิดที่เคยมีในดุนยา ไม่ใช่ประทานมาแค่ 99 ฉะนั้นในวันนั้นแม้พวกกาฟิรเคยได้ส่วนหนึ่งนั้นในดุนยา พวกเขาก็จะไม่ได้มันในอาคิเราะฮ์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ท่านอิมามอะลียฺ อิบนุ อบีฏอลิบได้กล่าวว่า “ส่วนคำว่า อัรรอฮฺมาน นั้นเป็นการช่วยเหลือทุกคนที่ศรัทธาต่อพระองค์ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่มีใครตั้งนอกจากพระองค์ ส่วน อัรรอฮีมนั้น สำหรับคนที่เตาบะฮฺ ศรัทธาและประกอบงานดี” (อัตตัฟซีรุลมุนีร เรื่องบัสมาละฮฺ)

ส่วนการที่อัลลอฮฺบอกว่าความเมตตาของพระองค์นั้นมีเหนือความกริ้วของพระองค์ ตรงนี้ไม่ได้เป็นหลักฐานสนับสนุนมัซฮับเท็จ เพราะอะฮฺลุซซุนนะฮฺบอกว่าการลงโทษของอัลลอฮฺนั้นเนื่องด้วยความยุติธรรมไม่ใช่ความโกรธกริ้ว

อิมามนาศิรุดดีน อัลบัยฎอวีย์ กล่าวใน ฏอวาลิอุลอันวารว่า “ส่วนพวกเรากล่าวว่า การตอบแทนนั้นเพราะความกรุณาจากอัลลอฮฺ และการลงโทษนั้นจากความยุติธรรมของพระองค์ ส่วนการงานนั้นเป็นเครื่องชี้นำ และทุกคนจะสะดวกในสิ่งที่ตัวเองถูกสร้างมา และอัลลอฮฺทรงให้ผู้ศรัทธาเข้าอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลเป็นการรักษาสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ และลงโทษการฟิรผู้ดื้อดึงในไฟนรกตลอดกาลตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้..”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส่วนการยกเรื่องที่ว่าอัลลอฮฺเมตตากว่าหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีทางโยนลูกนางลงกองไฟนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะคำที่ว่า “บ่าวของพระองค์” ในฮะดีษดังกล่าว “อัลลอฮฺทรงเมตตาต่อปวงบ่าวของพระองค์ยิ่งกว่าหญิงคนนี้ที่มีต่อลูกของนาง”นั้นหมายถึงบ่าวที่เป็นผู้ศรัทธา เพราะการที่หญิงคนหนึ่งไม่โยนลูกตัวเองลงกองไฟก็เนื่องด้วยความรัก แต่ในอาคิเราะฮฺนั้นคนที่อัลลอฮฺรักมีเพียงมุอฺมินเท่านั้น ดูอัลฟัตฮฺอายะฮฺที่ 6 “และอัลลอฮฺทรงกริ้วพวกเขา ทรงสาปแช่งพวกเขา และเตรียมญะฮันนัมไว้ให้พวกเขา และมันเป็นที่กลับที่ชั่วช้ายิ่ง” และอีกรายงานหนึ่งของฮะดีษข้างต้นในบันทึกของอิมาม อบูดาวูดยังสนับสนุนทรรศนะนี้โดยตอนท้ายของรายงานดังกล่าว กล่าวว่า “และอัลลอฮฺก็จะไม่ทรงโยนผู้ที่พระองค์ทรงรักลงในนรกเช่นกัน” ใครจะอ้างว่าอัลลอฮฺทรงรักกาฟิรก็ถือว่าค้านกับสิ่งที่อัลลอฮฺยืนยันด้วยพระองค์เองว่าทรงกริ้วมิใช่ทรงรักพวกเขา

ในอัลอัสมาอฺวัศศิฟาต อิมาม อัลบัยฮะกีย์เล่าจากเชคของท่าน(น่าจะเป็นอับดุลลอฮฺ อัลหุลัยมีย์)ท่านกล่าวเกี่ยวกับฮะดีษนี้ว่า “การยืนยันถึงความเมตตาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น(เพราะการโยนใครลงไฟนรกนั้นจะเกิดก็กิยามะฮ์)นั้น แสดงให้เห็นว่าความหมายคือ พระองค์ต้องการปัดเป่าไฟนรกจากผู้ที่พระองค์ประสงค์จากบ่าวของพระองค์ “ก่อนจะถึงวันกิยามะฮ์” และก่อนที่จะมีการเผยให้เห็นญะฮันนัม...”
ฉะนั้นเมื่อถึงวันกิยามะฮ์แล้วมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และด้วยความเป็นแม่นั้นหากนางโยนลูกนางลงกองไฟด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจะขัดเกลาลูกนั้นมีใครหน้าไหนบ้างจะเชื่อ และมีใครจะยืนยันบ้างว่านางรักลูกจึงโยนลงไป
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมคิดว่าจำนวนหลักฐานเท่านี้คงจะทำให้พี่น้องที่คล้อยตามกลับมาสู่สิ่งที่อะฮ์ลุซซุนนะฮ์มีมติอิจมาอฺได้ ความจริงแล้วการรู้จักวิเคราะห์วิจัยตัวบทแล้วถอดฮุก่มออกมา(อิสฏินบาฏ)เป็นสิ่งที่ดี และต้องอาศัยความรู้ แต่จะต้องควบคู่ไปกับการมองชาวบ้านรอบข้างเสมอ เพราะการไม่เหมือนกันของผลลัพธ์นั้นมี 2 อย่าง
1.ไม่เหมือนกันแบบหลากหลาย (خلاف تنوع )
2.ไม่เหมือนกันแบบขัดกันแย้งกัน ( خلاف تضاد)
ถ้าเป็นแบบแรกมีแต่จะยิ่งเพิ่มทรัพยากรความรู้ให้กับอุมมะฮฺ แต่ถ้าเป็นอันที่สองมีแต่จะสร้างความแตกแยกให้สังคม และเป็นภัยแก่ตัวเอง ชาวบ้านที่ผมพูดถึงนี้คืออะฮฺลุซซุนนะฮฺ การค้านกับสิ่งที่เป็นมติจากอะฮฺลุซซุนนะฮฺนั้นมีแต่เสียไม่มีได้ แล้วยิ่งเรื่องอะกีดะฮฺแบบนี้จะนำความคิดใหม่มาทั้งที่เรื่องอะกีดะฮฺนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งแต่นบีอาดัม ไม่ว่าจะเป็นศาสนาแห่งฟากฟ้าศาสนาใด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกับบทบัญญัติหรือนิติบัญญัติที่เป็นไปตามยุคสมัย อย่างน้อยก็เป็นการบอกว่าสิ่งที่มุสลิมเชื่อกันมาตั้งแต่ต้นของอิสลามผิดกันหมด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 5, 6, 7 ... 12, 13, 14  ถัดไป
หน้า 6 จากทั้งหมด 14

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.08 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ