ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
วิทยากร อนุรักษ์มรดกอิสลาม


เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004 ตอบ: 158
|
ตอบ: Wed Jun 30, 2004 10:50 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบอกให้ทั้งทั้งหลายและคุณวิทยากร ทราบและเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ว่า ผม เชื่อฟังท่านนบีมูฮัมมัด และ การปฏิบัติของท่าน ทุกๆอย่าง ที่ พระองค์อัลลอฮ์ มีบัญญัติ ไว้ ในอัลกุรอาน อย่าง 100 % ทุกอย่างที่ เป็น วะฮีย์ จากอัลลอฮ์ ที่ให้เชื่อฟังท่าน และตามที่ ผม ได้ ปฏิญาณไว้ โดนการ กล่าว ชะฮาดะห์ ด้วยความมั่นใจ ดังนั้น ผมจึงเชื่อ ในความสมบูรณ์ ในอัลกุรอาน ตามที่ท่าน นบีมูฮัมมัด กล่าวไว้ โดยวะฮีย์ ในอายะ 6-114 ซึ่งต่างกับ พวก มุชริกีน (โปรดอ่านคำอธิบายของ 6-112 ถึง 6-117 ในอัลกุรอานเล่มใดก็ได้)
อย่าให้คำพูดของคุณข้างต้นนี้เป็นคำพูดเพ้อเจ้อ คุณเชื่อฟังนบีอย่างไร คุณปฏิบัติตามนบีอย่างไร ในเมื่อคุณปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์ หรือว่าท่านนบีมาเข้าฝันกระซิบคุณเป็นการเฉพาะ
من يطع الرسول فقد أطاع الله
ผู้ใดฏออัตต่อรอซูล เขาได้ฏออัตต่ออัลลอ์ ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 80
คำว่า ฏออะห์ หมายถึงเชื่อฟัง น้อมรับ และปฏิบัติตาม แต่สำหรับคุณ matt แล้วไม่ได้ฏออัตต่อรอซูลและก็ไม่ได้ตออัฏต่ออัลลอฮ์ด้วย
คุณยืนยันว่ายึดอัลกุรอาน แค่อายะห์เดียวนี้คุณก็ปฏิเสธเสียแล้ว
_________________
|
|
กลับไปข้างบน |
|
 |
matt มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed Jun 30, 2004 6:16 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสลามมุอะลัยกุมท่านสมาชิก
จนเดี๋ยวนี้คุณและผมก็ทราบแล้วว่า ยังไม่มีคำอธิบายว่า ฮะดีษเหล่านั้นมาได้อย่างไร?
สำหรับผู้ที่ ไม่สนใจกับที่ผมเสนอ นั้นผมไม่ข้องใจ แต่ "สำหรับนักคิด ผมว่า มันเป็น อาหารสมอง ที่น่าคิด"
ผมจึงนำมาลง ไว้ให้ คุณ ฟารีด เพนดี เห็น อีกครั้ง หนึ่ง และ อธิบาย ให้ เด็กๆ ฟังว่า การจด บันทึก ฮะดิษ ทั้งหมดนี้ เกิด ขึ้นได้ อย่างไร และ ข้อใดที่เป็นสิ่งถูกต้อง?
ไม่ต้องกังวล ว่า ผมจะเป็น "มุสลิม" หรือ "กาเฟร" ทิ้ง ไว้ ให้ผมพบ ปัญหา ใน วันตัดสิน เมื่อ ผม อยู่ต่อ หน้า "พระองค์ อัลลอฮ์ " ก็แล้ว กัน
แต่หน้าที่ของคุณ ฟารีด เฟ็นดี้ เป็น ผู้นำ ทาง ของมุสลิม และ เยาวชน รุ่น หลัง มีหน้าที่ๆจะต้อง อธิบาย ข้อ บกพร่อง ของ " ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ " ทั้งนี้ ตราบใดที่ " ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ " ทั้งหมดนี้ ขัดกัน เอง และขัด กับ อัลกุรอาน (ชะฮาดะห์ ที่แท้จริง) แล้ว เป็นความ รับผิดชอบ ของ คุณ ที่จะต้อง ออกมารับผิด ชอบ โดยอธิบาย ความแท้จริง โดยใช้ "อัลกุรอาน" เป็นเอกสาร อ้างอิง ให้เห็น จริง ว่า "ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ " นั้น สมควรที่จะ ยกขึ้นเทียบเท่ากับ "อัลกุรอาน" และ สมควรที่จะ "ยกขึ้นเทอดทูลเหนือหัว คุณทั้งสอง" (ผมไม่แนะนำเช่นนั้น ต่อ มุสลิมทั้งหลาย เพราะ การกระทำ เช่น นั้น เป็น "ชิริก"
และเมื่อมีผู้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง ในสิ่งที่คุณ สอนเด็กๆว่า " ฮะดีษ ซอเฮี๊ยะ สำคัญเทียบเท่า อัลกุรอาน" แล้ว มันเป็น หน้าที่โดยตรง ของ คุณ จะ ต้อง ออกมาอธิบาย
คุณวิทยากรไม่มีความสามารถที่ จะอธิบายได้, ผมหวังว่า "คุณฟารีด เพนดี้ คงจะ อธิบาย ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ " ข้างล่างนี้ ให้ด็กๆฟังได้ ว่า มันเป็นมาอย่างไร?
ฮะดีษต่อไปนี้ เป็น ฮะดีษ ซอเฮียะ ที่ถุกบันทึกในเวลาเดียวกัน จาก คุตบะหฺ ครั้งสุดท้าย ของ ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ที่ถุก บันทึก ไว้ 3 ภาคที่ต่างกัน คือ
ภาคที่1. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ ซุนนะห์ (มุวัตตะ, 46/3)
ภาคที่2. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ อะฮ์ลาลบัยต์ (อะฮ์ลุลบัยต์)
(มุสลิม 44/4, นู2408; อิบนฺ ฮะนะบาล4/366; ดอริมิ23/1; นู 3319)
ภาคที่3. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก ท่าน (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56)
ภาคที่ 1. คือภาคที่ มุสลิมส่วนใหญ่ ซุนนีย์ มุสลิม เชื่อ ว่า แท้จริง
ภาคที่ 2. คือภาคที่ มุสลิม ชิอะต์ เชื่อว่าแท้จริง
ส่วนภาที่ 3. นั้น คงหามุสลิมเชื่อว่า แท้จริง ยากมาก แต่อย่างไรก็ตาม
ภาคที่ 3 ที่กล่าวว่า เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก ท่าน ภาคที่ 3 นี้มี ฮะดีษ ซอเฮียะ หลายสายที่สนับสนุน ตัวอย่างเช่น
1. ฮะดีษ ซอเฮียะ มุสลิม เล่ม 7เลขที่ 2803/1 ฮัจจฺ (กีตาบ- อัลขฮัจจฺ) กล่าวถึง คุตอบะฮ์ ครังสุดท้ายของท่าน รอซูลล บรรยายโดย ญาบิรอิบนฺ อับดุลลอฮ์ ว่า
ท่านรอซูลล........กล่าวว่า ฉัน(มูฮัมมัด) ทิ้งหนังสือของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน), และถ้าพวกท่านยึดถืออัลกุรอาน(เป็นทางดำเนินชีวิต) อย่างมั้นคงแล้ว ท่านจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน.
2. ฮะดีษ ศอเฮียะห์ บุคอรีย์, หมวด 9, เล่ม 92, เลขที่ 374
บรรยายโดย....อะนัสบินมาลิก : ว่า เขาได้ยิน อุมมาร์ กล่าว ขณะที่ท่านยืน อยู่บน แท่น คุตอบะห์ ของท่านรอซูลล์(ฮัมมัด) ในเวลาเช้า, หลังจาก วันที่ท่านรอซูลล์(มูฮัมมัด) ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว , เมื่อฝูงชนกล่าวปฏิญาณให้ความสวามิภักดิ์ ต่อ อะบูบาคร์. ท่านอุมาร์ผู้นั้น กล่าวว่า, ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลออ์ โดยยกนื้วชี้ของมือขวา ขึ้น และลดนิ้วชี้นั้นลงเมื่อ กล่าว ชาฮาดะห์จบต่อหน้า อาบูบาคร์, และกล่าว, ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง, พระองค์อัลลอฮ์, ได้เลือกเฟ้น ท่านรอซูลล์ ให้อยู่กับพระองค์ บนสรวงสวรรค์ แทนที่จะให้อยู่กับพวกเราบนโลกมนุษย์, สิ่งนี้คือหนังสือ(อัลกุรอาน) สิ่งซึ้ง ฮัลลอฮ์ ได้ใช้ให้ เป็น หลัก แนะแนวทางปฏิบัติ ของท่านนบีมูฮัมมัด, ดังนั้นจงยึดมั่นต่ออัลกุรอาน, เพื่อที่ว่าท่านจะได้รับแนวทางที่ถูกต้องเช่นเดียวกับที่ อัลลออ์ ใช้เป็นสิ่งแนะนำแนวทาง แก่ รอซูลล์(มูฮัมมัด) ของท่าน
3. ซอเอียะ บุคอรี, ซอเอียะ มุสลิม, ฟัตขฮุล บะรี, ตับรอนิ, ตอริคฮ์ อะฮ์มะดิ
เพื่อตัดความให้สั้นลงโดยไม่ถอยหลังกลับไปเล่าประวัติศาสตร์ ้ ไปถึง อุมายยิดและอับบาซิด คอลิฟ....ท่านอุมมาฮ์ผู้โชคร้ายผู้หนึ่งได้ตัดสินใจผิด, หลังจากการจากไปของท่านรอซูล, แม้แต่กระทั่งจนวินาทีสุดท้ายท่านอุมาฮ์ ท่านนี้ขอร้องให้ผู้ติดตามท่านให้นำ กระดาษและปากกาเพื่อว่า ท่านอุมมาฮ์ผู้นั้น จะได้เขียนข้อความที่จะป้องกัน พวกเขาจากการ หลงทางแห่งความศรัทธา ภายหลังจากท่าน, แต่ผู้คนที่อยู่รอบข้างท่าน ไม่ต้องการให้ท่านอุมมาฮ์ บอกความตั้งใจของท่านด้วยการจดบันทึก, และมีสาวกผู้หนึ่งกล่าวว่า
หนังสือของอัลลอฮ์(อัลกุรอาน)นั้นเพียงพอสำหรับเราแล้ว
4. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก
ท่าน (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56)
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทำไม ภาค ที่ 3 ซึ่งเป็น ฮะดีษ ศอเฮียะ เช่นกัน แต่กลับไม่มีผู้ใด ปฏิบัติตาม หรือ เชื่อถือใน และ ยึดถือ เหมือน ฮะดีษ ศอเฮียะ ภาคที่ 1 และฮะดีษ ศอเฮียะ ภาค 2 ทั้งๆ ที่ มี การบันทึกยืนยัน อยู่ มากกว่าทุกๆ ภาค
แม้กระนั้น ฮะดีษ ศอเฮียะห์ ภาคที่ 3 บทนี้ ตรงตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน อายะ 6-114, และ และในอีกหลาย อายาต ที่สนับสนุน ฮะดีษ ศอเฮียะ ภาคที่ 3 นี้ มุสลิมบางท่าน แทบจะไม่เคยเห็น ฮะดีษ เหล่านี้ เลย โดยเฉพาะ ยุวมุสลิมที่ ไม่ชอบอ่าน ฮะดีษ แต่ชอบ นั่งฟัง เท่านั้น
การจดบันทึก ฮะดีษ ศอเฮียะ จากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ครั้ง เดียวกัน, จากท่าน รอซูลคนเดียวกัน และ ในเวลาเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันอย่างมากมายเช่นนี้
1. เกิดขึ้นได้อย่างไร?
2. มีการปลอมแปลงฮะดีษ ศอเฮียะ บทนี้ หรือไม่?
3. เพราะเป็นที่น่าสงสัยว่า ทำไม ฮะดีษ ศอเฮียะ ในเรื่องนี้ ของซุนนีย์ กับของ ชีอะต์ จึงแตกต่างกัน และ สนับสนุน ความเชื่อถือของแต่ละฝ่าย?
ส่วนภาค 3 นั้น ตามหลักการ วิชาการฮะดีษแล้ว ผมว่าถูกต้องที่สุด เพราะมี อัลกุรอาน สนับสนุน อยู่ หลายอายาต, แต่ มุสลิมส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับ ฮะดีษ ศอเฮียะ ที่ว่า,
เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก
ท่าน อย่างเดียวเท่านั้น
การ ปฎิเสธ ฮะดีษ ศอเฮียะห์ ภาค 3 ที่ว่า "เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่าง เดียว เท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก ท่าน, (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56), จะเป็น "กาเฟร" หรือไม่?
หวังว่าการอธิบายโดยใช้ สูตร ข้างล่างนี้ คงจะไม่ถูก นำมาใช้ โดย นักวิชาการ ฮะดีษ อย่างคุณ ฟารีด เพนดี้ สูตรนั้นก็คือ...
"คำว่า เงิน 100 บาท มีความหมายว่า (เช่นเดียวกัน) กับ เงิน 100 บาท กับ โรตี 1 แผ่น"
เช่น เดียว กับ
"ฮาดีษ ฏออีฟ + ฮะดีษ ซอเฮี๊ยะ = ฮะดีษ ซอเฮี๊ยะ = "อัลกุรอาน
ถ้าคุณอธิบายตามแนวทางนั้น ทางหลัก อิสลามถือ ว่า เป็น ชิริก
คำว่า ชีริก (الشّراكة) มีความหมาย ในภาษาไทยว่า การมีส่วนร่วมหรือ มีส่วนเกียวโยงที่เทียบเท่าในอัลกุรอานคำว่า ชิริก อธิบายได้ว่า ความสัมพันธ์หรือเกี่ยวพันธ์เทียบเคียงกับ พระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮ์) หรือการนับถือพระเจ้า, บุคคล, สิ่งอื่น นอกจาก อัลลอฮ์
การ ตกเป็น ชิริก หรือ ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ในศาสนาอิสลาม ไม่จำเป็นว่าบุคคลผู้นั้น จะต้อง ประกาศตัวเองออกมาต่ิอ สาธารณขนอย่างเปิดเผย การตก เป็น ชิริก ในอิสลาม อาจจะ ซอ่นเร้นอยู่ ในหัวใจ ของผู้นั้น แล้วจะค่อยๆออกมาทางคำพูด และในที่สุด ก็เป็นการกระทำ โดยที่ เจ้าตัวเองอาจจะไม่รู้ตัวเลย ว่าตนเองได้กระทำการที่ ตกเป็น ชิริก หรือ ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์
ด้วยเหตุนี้ ข้อเขียนนี้ จึงถูกเขียนขึ้น เพื่อพี่น้องมุสลิม ทั้งหลาย ที่เขียนเรื่อง ต่างๆ หรือ ตั้งกระทู้ใน กระดานเสวนา นี้ ใช้พิจารณา เพื่อ เราจะได้ มีความศรัทธา ที่มั่นคง ต่อ พระองค์อัลลอฮ์ และศาสนาของพระองค์
ชีริค คือการนับถือพระเจ้าหลายองค์หรือนำสิ่งใดบุคคลใดก็ตามมาเทียบเคียง พระองอัลลอฮ์ ในศาสนาอิสลามถือว่า การถือ พระเจ้าหลายองค์ เป็นการถือ ซึ่งขาดเหตุผลและ สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ กล่าวถึง พระเจ้า อื่นใด นอกเหนือไปจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (พระองอัลลอฮ์) จากซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ อายะห์ 22
لَوْ كَانَ فِيهِمَا آلِهَةٌ إِلَّا اللَّهُ لَفَسَدَتَا فَسُبْحَانَ اللَّهِ رَبِّ الْعَرْشِ عَمَّا يَصِفُونَ
ถ้าหากว่า ทั้งบนสวรรค์และบนโลกเรานี้ มีพระเจ้าอื่นๆ นอกจาก พระองค์อัลลอฮ์ มันจะทำให้ เกิดความสับสน. แต่การสรรเสริญจง มีต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่าน้น(อัลลอฮ์) พระเจ้าแห่ง บรรลังก์ ที่สูงส่ง เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหลาย ที่เขาบรรยายถึง (21: 22)
จากอายะห์ 21: 22 เราจะเห็น ได้อย่างชัดแจ้ง ว่า ระบบหมุนเวียนของจักวาล, ความสมดุลของระบบนิเวศวิทยา, และการมีผู้สร้างเพียงผู้เดียว จะเป็นการสมเหตุผล กว่าการมี พระเจ้าหลายพระองค์ ที่จะทำให้มี หลายผู้บงการและยุ่งยากในการตัดสินใจที่สับสน
ในอิสลาม, ชิริค เป็น ความบาปที่ยิ่งใหญ่ เป็นความบาปที่ใหญ่หลวงเพียง อย่างเดียว เท่านั้น ที่ พระองค์อัลลอฮ์ ไม่ยอม อภัยให้เลย ซึ่งจะเห็น ได้จากซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 48
อย่างแน่นอน, พระองค์อัลลอฮ์ จะไม่ให้อภัยต่อการตั้ง ภาคีต่อพระองค์. พระองค์จะให้อภัยได้ต่อสิ่งอื่น(ความผิดอื่นๆ)แก่ผู้ที่ พระองจะโปรดเท่านั้น เว้นแต่ผู้ที่ตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮ์ เขาได้กระทำความผิดที่ใหญ่หลวงนัก (4:48)
จากโองการของพระองค์อัลลอฮ์ ซึ่งถูกบัญญัติไว้ใน อัลกุรอานอธิบาย การกระทำที่เรียกว่าชีริคดังต่อไปนี้ ชีริค คือการยกย่องสิ่งใดหรือกราบไหว้, หรือนับถือบุคคลใดเทียบเคียง พระองอัลลอฮ์, หรือ ความนึกคิด, ความรู้สึกพิจารณาสิ่งเหล่านั้น เท่าเทียมอัลลอฮ์, และมีความไม่แน่ใจต่อความศรัทธาว่า มี อัลลอฮ์ ผู้สร้างอย่างแท้จริง
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า ในอัลกุรอานความหมายของ การกระทำที่เป็น ชิริค คือนำอะไรก็ตาม ไม่ว่า จะเป็น บุคคล หรือ สิ่งของ มาเทียบเคียง อัลลอฮ์ ซึ่ง หมายความว่า มีพระเจ้าอื่นๆนอกเหนือจากพระเจ้าองค์เดียว(อัลลอฮ์) หรือ บูชาพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ เหตุที่ความหมาย ของ ชิริค ถูกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกในที่นี้ ก็เพื่อ ให้ ผู้ อ่าน เข้าใจความหมายของ คำหมายของ คำว่า ชิริค ในแง่มุมต่างๆ
ถ้าจะกล่าวในความหมายกว้างๆ ชิริค คือการปฎิบัติตัวของผู้ใดก็ตาม(รวมทั้งของตัวเรา) ที่ ยึดถือหลักการ, คุณธรรม, หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ตาม ประเพณีหรือหลักปฏิบัติ ที่นอกเหนือไปจาก คำสอนและคุณธรรมที่บัญัติไว้ในอัลกุรอาน, หรือผู้ที่สร้างบัญญัติ หรือยกย่องบุคคลขึ้น เป็นภาคีต่อ พระองค์อัลลอฮ์ นั้นเอง
บุคคลที่ได้รับการยกย่องนี้ อาจจะเป็น บิดา, ปู่, ตา หรือบรรพบุรุษของผู้ใดก็ตามที่มีชื่อเสียง ในสังคม หรืออาจจะเป็น ผู้ที่ก่อตั้งอุดมการณ์, ปรัชญา หรือ ลูกศิษย์ ของผู้ ที่ตาม ปรัชญาหรืออุดมการณ์ ของเขาเหล่านั้น จากบัญญัติ ในซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ อายะ31 กล่าวว่า
اتَّخَذُواْ أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِّن دُونِ اللّهِ وَالْمَسِيحَ ابْنَ مَرْيَمَ وَمَا أُمِرُواْ إِلاَّ لِيَعْبُدُواْ إِلَـهًا وَاحِدًا لاَّ إِلَـهَ إِلاَّ هُوَ سُبْحَانَهُ عَمَّا يُشْرِكُونَ
พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า, อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย ทั้ง ๆที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ, แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น (9:31)
ในความหมายของ ชิริก ที่ อธิบายในความหมายที่กว้างขวางเช่นนี้ หมายความถึง ผู้ใดก็ตามที่ผูกพัน วิถีการดำเนินชีวิตของเขา นอกเหนือไปจากที่พระองค์อัลลอฮ์บัญญัติไว้ ในอัล กุรอาน ถือว่าตกเป็น ชิริก หรือผู้ที่ตั้งภาคีต่ิอพระองค์, ไม่ว่าเขาจะเรียกตัวเอง ว่า ผู้ทีุ่้ไม่นับถือพระเจ้า, หรือ ยิว หรือ คริสเตียน ก็ตาม
ถึงแม้แต่ว่า มุสลิม ที่ทำละหมาดไม่ขาด ถือศีลอด และปฏิบัติตามกฎของอิสลาม อย่างเคร่งครัด ถ้าเขาครอบครองความคิดเพียงนิดเดียวที่สงสัย และท้าทาย ในความไม่สมบูรณ์และเพียบพร้อมในราย ละเอียด ของ อัลกุรอาน แล้ว เขาจะตกอยู่ในการปฏิบัติ ชิริก โปรดทำความเข้าใจจาก ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ (7), อายะ 185
أَوَلَمْ يَنظُرُواْ فِي مَلَكُوتِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَمَا خَلَقَ اللّهُ مِن شَيْءٍ وَأَنْ عَسَى أَن يَكُونَ قَدِ اقْتَرَبَ أَجَلُهُمْ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَهُ يُؤْمِنُونَ
และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างขึ้นดอกหรือ? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้วและยังมีฮาดีษ (حَدِيثٍ) อื่นใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันนอกจากอัล-กุรอาน (7: 185)
พระองค์อัลลอฮ์เรียกหนังสือของพระองค์ว่า อัลกุรอาน ซึ่งเป็น ฮาดีษ ที่ดีที่สุด, พระองค์ทรงเรียกร้องให้ผู้ศรัทธาต่อพระองค์อย่างแท้จริงไม่ให้ยอมรับหรือใช้ ฮาดีษ อื่นใดเพื่อเป็นแหล่งความรู้แห่งศาสนาที่สมบูรณ์คือ อิสลาม และพระองค์อัลลอฮ์ให้ ยอมรับ แต่ อัลกุรอาน เท่านั้น โปรดพิจารณา ซูเราะฮฺ ฟุศศิลัต (41) อายะ42
لَا يَأْتِيهِ الْبَاطِلُ مِن بَيْنِ يَدَيْهِ وَلَا مِنْ خَلْفِهِ تَنزِيلٌ مِّنْ حَكِيمٍ حَمِيدٍ
ไม่มีสิ่งแปลกปลอมสามารถเข้า (ไปปะปนในเนื้อความของอัลกุรอาน), ในอดีต หรือ ในอนาคต, เป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ (41:42)
อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่บรรจุรายละเอียด, และเมื่ออัลลอฮ์ทรงกล่าวว่าพระองค์ทรงบรรจุรายละเอียดไว้ในอัลกุรอาน พระองค์ทรงหมายถึงว่ามี รายละเอียดอย่างครบถ้วน พระองค์จะไม่ละไว้ครึ่งๆกลางๆ
أَفَغَيْرَ اللّهِ أَبْتَغِي حَكَمًا وَهُوَ الَّذِي أَنَزَلَ إِلَيْكُمُ الْكِتَابَ مُفَصَّلاً وَالَّذِينَ آتَيْنَاهُمُ الْكِتَابَ يَعْلَمُونَ أَنَّهُ مُنَزَّلٌ مِّن رَّبِّكَ بِالْحَقِّ فَلاَ تَكُونَنَّ مِنَ الْمُمْتَرِينَ
ฉัน(มูฮัมมัด)ยังจะต้องแสวงหาผู้อื่นอีกหรือนอกจากอัลลอฮ์เพื่อเป็นผู้ตัดสิน, เมื่อพระองค์ได้ประทานคัมภีร์(อัลกุรอาน) ให้แก่พวกท่าน, ที่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดสมบูรณ์? ผู้ที่เรา(อัลลอฮ์)ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขามาก่อน รู้ดีว่าคัมภีร์นั้นถูกส่งมาจากพระเจ้าของพวกเจ้าด้วยความแท้จริง, ดังนั้น(โอ มูฮัมมัด) เจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ของผู้ที่มีความ เคลือบแคลง ใจเลย. (6:114)
การตกอยู่ในสภาพ ชิริก ไม่จำเป็นที่จะต้องออกปาก ปฎิเสธ ความคงอยู่ ของ พระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮ์) เพียงแต่ว่าผู้สร้างภาคี พยายามหลีกเลี่ยงการยอมรับ อัลกุรอาน หรือ ยอมรับ สภาพคงอยู่ ของอัลลอฮ์ พวกเขาจะขาดหลักธรรม ในจิตใจ ที่หลอกตัวเอง ว่า มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อย่างแท้จริง ตลอดชีวิตของเขา ถึงแม้ว่า ในวันตัดสิน เขาก็ยังปฏิเสธว่าเขาไม่เคยอยู่ในการกระทำ ชิริก เลย จุดยืนที่่พวกเขา ยึดถือ สามารถที่จะอธิบายได้ จาก ซูเราะฮฺ อัล-อันอาม (6:22-24)
وَيَوْمَ نَحْشُرُهُمْ جَمِيعًا ثُمَّ نَقُولُ لِلَّذِينَ أَشْرَكُواْ أَيْنَ شُرَكَآؤُكُمُ الَّذِينَ كُنتُمْ تَزْعُمُونَ
และวันที่เราจะชุมชุมพวกเขาทั้งมวลแล้วเรากล่าวแก่บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นว่าไหนเล่า บรรดาภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าอ้าง (6:22)
ثُمَّ لَمْ تَكُن فِتْنَتُهُمْ إِلاَّ أَن قَالُواْ وَاللّهِ رَبِّنَا مَا كُنَّا مُشْرِكِينَ
การแก้ตัวของเขาเหล่านั้นไม่มีอะไรนอกจากจะสาบานว่า ในนามของ อัลลอฮ์ เราไม่ใช่พวกที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (มุชริกีน) (6:23)
انظُرْ كَيْفَ كَذَبُواْ عَلَى أَنفُسِهِمْ وَضَلَّ عَنْهُم مَّا كَانُواْ يَفْتَرُونَ
จงดูเถิด (มูฮัมมัด) เห็นไหมว่าพวกเขาหลอกตัวเองอย่างไร และ สิ่งที่เข้ายกขึ้นเป็นภาคี, ก็ตายไปจากความทรงจำของเขา (6:24)
ผู้ที่ตกในข่ายของ ชิริก ไม่จำเป็นต้องประกาศตัวเอง ออกมาอย่าง แจ้ง ชัด ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่า ชีริก อาจจะเกิดขึ้น ในหัวใจ ของ บุคคล ใดก็ได้อย่างเงียบๆ และช้าๆ และในที่สุดก็แสดงออก มาให้เห็นด้วย คำพูด และ การกระทำ ของเขา, จากความหมายของข้อ บัญญัติ ในอัลกุรอาน การมีความพอใจในสิ่งใดนอกเหนือไป จาก อัลลอฮ์ ถือว่าเป็น ชิริก หมายถึงมีความเกรงกลัวและปฏิบัติตามคำสั่ง ของ มนุษย์ แทนที่จะเกรงกลัวพระองค์อัลลอฮ์, และการมีจิตใจผูกพัน ต่อบุคคล แทนที่จะมีจิตใจผูกพัน ต่อ อัลลอฮ์ ตัวอย่างที่อธิบายมานี้ มีอธิบายไว้ในอัลกุรอานโดยละเอียด
จากที่กล่าวมา เราจะเห็นอย่างแจ้งชัด ว่า มุชิริกีน คือ บุคคลผู้ที่แบ่งปัน ความรักบูชา ที่มีอยู่ ใน อัลลอฮ์" ให้กับบุคคลหรือสิ่งอื่นใด โปรด พิจารณา ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะห์ 165
وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ وَلَوْ يَرَى الَّذِينَ ظَلَمُواْ إِذْ يَرَوْنَ الْعَذَابَ أَنَّ الْقُوَّةَ لِلّهِ جَمِيعاً وَأَنَّ اللّهَ شَدِيدُ الْعَذَابِ
และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี(*1*) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้นเช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ์มากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง (2:165)
(1) หมายถึงมนุษย์มาลาอิกะฮ์ ญิน และเจว็ด ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ ที่ถูกเคารพนับถือเทียมอัลลอฮ์เพราะเข้าใจว่าภาคีเหล่านั้นมีบทบาทในวิถีชีวิตของตน
ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะห์ 165 นี้ทำให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่า ความรักที่ให้แก่บุคคลซึ่งปูพื้นฐานไปสู่การเคารพบูชา บุคคลหรือสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ เท่ากับการ ตกอยู่ในการกระทำ ชีริก ซึ่งต่างจากผู้ที่มีความศรัทธา,
ผู้ที่ไม่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ อย่างแท้จริง จะไม่สามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ ต่อพระองค์ผู้สร้าง (อัลลอฮ์) ได้, พวกที่ไม่มีความศรัทธา จะรักตัวเองหรือผู้อื่น หรือทั้งสองอย่าง เขาเหล่านั้น จะหลงอยู่ในเรื่องความรัก ต่อครอบครัว และทรัพย์สมบัติ และตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ อย่าง คลั่งไคล้ การหลงใหลในสิ่งเหล่านี้จน เกินขอบเขต จนกระทั่งมีความรู้สึก ตัดขาดจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้, ก็ถูกจัดว่าเป็นการสร้าง ภาคีชนิดหนึ่ง
ซูเราะฮฺ อัลอังกะบูต (29) อายะ25 ท่านนบีอิบรอฮีม ยืนยันว่า ผู้ที่ไม่ศรัทธา จะหันหลังใ้ห้ อัลลอฮ์ และจะสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งไว้กับรูปปั้นต่างๆของเขาเหล่านั้น
وَقَالَ إِنَّمَا اتَّخَذْتُم مِّن دُونِ اللَّهِ أَوْثَانًا مَّوَدَّةَ بَيْنِكُمْ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا ثُمَّ يَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكْفُرُ بَعْضُكُم بِبَعْضٍ وَيَلْعَنُ بَعْضُكُم بَعْضًا وَمَأْوَاكُمُ النَّارُ وَمَا لَكُم مِّن نَّاصِرِينَ
และเขา(อิบรอฮิม) กล่าวว่า พวกเจ้าได้ยอมรับเอารูปปั้น นอกจากอัลลอฮ์ เป็น เพื่อนของเจ้า ในชีวิตโลกนี้, ดังนั้นในวันตัดสิน จะมีบางคนในหมู่ของพวกเจ้า ปฏิเสธกันเองและพวกเจ้าจัสาปแช่งกันเอง, และะที่อญุ่อาศัยของพวกเจ้าคือ ไฟนรก(29:25)
การมีอารมณ์รักต่อผู้หญิงเป็นสิ่งที่เห็นชัดที่สุด ในตัวอย่างของการสร้างภาคี ต่ออัลลอฮ์ ในรูปของความรัก ผู้หญิงในที่นี้อาจจะเป็นใครก็ได้ ภรรยา, เพื่อนหญิง, หรือรักเมื่อแรกพบ ผลของความรักและลุ่มหลงผู้หญิงที่ทำให้ความ รักในอัลลอฮ์ ลดหย่อนลง เมื่อใดก็ตามที่ชายมีความรู้สึกลดหย่อนไป จากความศรัทธา ของเขาที่มีต่ออัลลอฮ์ เพราะความรักหญิง ทำให้เขามองเห็นหญิงนั้นเท่าเทียม หรือ เหนือกว่าอัลลอฮ์
ดังนั้นที่กล่าวมานี้จึงเป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างง่าย ในการ สร้าง ภาคี ต่อ อัลลอฮ์ ความประพฤติ ดังกล่าวอาจจะเห็นเป็น เรื่อง ธรรมดาในสังคมมนุษย์ แต่มีผลในความศรัทธาอย่างร้ายแรง ในเมื่อเขาเผชิญหน้ากับ อัลลอฮ์ จาก ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ117
إِن يَدْعُونَ مِن دُونِهِ إِلاَّ إِنَاثًا وَإِن يَدْعُونَ إِلاَّ شَيْطَانًا مَّرِيدًا
พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์นอกจากเจว็ดหญิง(*1*)และพวกเขาจะไม่วิงวอนนอกจากชัยฏอนที่ดื้อดันเท่านั้น(*2*) (4:117)
(1) ที่พวกเขาวิงวอนขอนั้นคือ เจว็ดหญิงอันได้แก่ อัล-ลาต อัล-อุซซา และมะนาด
(2) ชัยฏอนนั้นคือญินที่เป็นพวกพ้องอิบลีสนั่นเอง ซึ่งมันเป็นศัตรูต่อลูกหลานของอาดัม
ในทำนองเดียวกัน ความรักเช่นนี้ก็มีความหมายอันเดียวกันที่เพศหญิงมีต่อเพศชาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยอมรับต่อหน้า อัลลออ์เช่นกัน
ในสังคมปัจจุบัน ความรัก ของหนุ่มสาวในวัยรุ่น การนัดพบ, การพลอดรัก การหลงละเมอในความรัก ที่บริสุทธิต่อกัน สิ่งเหล่านี้แม้จะเกิดขึ้น เนื่องจากอารมณ์ ธรรมชาติ แต่ต้อง อยู่ในขอบเขต ของ ความศรัทธาต่ออัลลอฮ์
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มุสลิมตกอยู่ใน ชีริก ก็คือ ความกลัว เช่นเดียวกับความรัก ความกลัวควรจะเป้นความรู้สึกยำเกรง ต่ออัลลอฮ์ ผู้ใดก้ตามมีความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ถูก อัลลอฮ์ สร้างขึ้นมา มากว่าความกลัวเกรงต่อ อัลลอฮ์แล้ว ย่อมตกอยู่ในการกระทำ ชิริก เช่นกัน จากซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ (16) อายะ51-52
وَقَالَ اللّهُ لاَ تَتَّخِذُواْ إِلـهَيْنِ اثْنَيْنِ إِنَّمَا هُوَ إِلهٌ وَاحِدٌ فَإيَّايَ فَارْهَبُونِ
และอัลลอฮ์ตรัสว่า พวกเจ้าอย่ายึดถือพระเจ้าสององค์ แท้จริงพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เฉพาะข้าเท่านั้นที่พวกเจ้าต้องเกรงกลัว" (16:51)
وَلَهُ مَا فِي الْسَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَلَهُ الدِّينُ وَاصِبًا أَفَغَيْرَ اللّهِ تَتَّقُونَ
และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการภักดีต่อพระองค์เท่านั้นจำเป็นต้องมีประจำ ดังนั้นพวกเจ้าจะยำเกรงผู้ใดอื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ?(11:52)
ผู้ที่ขาดความศรัทธาต่อ อัลลออ์ จะมีความกลัวต่อบุคคลมากกว่าอัลลอฮ์ จาก
أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِينَ قِيلَ لَهُمْ كُفُّواْ أَيْدِيَكُمْ وَأَقِيمُواْ الصَّلاَةَ وَآتُواْ الزَّكَاةَ فَلَمَّا كُتِبَ عَلَيْهِمُ الْقِتَالُ إِذَا فَرِيقٌ مِّنْهُمْ يَخْشَوْنَ النَّاسَ كَخَشْيَةِ اللّهِ أَوْ أَشَدَّ خَشْيَةً وَقَالُواْ رَبَّنَا لِمَ كَتَبْتَ عَلَيْنَا الْقِتَالَ لَوْلا أَخَّرْتَنَا إِلَى أَجَلٍ قَرِيبٍ قُلْ مَتَاعُ الدَّنْيَا قَلِيلٌ وَالآخِرَةُ خَيْرٌ لِّمَنِ اتَّقَى وَلاَ تُظْلَمُونَ فَتِيلاً
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ถูกกล่าวแก่พวกเขา ว่า จงระงับมือของพวกเจ้าก่อนเถิด และจงละหมาด และจงชำระซะกาต ครั้นเมื่อการสู้รบได้ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกเขา ทันใดนั้นกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็กลัวมนุษย์เช่นเดียวกับกลัวอัลลอฮฺ หรือกลัวยิ่งกว่า และพวกเขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา ! เพราะเหตุใดพระองค์จึงได้กำหนดการสู้รบขึ้นแก่พวกเรา พระองค์จะทรงเลื่อนให้แก่พวกเรายังกำหนดเวลาอันใกล้ไม่ได้หรือ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) สิ่งอำนวยประโยชน์แห่งโลกนี้นั้นเล็กน้อยเท่านั้น และปรโลกนั้นดียิ่งกว่าสำหรับผู้ที่ยำเกรงและพวกเจ้าจะไม่ถูกอธรรมแม้เท่าขนาดร่องเมล็ดอินทผาลัม (4:77)
การกระทำที่จัดอยู่ในการเป็น ชิริค ดังกล่าวแล้วอาจจะทำไปโดยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระทำไปเพราะว่า เชื่อ ในคำบอกเล่า ของบุคคล มากกว่า ข้อบัญญัติของอัลกุรอาน จงพิจารณา คำกล่าว ต่อไปนี้ และใช้หลัก อิหม่าน หรือความศรัทธาของท่าน ที่มี ต่อท่าน รอซูล และ ต่อ อัลลอฮ์ ที่มั่นคง พิจารณาและตัดสินเอง ว่า เป็นไปได้ไหม,ที่จะเป็นคำกล่าวของท่านรอซูล?
จาก ศอเฮียฮ์ บุคอฮ์รี หมวด 1, เล่ม 2, เลขที่14
บรรยายโดย อะนัส ว่า, ท่านรอซูลกล่าวว่า ไม่มีใครในพวกท่านจะเป็นผู้มีศรัทธาจนกว่าเขาผู้นั้น จะรักฉัน(มูฮัมมัด) มากกว่า พ่อของเขา, ลูกๆของเขา และ มวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย
คำว่า พวกท่าน ในที่นี้ หมายถึงมวลหมู่ มุสลิม, คำว่า เป็นผู้ศรัทธา หมายถึง ศรัทธาในศาสนา อิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาของ อัลลอฮ์ ซึ่งหมายถึงการ ยอมนอบน้อมและสวามิภักดิ์ ยอมจำนนต่อ พระองค์ อัลลอฮ์ ทั้งกาย,วาจา, และจิตใจ
165. และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี(*1*) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้นเช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ์มากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง
(1) หมายถึงมนุษย์มาลาอิกะฮ์ ญิน และเจว็ด ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ ที่ถูกเคารพนับถือเทียมอัลลอฮ์เพราะเข้าใจว่าภาคีเหล่านั้นมีบทบาทในวิถีชีวิตของตน
มันเป็นไปไม่ได้ที่ ท่านรอซูล (ศาสนทูต, บ่าว, ผู้รับใช้ของอัลลอฮ์) เป็นผู้ที่นำอัลกุรอานมาสั่งสอน มวลมนุษยชาติ ให้มีความรักและบูชาต่อ พระองค์อัลลอฮ์ แต่ผู้เดียว, จะกล่าวคำที่แสดงออกถึงการตีตนเสมอพระองค์อัลลอฮ์ เช่นนั้น ทั้งนี้เพราะคำกล่าวเช่นนั้น มีความหมายเช่นเดียวกับ บทบัญญัติในอัลกุรอานซึ่งเป็น โองการของ พระองค์อัลลอฮ์
จากที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า ว่า มุชิริกีน คือ บุคคลผู้ที่แบ่งปัน ความรักบูชา ที่มีอยู่ ใน
อัลลอฮ์" ให้กับบุคคลหรือสิ่งอื่นใด โปรด พิจารณา ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะห์ 165
เป็นไปไม่ได้ที่ท่าน รอซูล จะกล่าว แก่บรรดาผู้ศรัทธา ต่อ อัลลอฮ์ และผู้ที่ยอมรับนับถือ อิสลาม ด้วยข้อความเช่นนี้
ในทัศนของมุสลิมผู้มีศรัทธา การเชื่อและปฏิบัติตามคำบอกเล่าของ ท่านบุคอฮ์รี ว่า มีคนเล่าให้ท่านฟังว่า ท่าน อานัส เล่าว่าได้ยินว่าท่านรอซูล กล่าวเช่นนั้น อาจจะตกอยู่ในฐานะลำบากได้ เรื่องนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย ใช้ วิจารณญาณ ของท่านเอง ว่าควรจะเชื่อคำบอกเล่า ของท่านบุคอฮ์รี หรือ ไม่ ?
วัสลาม
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
 |
วิทยากร อนุรักษ์มรดกอิสลาม


เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004 ตอบ: 158
|
ตอบ: Wed Jun 30, 2004 7:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สลามพี่น้องมุสลิมที่รักทุกท่าน
สวัสดีคุณ matt
เลอะเทอะกันใหญ่แล้วคุณ matt ที่ถามไม่ยอมตอบ แต่ที่ตอบไม่ได้ถาม จะหลบประเด็นไปไหนอีก ร่ายยาวมาเพื่อให้คนลืมต้นหรือ แต่ผมไม่ลืมหรอก อย่านำเรื่องฮะดีษมากลบ ตราบใดที่คุณยังปฏิเสธอัลกุรอานอยู่
แปลกนะที่คุณตอบคำพูดของตัวคุณเองไม่ได้ ผมเอาคำพูดของคุณ matt ข้างต้นมากรอให้ดูอีกครั้งดังนี้ มุสลิมจะต้องยึดถือ อัลกุรอาน เป้นหลักการ ในการสอน การ เรียน และการประกอบ ศาสนกิจ ในศาสนาของพระองค์อัลลออ์ เท่านั้น ซึ่งระบุไว้อย่าง ชัดเจน ใน หลาย อายาต ในอัลกุรอาน
อย่าหลอกลวงกันอีกเลยคุณ matt ถ้าคำพูดของคุณเป็นจริงก็ไม่ต้องนำอ้างหลายอายาตหรอก ขอแค่ อายะห์เดียวก็พอ.... ที่หลายท่านถามคุณว่า วิธีละหมาดตามอัลกุรอานเป็นอย่างไร ทำไมคุณไม่ยอมตอบเขาละ ไหนละ..อายะห์ไหน คำว่าเอากุรอานเป็นหลักในการประกอบศาสนกิจ เอามาซิ...วิธีละหมาดตามอัลกุรอานอายะห์ไหน อย่าพูดพล่อยๆ เพื่อล่อลวงพี่น้องมุสลิมของผม
แต่แล้วคุณก็ร่ายยาวเพื่อหลบหลีก
_________________
|
|
กลับไปข้างบน |
|
 |
วิทยากร อนุรักษ์มรดกอิสลาม


เข้าร่วมเมื่อ: 13/01/2004 ตอบ: 158
|
ตอบ: Wed Jun 30, 2004 7:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบอกให้ทั้งทั้งหลายและคุณวิทยากร ทราบและเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ว่า ผม เชื่อฟังท่านนบีมูฮัมมัด และ การปฏิบัติของท่าน ทุกๆอย่าง ที่ พระองค์อัลลอฮ์ มีบัญญัติ ไว้ ในอัลกุรอาน อย่าง 100 % ทุกอย่างที่ เป็น วะฮีย์ จากอัลลอฮ์ ที่ให้เชื่อฟังท่าน และตามที่ ผม ได้ ปฏิญาณไว้ โดนการ กล่าว ชะฮาดะห์ ด้วยความมั่นใจ ดังนั้น ผมจึงเชื่อ ในความสมบูรณ์ ในอัลกุรอาน ตามที่ท่าน นบีมูฮัมมัด กล่าวไว้ โดยวะฮีย์ ในอายะ 6-114 ซึ่งต่างกับ พวก มุชริกีน (โปรดอ่านคำอธิบายของ 6-112 ถึง 6-117 ในอัลกุรอานเล่มใดก็ได้)
อย่าให้คำพูดของคุณข้างต้นนี้เป็นคำพูดเพ้อเจ้อ คุณเชื่อฟังนบีอย่างไร คุณปฏิบัติตามนบีอย่างไร ในเมื่อคุณปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์ หรือว่าท่านนบีมาเข้าฝันกระซิบคุณเป็นการเฉพาะ
من يطع الرسول فقد أطاع الله
ผู้ใดฏออัตต่อรอซูล เขาได้ฏออัตต่ออัลลอ์ ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 80
คำว่า ฏออะห์ หมายถึงเชื่อฟัง น้อมรับ และปฏิบัติตาม แต่สำหรับคุณ matt แล้วไม่ได้ฏออัตต่อรอซูลและก็ไม่ได้ตออัฏต่ออัลลอฮ์ด้วย
คุณยืนยันว่ายึดอัลกุรอาน แค่อายะห์เดียวนี้คุณก็ปฏิเสธเสียแล้ว
_________________
|
|
กลับไปข้างบน |
|
 |
AlGhuraba มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Wed Jun 30, 2004 9:57 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสลามุอะลัยกุม พี่น้องมุสลิมที่รัก
จุ๊กกรู้..... ลุงแมทท์
ผมไม่ได้เข้ามาซะนาน ลุงแมทท์ ก็ยังวนเวียนอยู่ในอ่างเหมือนเดิมกับเรื่องคำสั่งของนบีอย่างนี้ว่า
คำพูด: | Matt ตอบ: อ. มิย. 29, 2004 7:39 pm
---------------------------------------------------
ฮะดีษต่อไปนี้ เป็น ฮะดีษ ซอเฮียะ ที่ถุกบันทึกในเวลาเดียวกัน จาก คุตบะ๊หฺ ครั้งสุดท้าย ของ ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ที่ถุก บันทึก ไว้ 3 ภาคที่ต่างกัน คือ
ภาคที่1. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ ซุนนะห์ (มุวัตตะ, 46/3)
ภาคที่2. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ อะฮ์ลาลบัยต์ (อะฮ์ลุลบัยต์) (มุสลิม 44/4, นู2408; อิบนฺ ฮะนะบาล4/366; ดอริมิ23/1; นู 3319)
ภาคที่3. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก ท่าน (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56) |
อยากรู้นักก็เลยไปเสาะแสวงหามาให้ แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะตรงกะที่ลุงฯต้องการอ้าง...มาอิง รึป่าว เพราะการอ้างด้วยตัวเลขแบบนี้ มันก็มั่วๆอยู่ เนื่องจากตำรับตำราที่พิมพ์จากสำนักพิมพ์ต่างกัน มันก็นับบท นับหมวด ไม่ค่อยจะตรงกัน นับเลขหะดีษยิ่งไปกันใหญ่ จะให้ดี ผมว่าน่าจะอ้างอิงด้วย ชื่อเลย ว่ากิตาบไหน บาบไหน มันยังพอจะค้นได้ตรงเป้ากว่า .... เนี่ยมันแย่อย่างงี้ละ
มาดูกันสิว่า มันน่างง ฉงฉัย ยังไงมั่ง (ผมขออนุญาตไม่แปลละนะครับ เด๋วไก่ของผมมันจะออกมาวิ่งเพ่นพ่านปนกะห่านของลุงละจะยุ่งกันใหญ่)
ภาคที่1. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ ซุนนะห์
موطأ مالك : الجامع - النهي عن القول بالقدر
عن مالك أنه بلغه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال تركت فيكم أمرين لن تضلوا ما تمسكتم بهما كتاب الله وسنة نبيه
Translation of Malik's Muwatta, Book 46: The Decree
Section: The Prohibition against Talking about the Decree
Book 46, Number 46.1.3:
Yahya related to me from Malik that he heard that the Messenger of Allah, may Allah bless him and grant him peace, said, "I have left two matters with you. As long as you hold to them, you will not go the wrong way. They are the Book of Allah and the Sunna of His Prophet."
อันนี้ เหตุเกิดที่ไหน อย่างไร ไม่ปรากฏ
-----------------------------
ภาคที่2. เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และ อะฮ์ลาลบัยต์ (อะฮ์ลุลบัยต์)
صحيح مسلم : فضائل الصحابة - من فضائل علي بن أبي طالب رضي الله عنه
حدثني يزيد بن حيان قال انطلقت أنا وحصين بن سبرة وعمر بن مسلم إلى زيد بن أرقم فلما جلسنا إليه قال له حصين لقد لقيت يا زيد خيرا كثيرا
رأيت رسول الله صلى الله عليه وسلم وسمعت حديثه وغزوت معه وصليت خلفه لقد لقيت يا زيد خيرا كثيرا حدثنا يا زيد ما سمعت من رسول الله صلى الله عليه وسلم قال يا ابن أخي والله لقد كبرت سني وقدم عهدي ونسيت بعض الذي كنت أعي من رسول الله صلى الله عليه وسلم فما حدثتكم فاقبلوا وما لا فلا تكلفونيه ثم قال قام رسول الله صلى الله عليه وسلم يوما فينا خطيبا بماء يدعى خما بين مكة والمدينة فحمد الله وأثنى عليه ووعظ وذكر ثم قال أما بعد ألا أيها الناس فإنما أنا بشر يوشك أن يأتي رسول ربي فأجيب وأنا تارك فيكم ثقلين أولهما كتاب الله فيه الهدى والنور فخذوا بكتاب الله واستمسكوا به فحث على كتاب الله ورغب فيه ثم قال وأهل بيتي أذكركم الله في أهل بيتي أذكركم الله في أهل بيتي أذكركم الله في أهل بيتي فقال له حصين ومن أهل بيته يا زيد أليس نساؤه من أهل بيته قال نساؤه من أهل بيته ولكن أهل بيته من حرم الصدقة بعده قال ومن هم قال هم آل علي وآل عقيل وآل جعفر وآل عباس قال كل هؤلاء حرم الصدقة قال نعم
Translation of Sahih Muslim, Book 31: The Book Pertaining to the Merits of the Companions (Allah Be Pleased With Them) of the Holy Prophet (May Peace Be Upon Him) (Kitab Al-Fada'il Al-Sahabah)
Chapter 4: THE MERITS OF 'ALI B. ABI TALIB (ALLAH BE PLEASED WITH HIM)
Book 031, Number 5920:
Yazid b. Hayyan reported, I went along with Husain b. Sabra and 'Umar b. Muslim to Zaid b. Arqam and, as we sat by his side, Husain said to him: Zaid. you have been able to acquire a great virtue that you saw Allah's Messenger (may peace be upon him) listened to his talk, fought by his side in (different) battles, offered prayer behind him. Zaid, you have in fact earned a great virtue. Zaid, narrate to us what you heard from Allah's Messenger (may peace be upon him). He said: I have grown old and have almost spent my age and I have forgotten some of the things which I remembered in connection with Allah's Messenger (may peace be upon him), so accept whatever I narrate to you, and which I do not narrate | | |